CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดูแล้วมาคุยกัน ... The Banquet , แฮมเล็ต เวอร์ชั่น ประหารเจ็ดชั่วโคตร

      ชอบมาก ห้ามพลาด (6 คน)
      ชอบ (6 คน)
      เฉยๆ (7 คน)
      ไม่ชอบ (4 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (2 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 25 คน

     24.00%
     24.00%
     28.00%
     16.00%
     8.00%


    … เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป + อ่านความเห็นเพื่อนคนอื่นๆ + เชิญชวนไปแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=11-2006&date=10&group=1&blog=1

    The Banquet  ดัดแปลงมาจาก แฮมเล็ต วรรณกรรมชิ้นเอกของเช็คสเปียร์ (วันก่อนรู้สึกจะเมาแดด เพราะมีคนถาม ผมดันตอบไปว่า ดัดแปลงจาก แม็คเบธ คนไปดูคงงงวา แม็คเบธ ตรงไหนฟระ)

    ถ้าไม่เคยดู แฮมเล็ต ไม่ต้องกังวลใจ ว่า The Banquet จะดูยากดูเย็น เพราะผมเอง ก็เป็นคนดูหนังคอวรรณกรรมระดับบ้านๆที่รู้แค่เรื่องย่อ แต่ยังไม่เคยดูแฮมเล็ตแม้สักเวอร์ชั่นเดียว ก็ยังสามารถดูหนังรู้เรื่อง

    แต่เชื่อว่า แฮมเล็ต ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นไหนก็ตาม ย่อมต้องไม่เคยมี เพลงกระบี่ ฮ่องเต้ ตราลัญจกร  หรือ จางซียี่

    เพราะนี่คือ แฮมเล็ต เวอร์ชั่น ประหารเจ็ดชั่วโคตร

    ...ใครหลายคนต้องผิดหวัง เพราะจากหน้าหนังและการโฆษณา บวกชื่อไทยในหนังจีนที่ชอบใส่คำว่า ศึกๆ สงครามๆ สะท้านภพ สะท้านแผ่นดิน สะท้านบ้านสะท้านเมือง ฯลฯ ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า จะได้ดูหนังจีนอีพิค ประเภทหนังแอคชั่น ฟัน(ดาบ)กันทั้งเรื่อง ชนิด ผู้ร้ายตีลังกาตัวปลิวแล้วกลับมาแทงซอกคอพระเอก พร้อมมีด 100 เล่มวิ่งผ่านพระเอกกำลังยืนบนใบไผ่

    ไม่ใช่เลย

    เพราะ The Banquet เป็น หนังดราม่าพีเรียดที่เดินเรื่องเนิบนาบท่ามกลางโศกนาฎกรรม

    หลายฉากในหนังใกล้เคียงกับความเป็นละครเวทีเสียด้วยซ้ำ

    ...หนังเริ่มต้นเรื่องราวในช่วงปลายราชวงศ์ถัง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันสวรรคตจากยาพิษ เสียงร่ำลือกันว่า เป็นฝีมือของพระอนุชา

    องค์ชายอวู๋หลวน พระโอรสเดินทางตรงกลับพระราชวัง แต่ชีวิตเขาถูกวางเป็นเป้าหมาย ของ ฮ่องเต้องค์ใหม่นั่นก็คือพระอนุชาที่ว่ากันว่าสังหารพระบิดาขององค์ชาย เท่านี้ไม่พอ ยังรวบหัวรวบหาง ฮองเฮา หรือ เมียพ่อ หรือ แม่เลี้ยง ของ องค์ชายอวู๋หลวน มาเป็นของตัวเอง โศกนาฎกรรมความรักอันซ้ำซ้อนเกิดขึ้นมาจากความจริงที่ว่า

    ฮองเฮาเคยเป็นคนรักเก่าของ องค์ชายอวู๋หลวน และ ในพระราชวังก็มี หญิงสาวอีกคนที่รอคอยองค์ชายอวู๋หลวนอย่างใจจดใจจ่อ ด้วย หัวใจที่ยินดีจะรักอีกฝ่ายข้างเดียว

    ...โศกนาฏกรรมในวังหลวง มิได้หมายถึงแต่เพียงการหลั่งเลือดนองแผ่นดิน แต่ ยังมีความหมายถึง โศกนาฏกรรมความรัก ที่หัวใจของพวกเขาและเธอต้องเจ็บปวดร้าวรานดั่งหัวใจต้องถูกเชือดเฉือน

    ฮองเฮา  ต้องอับเฉาในรัก เธอเหมือนดอกไม้ที่ไม่มีโอกาสได้เบ่งบานดังใจ เพราะชีวิตถูกกำหนดโดยชายที่เข้ามาครองบัลลังค์ รักเดียวของเธอที่ใจต้องการคืออวู๋หลวน การตายของฮ่องเต้น่าจะให้ทางเลือกได้มากขึ้น แต่การก้าวเข้ามาของฮ่องเต้คนใหม่ก็กลายเป็นการปิดทางเลือกของหัวใจเธอ

    อวู๋หลวน  ก็ไม่มีโอกาสได้รักดั่งใจ เมื่อรักของเขาเกิดไปตรงกับใจของบิดา เขาเลยต้องเลือกจากรั้วพระราชวังมาอยู่โรงละครไกลเมือง ครั้นเมื่อเดินทางกลับมา ก็พบว่า รักในอดีตไปอยู่กับคนที่ฆ่าพ่อตัวเอง อวู๋หลวนไม่มีโอกาสได้รู้ว่า ฮองเฮา ต้องแลกอะไรมา เพื่อให้เขามีชีวิตรอดปลอดภัย และ นั่นยิ่งทำให้เขาต้องแค้นเคืองว่า ทำไมฮองเฮาต้องทำเช่นนี้

    ฮ่องเต้องค์ใหม่ ที่มีอำนาจล้นมือ ก็หวังว่าอำนาจที่มี กับ รักที่ทุ่มเท จะสามารถทำให้ฮองเฮาหันมามอบทั้งกายและใจได้อย่างสมบูรณ์ ก่อนที่จะรู้ว่า ไม่ว่าจะทุ่มเทเพียงใดแม้อำนาจจะยิ่งใหญ่เหนือชีวิตคน แต่ การเอาชนะใจใครสักคนไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจนั้นแม้แต่นิดเดียว ความรักมีเพียงรักเท่านั้น จึงจะแลกได้มา

    ฉิงหนิว  หญิงสาวผู้มอบชีวิตให้กับความรัก ก็หวังว่าอวู๋หลวน จะยินดีที่มีเธออยู่ข้างกาย เธอได้แต่หวังว่า เขาจะสามารถมีความสุขที่ได้อยู่กับเธอ แต่บทเพลงของเขาไม่ใช่แค่สะท้อนตัวละครของเธอ แต่มันก็ยังสะท้อนตัวเขา ที่อยู่กับความเหงาและยังเดียวดายแม้จะมีเธอข้างกายก็ตาม

    ...The Banquet ให้ภาพจำลองของความรักที่ไม่มีคนสมหวัง ความรักที่มีลูกศรชี้ไปที่ตัวละครทิศทางเดียว วนเป็นวงกลม จนสุดท้ายพวกเขาไม่ใช่แค่ต้องเจ็บปวดกับความรักทิศทางเดียว พวกเขายังถูกอารมณ์อื่นเข้ามาเจือปนในหัวใจ และ อารมณ์อื่นนี้เองที่ปรุงจิตใจให้กลายเป็นยาพิษ ดังที่

    คนปรุงยาในหนังบอกฮองเฮาว่า ยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดคือจิตใจมนุษย์  

    นั่นคงเพราะจิตใจมนุษย์ สามารถกลั่นยาพิษที่ทำให้หลายชีวิตต้องปลิดปลง เราจะได้เห็น คนที่พร้อมจะปลิดชีวิตตัวเองได้ด้วยเพราะความผิดหวังในรัก เราจะเห็นผลลัพธ์ของยาพิษที่ทำให้ทำร้ายคนดีๆใกล้ตัวที่ไม่เคยทำร้ายเราได้ด้วยความริษยา ทำให้เรายอมตายเพราะความยึดติดลุ่มหลงในรัก และ ทำให้เราพร้อมจะฆ่าคนได้ง่ายๆเพราะความเกลียดชัง

    และ อีกหนึ่ง ยาพิษ  ที่ร้ายแรงในหนังก็คือตัว ฮองเฮา  ที่รับบทโดยจางซียี่

    ...เธอเองก็ไม่ต่างอะไรจาก ยาพิษ ที่ทำร้ายชีวิตคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัวว่า มันสามารถคร่าได้แม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง

    จากจุดเริ่มต้นที่ การกระทำของเธอเริ่มต้นจาก รัก แต่เมื่อรักนั้นไม่ได้บริสุทธิ์ มันเริ่มเจือปนด้วยความริษยา ความเกลียดชัง ความหวาดกลัวต่อการสูญเสียอำนาจที่มีในมือ

    เมื่อจิตใจที่มีความรัก ถูก สีดำเข้าครอบงำ

    มันทำให้ ตัวเธอเองเป็นคนเชื้อเชิญ ความตาย เข้ามา อันเป็นผลจาก การทำร้ายคนอื่นๆคนแล้วคนเล่า การไต่เต้าขึ้นไปสู่ที่สูงอันเดียวดาย

    มีดเล่มสุดท้ายในหนังอาจทำให้คนดูต้องค้างคาใจไม่ได้รับคำตอบ แต่สำหรับตัวละครในหนังมันคงไม่ได้สำคัญว่าเป็นใครขว้างมา เพราะ ณ.จุดนั้น ใครที่มีชีวิตอยู่ต่างก็ล้วนที่ต้องการจะเป็นเจ้าของมีดแทบทั้งสิ้น เพราะทุกคนล้วนถูก พิษจากตัวเธอเล่นงาน

    ....The Banquet จะบอกว่า ไม่ชอบก็คงไม่ได้ แต่จะบอกว่าชอบก็คงไม่ใช่ เพราะ มันให้ความรู้สึกเบาโหวง ไม่หนักแน่น รู้สึกกลวงๆท่ามกลางความยาวหนังที่นานพอสมควร

    ในความกลวงนั้น ผู้กำกับ เฝิ่งเสี่ยวกัง ก็ยังคงความสามารถจากงานเดิมๆ คือ การทำให้คนดูสัมผัสได้ถึงความรู้สึกโดดเดี่ยวและรวดร้าวของตัวละคร

    และสิ่งที่ตรึงคนดูได้ดีที่สุด คือ ความงามอันอลังการงานสร้างทั้งหลายแหล่ ที่งามหยดย้อยมากๆ เรียกได้ว่า นั่งดูก็รู้สึกคุ้มค่าตั๋วแล้ว ยิ่งฉากร่ายรำโบราณทั้งหลายที่ทำให้เหมือนกับได้ดูการแสดงชั้นเลิศ





    ฉากต่อสู้ในหนังแม้จะมีอยู่น้อยนิด แต่ก็งดงาม การถ่ายภาพในหนังสามารถทำให้ หยดเลือด เป็น งานศิลป์ได้ เช่นการถ่ายให้เห็นเลือดที่กระเซ็นออกมาจากร่างกายกลายเป็นหยดสีแดงๆค่อยๆตกลงพื้น ภาพในหนังเรื่องนี้พัฒนาจากหนังจีนกำลังภายในเรื่องที่ผ่านๆมาขึ้นไปอีก

    ...หาก Crouching Tiger Hidden Dragon คือ ความงามในความสงบ ฉากสู้รบใน The Banquet คือ ความงามท่ามกลางความฉูดฉาด ซ้ำยังอ่อนหวานและดูงดงามมากกว่าฉากต่อสู้ในบ้านมีดบิน

    โดยเฉพาะ ฉากสังหารล้างโรงละคร ที่ปริ่มๆจะตลกเพราะความเว่อร์ แต่ หนังสามารถประคองให้ไม่ตกฟากไปอยู่ฝั่งนั้น ต้องยกความดีให้ผู้กำกับที่ทำให้ฉากนี้เป็นฉากที่ผสมผสานความเป็นละครเวทีกับภาพยนตร์ โดยเหมือน ป้ายสีบนผืนผ้าใบ ได้อย่าง โหดเหี้ยมและงดงาม

    จางซี่ยี่ แม้จะมีดีตรงความขาวและแผ่นหลัง และ เล่นได้ดีทีเดียว แต่ก็ดีในระดับที่ผมเองไม่ได้ประทับใจมากมายอะไร อาจเพราะเริ่มรู้สึกชินตาจนเบื่อเสียแล้ว กับจางซี่ยี่ในชุดในหนังแบบนี้ (ถ้าเปลี่ยนเป็นกงลี่ จะไม่บ่นซักคำ) คนที่ผมเองประทับใจมากเป็นพิเศษกลับเป็น โจวซวิ่น สาวหน้าหวานตัวเล็กที่มีทีเด็ดทีขาดในการถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างน่าชื่นชมมาตั้งแต่ Perhaps love

    ส่วน แดเนียล วู ในบทพระเอกก็ทำหน้าที่ได้ดีและน่าเชื่อถือในบทองค์ชายที่น่าจะมีดีมีฝีมือ แต่เลือกที่จะสนใจในสุนทรียศิลป์ และ เกอโหย่ว ที่ว่ากันว่าเป็นนักแสดงขาประจำของผู้กำกับ ในเรื่องล่าสุดก็เล่นเป็นผู้ร้าย และ เรื่องล่าสุดที่เข้าบ้านเราอย่าง kungfu hustle ภาพผู้ร้ายขำๆก็ยังจำติดตามาอยู่ แต่พอมาถึงเรื่องนี้ เขาสามารถแสดงความอำมหิตภายใต้สีหน้าทีเล่นได้อย่างน่าเกรงขาม

    และเหตุผลสำคัญที่ผมเลือกดูหนังเรื่องนี้คือ เฝิ่งเสี่ยวกัง ผู้กำกับที่ทำหนังที่ผมดูโดยไม่ได้คาดหวังแต่ประทับใจยิ่งนักกับ A world without thieves หนังที่ทั้งเรื่องมีสิ่งขัดใจเพียงอย่างเดียวคือ ทรงผมของหลิวเต๋อหัว ที่เป็น ทรงผมน่ารำคาญสายตาที่สุดของตัวละครในหนังที่เคยดูมา

    หนังเล่าเรื่องด้วยภาพได้อย่างน่าติดตาม หลายภาพที่ถ่ายออกมาได้สวยงามมาก และ หลายฉากก็เป็นการโชว์ที่น่าทึ่ง ซึ่ง ลีลาลูกเล่นในการถ่ายทำนี้ก็ส่งต่อมายัง The Banquet ด้วย ที่เราจะได้เห็นช็อตเด็ดๆ โดยบางฉากก็อาจไม่ได้ใช้เทคนิคมากมาย แต่ภาพถ่ายทอดสิ่งที่หนังต้องการสื่อสารทั้งอารมณ์และเนื้อหาได้ยอดเยี่ยม เช่น ฉากยื่นมือมาให้ฮองเฮาตัดสินใจ เท่มากๆ เสียดายเพียงแต่ว่า สิ่งที่หนังไม่ได้ส่งต่อตามมาจากหนังเรื่องที่แล้ว คือ การคุมเนื้อหาให้กระชับในเวลาที่กำหนด


    (มีต่อ)

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 13 พ.ย. 49 10:57:34 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com