CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    หวานมันส์ .... ชำแหละหนัง: "007" Casino Royale, นี่คือ James Bond ที่มีสูตรแบบไม่จำเจ

      10 - 9.5 / 10 (24 คน)
      9 - 8.5 / 10 (13 คน)
      8 - 7.5 / 10 (10 คน)
      7 - 6.5 / 10 (2 คน)
      6 - 5.5 / 10 (0 คน)
      5 - 4.5 / 10 (1 คน)
      4 - 3.5 / 10 (0 คน)
      3 - 2.5 / 10 (0 คน)
      2 - 1.5 / 10 (1 คน)
      1 - 0 / 10 (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 51 คน

     47.06%
     25.49%
     19.61%
     3.92%
     0.00%
     1.96%
     0.00%
     0.00%
     1.96%
     0.00%


    SPOIL

    .... ที่จริงช่วงนี้ก็ได้ดูหนังนะครับ ดู Step Up กับ Flyboys แล้ว Step Up เฉยๆมากเลยแหละ ผมว่า-
    นะ ถ้าใครได้ดู Take The Lead ที่ฉายเมื่อกลางปี คุณคงชอบเรื่องนั้นแหละ ส่วน Flyboys ยอมรับ
    ว่า เป็นหนังที่สร้างความแปลกใจเรื่องนึงปีนี้ ไม่คิดว่าจะชอบเรื่องนี้เลย แถมความสนุกของหนัง
    ทำได้ดีแบบคุณภาพอย่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกินครับ ถือว่าเป็นหนังที่ให้อารมณ์คล้ายๆกับหนัง
    เรื่อง The Great Raid ที่ฉายเมื่อปีที่แล้ว หนังไม่ได้ถูกโปรโมทมาก แต่หนังกับทำให้เราชอบแบบ
    ไม่รู้ตัวจริงๆ ส่วนเปนชู้กับผี คงไม่ได้เขียนแหละครับ เพราะตอนนี้ผมกำลังจะชุบงานเขียนเรื่อง
    Death Note ให้กลับมาใหม่ เพื่อต้อนรับภาคต่อของหนังเรื่องนี้ที่กำลังจะฉายในอีกไม่นาน

    .... ในเมื่อมีชาวเฉลิมไทยหลายๆคนรีบเขียนเรื่องนี้มาก่อนแล้ว ผมเองก็คงไม่ต้องรีบร้อนก็ขอ
    เขียนบ้างละกัน ยอมรับว่า นี่คือ 007 ที่ไม่ตามสูตร และไม่จำเจกับความรู้สึกที่มีต่อ Bond จริงๆ

    .... ตั้งแต่ 007 ได้ถูกสร้างมาเป็นหนังนั้น เราก็ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปอย่าง
    รวดเร็ว ที่สามารถเปลี่ยนทัศนคติต่อคนดูที่มีต่อสายลับ อย่างไม่คาดฝัน ซึ่งอดีตสายลับอย่าง
    Ian Fleming ได้พยายามที่จะสร้างเรื่องราวของสาบลับ M:I-6 ว่าแท้จริงในโลกแบบนี้ เขาทำงาน
    กันอย่างไร และชีวิตของสายลับเป็นอย่างไร ทำให้ตัวเขาเอง สร้างสายลับ ที่ชื่อว่า James Bond
    ในรหัสที่เรียกกันว่า 007 ให้คนอังกฤษและทั่วโลกได้อ่าน และเปิดโลกให้ชัดกว่าเดิมกับเรื่อง-
    ราวของพวกสายลับ โดยมี Casino Royale เป็นนิยายชุดแรกของ James Bond ที่เขาคนนี้แต่ง
    และก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากๆเสียด้วย จึงทำให้เกิดนิยายชุดนี้ตอนอื่นๆตามมา อีกหลายต่อ-
    หลายตอนในเวลาต่อมา จนกระทั่ง นิยายชุดนี้ ก็ได้ถูกบริษัท Metro-Goldwyn-Mayer ซื้อไปทำ
    เป็นภาพยนตร์ และในเวลาต่อมา 007 ก็เป็นที่แพร่หลายในโลกในช่วงเวลาหลายๆปีมานี้เอง
    ซึ่งผมคงจะกล่าวถึงบรรพบุรุษ 007 ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ว่าเป็นยังไงกันบ้างครับ

    Sean Connery เขาคือผู้ชายคนแรกที่สวมบทบาท 007 คนนี้ ที่ทั่วโลกต่างไม่เคยลืมเลือน
    เขาเลย เขาคือตำนานของหนังชุดนี้จริงๆ และคงไม่มีใครจะไม่รู้จัก Sean Connery ในบท 007
    เนี๊ยแหละครับ ตั้งแต่ Dr.No, From Russia with Love, Goldfinger, Thunderball, You Only Live-
    Twice และ Diamonds Are Forever ที่การรับบท James Bond ของเขาที่มีเสน่ห์ตลอดกาลของ
    นักแสดงที่รับบทบาทนี้อย่างแท้จริงครับ ซึ่งลักษณะ James Bond ที่เขาแสดงไปนั้น เป็นความ
    เหี้ยมที่สุดของ James Bond ที่เขาคนนี้ได้ทำมา

    George Lazenby เขาคือ 007 คนเดียวที่แสดงหนังชุดนี้แค่ตอนเดียว และนี่คือ 007 ตอน
    เดียวที่ ทำเงินได้น้อยที่สุด ( 75ล้านเหรียญสหรัฐ ) แต่ว่าการแสดงของเขาแค่ครั้งเดียวกลับไม่ได้
    สร้างความผิดหวังกับผมเลยแม้แต่น้อย ที่จริงเดิมทีเรื่องนี้ทางทีมสร้างได้ประกาศไปว่า นี่จะเป็น
    007 ตอนสุดท้ายที่จะสร้าง แต่เมื่อหนังนั้นไม่ทำเงิน จึงทำให้ต้องเรียก Sean Connery มาแสดง
    อีกทีในภาคต่อมา ซึ่งตอนเดียวเองนี้ที่เขาแสดง กลับทำได้น่าประทับใจมาก เพราะนี่เป็นเหมือน
    007 ในแบบหนังชีวิตเชียวนะ เหมือนเราได้เห็นอีกมุมมองนึงของ 007 ที่เราไม่เคยคิดว่า ตัวหนัง
    จะนำเสนอเรื่องราวแบบนี้ ถึงแม้เขาจะแสดงแค่ตอนเดียว แต่ยอมรับว่า ฝีมือของเขานั้น ไม่แพ้ปู่
    Sean Connery เลยซักนิดแหละครับ

    Roger Moore เขาคือ 007 ที่เป็น 007 ในแบบโลกแฟนซี ที่ออกจะแหลกแนวกับ 007 คน-
    ก่อนๆ ที่เราได้ชมกัน ยอมรับว่า เขาคนนี้เป็น 007 ที่ใกล้เคียงในนิยายมากที่สุด แบบที่หลายๆคน
    บอกเอาไว้ แต่ในความรู้สึกแล้ว เขาอาจจะเป็น 007 คนแรกที่มีผมบลอนด์ แต่ผมว่า เขาเป็น 007ที่
    ยังขาดเสน่ห์กว่าคนก่อนๆเสียอีก ค่อนข้างแหวกแนวไปหน่อยสำหรับ 007 คนนี้ ที่แสดงได้แนว
    แฟนซีเกินไปสำหรับ2คนก่อนหน้านั้น แต่ที่ชอบก็คือ เขาเป็น 007 ที่มีความคิดในแง่ที่ดีกว่าคน
    ก่อนๆอีก จึงทำให้ในเมื่อคนดูหลายๆคนชอบในตัวเขาคนนี้ จึงทำให้เขาเองได้เล่น 007 เยอะที่-
    สุด ประมาณ 7 ภาคด้วยกัน ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่นานที่สุด ของ นักแสดง 007 คนนึง ที่มาแสดงใน
    หนังชุดนี้

    Timothy Dalton อาจจะเกือบน้อยสุดๆ ของนักแสดงที่มารับบท 007 นี้ แต่ด้วยความเหี้ยม
    แบบเดียวกับ Sean Connery และความเข้มลึกๆในตัวเขา ทำให้เป็น 007 ที่น่าจดจำอีกคนนึง ถึง
    แม้ว่าตัวเขานั้น อาจจะเป็น 007 คนที่2 ที่ไม่ได้รับความนิยมก็ตาม

    Pierce Brosnan คนนี้คือ 007 ในยุคเข้าสู่สหศวรรษใหม่อย่างแท้จริง เพราะนี้เป็น 007
    คนเดียวที่ไม่ใช่กำลังเลยซักนิด แต่กลับใช้เทคโนโลยีต่างๆ มาเป็นเพื่อนคู่ใจปราบปรามเหล่าร้าย
    ในแต่ละภาค และก็ตัวละคร Q เองก็มีอิทธิบทอย่างมาก ต่อ 007 ในยุคของเขา ที่แหวกไปกว่านั้น
    คือ 007 ในยุคของนั้น มี M เป็นผู้หญิง มีสาวสวยเคียงค้างเขาตลอดเวลา แถมนี่เป็น 007 ที่เกือบ
    จะเป็นหนังไซไฟซะแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความ 007 คนนี้จะมีเสน่ห์นะ เพราะว่า 007 ภาค
    เดียวที่ผู้ชายคนนี้ทำได้ดีสุดๆ ก็คงเป็น Golden Eye เนี๊ยแหละ ที่ทำได้ดี นอกนั้นผมเฉยๆ ถึงแม้
    ว่า Tomorrow Never Dies พยายามจะสร้างความสะใจให้กับคนดู The World is Enough จะใส่
    ความเป็น Drama เข้าไปเยอะ และ Die Another Day จะเน้นเอามันส์อย่างเดียวก็ตาม แต่เขาคนนี้
    คือ 007 ที่ผิดหวังที่สุด และไม่ Classic เลยซักนิด กับการรับบทของหนังชุดนี้ ยอมรับว่ายุคเขาทำ-
    ได้ สนุกทุกตอน แต่สำหรับผมเขาคนนี้เอง ไม่สามารถไปเทียบเท่ากับ 007 คนก่อนๆได้ล่ะครับ

    มาถึงคนล่าสุด Daniel Craig ผมเชื่อว่าเมื่อหลายๆคนรู้ว่า ชายคนนี้เองนั้นคือคนที่รับบท
    007 ใน James Bond ในยุคใหม่นี้นั้น ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงจะเกิดความผิดหวังสุด แล้วก็อาจจะ
    เกิดความรู้สึกที่อยากจะสบประมาทรนักแสดงคนนี้ แต่ก็นั่นแหละครับช่วงแรกที่ชายคนนี้ถูก
    เลือกมารับบท 007 นี้นั้น ก็ไม่ต่างจาก การรับบทในช่วงแรกๆ ของ Tobe Mcguire ในบท Peter
    Parker ใน Spider-Man นั่นแหละ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เขาคนนี้จะหยุดความพยายาม-
    หรอกนะ ซึ่งผมคิดว่าเขาคนนี้แหละ จะเป็นคนที่มาปฏิวัติสายลับอังกฤษ ได้อย่างไม่น่าสงสัย
    และที่สำคัญผมคิดว่า ตัวเขาเอง คือ 007 ที่มีความเป็น Sean Connery และ Roger Moore อยู่ใน
    คนๆเดียวกันครับ และตอนที่เอามาสร้าง ตอนที่ชื่อว่า Casino Royale ซึ่งเป็นนิยายชุดแรกของ
    สายลับ 007 เนี๊ยแหละ

    ใน Casino Royale สามารถเรียกได้อีกชื่อนึงว่า 007: James Bond Begins ซึ่งภาคนี้จะเล่าถึง
    ภารกิจช่วงแรกๆ ของ 007 ที่ไปปฎิบัติมา ภาคนี้เองในนิยาย ถือว่ามีความรุนแรงค่อนข้างสูงที่
    สุดในบรรดา James Bond ทุกตอนในนิยาย แต่ว่าเมื่อเรื่องนี้ ได้รับการถูกสร้างเป็นหนังอย่าง
    เป็นทางการแล้ว ก็ทำให้เห็นว่าเราคงได้เห็นความสดของสายลับคนนี้อย่างแน่นอนล่ะครับ
    หลังจากที่ช่วงที่ผ่านมาในหนังชุด 007 นี้ เราได้แต่เห็นสายลับคนนี้นั้น ใช้แต่เทคโนโลยี
    ต่อกรกับผู้ร้ายในแต่ละภาค ฉนั้นนี่ต้องเป็น James Bond ที่ทีสูตรแบบไม่จำเจออย่างแน่นอน
    แหละครับ และผมคาดหวังไว้ก่อนดูแล้วว่า นี่คงเป็น James Bond ที่สมกับการเป็น 007 มากที่-
    สุดกว่าที่ผ่านมาครับ

    สูตรของ 007 ในแต่ละภาค แน่นอนว่ามันเป็นสูตรสำเร็จใครๆก็จะรู้ว่า จะต้องเป็นยังไงและ
    ก็นี่คือสูตรที่เห็นในหนัง 007 อยู่บ่อยๆครับ

    (เริ่มต้นเรื่องด้วยรูกระบอกปืนแล้วยิง/ไตเติ้ลทุกครั้งจะต้องมีผู้หญิงเปลือยมาเป็นตัวประดับ
    ตลอดเวลา/ต้องมีฉากบนเตียง3ครั้งต่อตอนนึง/ผู้ร้ายตายแบบอานาตร/ตอนจบ007พานางเอกหนี
    ไปที่ๆพวก M:I-6 ตามหาไม่เจอ แล้วก็ไปเมคเลิฟซักที่นึง
    )

    ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าใครได้ดู 007 เกือบทุกภาค มันก็จะต้องมีสูตรสำเร็จแบบนี้อยู่เกือบทุกภาคแหละ
    ซึ่งมันอาจจะทำให้หลายๆคนเริ่มจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่ 007 ทุกๆภาคได้นำเสนอไป ที่สำคัญ
    โดยเฉพาะยุคของ Pierce Brosnan รับบทเป็น 007 ที่ดูไม่เป็นธรรมชาติเสียเลยครับ แล้วก็เคยคิด
    ว่าเมื่อไหร่ 007 ถึงจะเป็นสูตรซะที

    ในที่สุด สูตรของ 007 ก็ถูกมาเปลี่ยนอย่างจริงๆจังๆซะทีใน 007: Casino Royale ที่คราวนี้เป็น
    007 ที่พลิกแนวของตัวเองคือไม่ตามสูตรของตัวเองซักนิด และก็พยายามจะทำให้ดูแตกต่างกว่า
    ที่ทุกๆภาคนำเสนอ ฉนั้นเมื่อหนังเปิดเรื่อง คุณยังจะไม่ได้เห็น Logo 007 ที่ใช้เป็นประจำแทบ
    ทุกภาค จนกว่าเมื่อบทโหมโรงของหนังได้จบไป ที่ยิ่งดีคือบทโหมโรงของหนังภาคนี้ เป็นขาว
    ดำ ในการพูดถึงภารกิจแรกที่ Bond ได้รับซึ่งทำได้ Classic และ ดิบเถื่อนได้ดีครับ ฉนั้นถ้าใครหวัง
    ว่า 007 ภาคนี้ จะเตะต่อยวิ่งสู้ฟัดกันทั้งเรื่อง ภาคนี้แหละคุณจะเห็นกันซะสมใจซะที ยิ่งช่วง
    ไตเติ้ลคืออะไรที่ผมชอบมากๆอย่างนึงในหนัง เพราะว่านี่เป็นไตเติ้ลแรกของ 007 นับตั้งแต่
    Dr. No เลยล่ะที่ไม่มีผู้หญิงมาเดินประดับในไตเติ้ล ซึ่งผมเองรู้สึกว่านี่คือ 007 ที่ออกดู Classic
    มากที่สุด ที่สร้างมาและไม่จำเจอกับภาคก่อนๆเสียด้วย!!!!!

    .... สำหรับ James Bond ในภาคนี้นั้น คือการตีความใหม่ของตัวละครเขาจะว่าได้ จะเห็นภาคนี้
    จะเล่าถึงจุดเริ่มต้นของสายลับคนนี้อย่างละเอียดยิบจริงๆ ซึ่งก็ไม่ต่างจากการตีความใหม่แบบ
    เดียวกับที่หนังอย่าง Batman Begins และ Superman Returns ได้ทำไปแล้ว แต่นี่พยายามจะให้
    เห็นว่า นี่จะเป็น 007 ที่มีความเป็นจริงได้ใกล้เคียงสุดในบรรดา 007 ที่ผ่านมา

    โดยเฉพาะฉาก Action ของหนังเรื่องนี้ Bond จะไม่ใช้พวกอาวุธไฮเทคกิ๊กก๊อกอีกต่อไป แต่จะ
    ใช้การ วิ่งสู้ฟัดของเขา ที่เราไม่ได้เห็นเป็นเวลานานแล้ว มาเป็นการสู้เฉพาะกิจเลย ในตัวของ
    เขาเองนั้น เราจะดูรู้ถึงจิตรที่แท้จริงของ Bond ความเป็นตัวเขาเองมากขึ้น มีอะไรอีกมากมายที่
    เราจะได้เห็นที่เปลี่ยนแบบ 007 ไปตลอดกาล

    เพราะว่า Bond ในภาคนี้ จะมี การรู้สึกนึกคิด และ ความรุนแรง ของสายลับคนนี้เป็นหลัก แล้ว
    เราเองจะรู้สึกว่า นี่เป็น James Bond ที่ฉีกรูปแบบตัวตนของเขาเอง อย่างชัดเจอและ แน่จริง

    (มีต่อ)

    แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 49 16:37:24

    จากคุณ : billy bob - [ 22 พ.ย. 49 16:36:20 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com