| ชอบมาก ห้ามพลาด (9 คน) |
| ชอบ (8 คน) |
| เฉยๆ (1 คน) |
| ไม่ชอบ (0 คน) |
| ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (1 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 19 คน |
... เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป อ่านความเห็นอื่นๆ และ เชิญชวนมาแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=11-2006&date=29&group=1&blog=1
...ผมทะเลาะกับพ่ออยู่บ่อยครั้ง และ รู้สึกหงุดหงิดอยู่เนืองๆ ที่เห็นพ่อไม่เคยใส่ใจในงานที่เรารัก หรือ ไม่เคยชื่นชมในสิ่งที่เราทำ เหมือนกับว่า พ่อไม่เคยยอมรับเรา
วันหนึ่งเคยถามพ่อตรงๆว่า เพราะอะไร ถึงไม่เคยชื่นชมลูก เหมือนที่คนอื่นๆเขาทำ ไม่เคยสนใจหรือใส่ใจในงานที่เราชอบบ้าง เพราะแม้ คนอื่นรอบข้างจะยอมรับ แต่ คนเป็นลูกก็ต้องการการยอมรับจากคนเป็นพ่อแม่ ที่เป็นบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิต
ผมเองได้รู้ความจริงถัดมาว่า พ่อภูมิใจในตัวผมเสมอมาเวลาพ่อคุยกับใครต่อใครถึงงานและความสำเร็จของผม ในเวลาเดียวกันพ่อเองก็รู้สึกแย่เช่นกัน เมื่อผมเองนั้นก็ไม่ได้มีทีท่าใส่ใจให้ความสำคัญกับพ่อ ซึ่งผมเองนั้นไม่เคยรับรู้มาก่อนว่านี่ก็เป็นสิ่งที่พ่อต้องการ
กลายเป็นว่า คนสองคน พ่อกับลูก ที่ยอมรับในกันและกัน กลับไม่เคยสัมผัสความรู้สึกดีๆจากอีกฝ่าย แต่ เราสัมผัสได้แค่ ท่าที ของอีกฝ่ายแทน
และนั่น ทำให้ผมเข้าใจว่า ทาคาชิ คนลูก กับ เคนอิจิ ผู้พ่อ ก็คงประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน
...ทาคาชิ ถูกตามให้กลับบ้านต่างจังหวัด เพื่อช่วยงานพ่อ บันทึกภาพคนในหมู่บ้านของตัวเอง เป็นภาพถ่ายความทรงจำก่อนหมู่บ้านนี้จะถูกลบไปจากแผนที่เพราะถูกเขื่อนมาทดแทน
ทาคาชิ มาด้วยความหงุดหงิด แม้เขาจะไม่พูดออกมา แต่ ผมเองขอเดาว่า นี่ก็น่าจะเป็นเสียงในใจของเขา
ไม่กี่ปีก่อนตอนผมออกจากหมู่บ้านฮานาทานิเพื่อมาทำงานที่โตเกียว พ่อดูไม่สนใจใยดีผมเลยแม้แต่น้อย พ่อไม่ถาม ไม่มีให้กำลังใจ ไม่แม้กระทั่งบอกลา ท่าทีของพ่อที่มีต่อผม เหมือนอย่างที่พ่อทำกับพี่สาวคนโตที่หนีออกจากบ้านไปโตเกียวแล้วไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย
หลังจากผมย้ายมาโตเกียวซักพัก พ่อก็ดูเหมือนจะลืมๆผมไป ผมเข้าใจว่า พ่อคงโกรธที่ผมมาโตเกียวเหมือนพี่สาวที่ตีตัวออกห่างจากครอบครัว ผมเดาว่า การไปโตเกียวของผมคงเป็นสิ่งที่พ่อผิดหวังอย่างรุนแรง
พ่อคงอยากให้ผมหางานปักหลักอยู่ที่ฮานาทานิ มีครอบครัวอยู่ที่นี่ อยู่พร้อมกันพ่อลูก
แต่ผมไม่อยากอยู่บ้านนอก อยู่แค่ในจังหวัดเล็กๆ ผมอยากจะเป็นช่างกล้องมีชื่อเสียง อยากเข้าไปพบโลกกว้างในเมืองใหญ่
ผมแปลกใจที่ผมได้รับการติดต่อให้มาเป็นผู้ช่วยพ่อ ทำหน้าที่ถ่ายรูปคนในหมู่บ้าน เพื่อเป็นบันทึกความทรงจำ ผมสงสัยว่าทำไมพ่อถึงเลือกผม ทั้งที่ผ่านมา พ่อเองก็ดูเหมือนไม่เคยใส่ใจดูดำดูดีลูกอย่างผมแม้แต่น้อยนับตั้งแต่ก้าวออกจากบ้านมา พ่อเห็นความสามารถในตัวผมด้วยหรือ
หรือ พ่อเกิดเหงา
หรือ พ่อหาใครช่วยไม่ได้ก็เลยตามผมมา
ช่างมันเถอะ
วันที่มากลับมาเหยียบบ้านอีกครั้ง มันก็เป็นอย่างที่คิด พ่อเดินผ่านเหมือนมองไม่เห็นผม พ่อนั่งกินข้าวโดยเหมือนผมไม่มีตัวตน
ผมไม่เข้าใจว่าถ้ากลับมาบ้านแล้วเกิดบรรยากาศแบบนี้ จะตามผมกลับมาทำไม
ผมโกรธพ่อ อย่างน้อยพ่อน่าจะพูดอะไรออกมาบ้าง
ผมน้อยใจ กับเหตุการณ์ที่ผ่านมากับการที่พ่อไม่เคยมีทีท่าเหมือนจะสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของผม
เพราะสิ่งที่พ่อทำ ทำให้ผมไม่แน่ใจว่า พ่อยังรักผมอยู่หรือเปล่า
...ทาคาชิ คงไม่อยากจะกลับมาบ้านเกิดเท่าไหร่นัก ไม่ใช่แค่เรื่องพ่อ แต่ยังเพราะ ความจริงที่เขาได้เป็นแค่ผู้ช่วยที่เก็บของงกๆเงิ่นๆ ชีวิตที่ห่างไกลจากความฝันเป็นช่างภาพ เขาเองคงไม่กล้าที่จะกลับมาบอกพ่อ หรือ บอกคนในหมู่บ้าน ว่าเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่ฝันไว้ เขาไม่ได้เป็นอย่างที่ใครต่อใครพูดคุยถึง
การจากบ้านชนบทไปทำงานเมืองใหญ่ของทาคาชิ ก็เหมือนกับ คนต่างจังหวัดบ้านเรา ที่เฝ้าฝันว่า กรุงเทพคือเมืองสวรรค์ แล้วละทิ้ง บ้านเกิดไว้ข้างหลัง ก่อนจะพบว่า เราเองเป็นคนทิ้งสวรรค์มาแบบไม่รู้ตัว
ภาพลวงของเมืองหลวงทำให้คนต่างจังหวัดหลายชีวิตไม่เคยหยุดคิดที่จะวิ่งไล่ความฝัน น่าสงสารที่หลายคนนั้นวิ่งไล่ความฝันจนลืมหันหลังกลับไปมองบ้านที่เราจากมา
เราลืมหันไปมองว่า เราได้ทิ้งอะไรมาแล้วบ้างกับเวลาที่ผ่านไปไวโดยไม่รู้ตัว
...เราเคยเติบโตมากับต้นไม้ต้นที่ให้ความร่มเย็น ให้ผลไม้ได้เด็ดกินยามหิว ให้อากาศหายใจตั้งแต่เรายังเล็ก แต่เรากลับไม่มีโอกาสได้กลับไปนั่งใต้ร่มเงาต้นไม้นั้นเมื่อมันเติบใหญ่ เมื่อมันเริ่มร่วงโรย จนมันเหี่ยวเฉาและตายจาก ในขณะที่ เราเหมือนจะลืมต้นไม้ต้นนั้นไปเสียแล้ว
เพราะเมื่อเราโตขึ้น เราเรียนรู้ที่จะเข้าห้างเข้าตึกเวลาอากาศร้อนโดยไม่คิดจะไปนั่งพักใต้ต้นไม้ต้นนั้นอีก เราสามารถหาอาหารสำเร็จรูปตามห้างสรรพสินค้าโดยไม่ต้องเด็ดผลไม้จากต้นนั้น เราไปหาอากาศหายใจจากต้นไม้ต้นใหม่ที่สีสันตื่นตาตื่นใจกว่า และ เรายังคงวิ่งไล่ล่าความฝันโดยไม่ทันสนใจสิ่งใดๆรอบตัว
พ่อแม่ของเรา ก็อาจเป็นดั่งต้นไม้เหล่านั้น เมื่อถึงวันหนึ่งท่านก็ต้องจากเราไปตามสัจธรรมของกาลเวลา ท่านอาจรอวันที่จะให้ร่มเงาเราอีกครั้งเหมือน ตอนที่เรายังเด็ก แต่ เรากลับไม่ทันคิดถึง เราลืมวันเก่าๆตอนที่เรายังต้องการพวกเขา ตอนที่เรายังอยากให้เขาช่วยดูแลเราตลอดเวลา
...ทาคาชิ มาช่วยงานพ่ออย่างไม่เข้าใจว่า ทำไม เขาถึงกลายเป็นตัวเลือกที่พ่อต้องการ และ หากเป็นที่ต้องการจริง ทำไมเมื่อมาถึง พ่อจึงยังคงมีทีท่าไม่ใส่ใจ
งานของพ่อสร้างความสงสัยให้ ทาคาชิ เป็นทวีคูณ เพราะแทนที่พ่อจะนั่งรถเพื่อถ่ายภาพให้เสร็จอย่างรวดเร็ว พ่อกลับเลือกเดินไปตามรายทางของบ้านแต่ละหลังแล้วค่อยๆเก็บรูปภาพของผู้คนแต่ละครอบครัว
วิธีการของพ่อ ยิ่งตอกย้ำ ความคิดที่เขาบอกคนรักว่า พ่อ ผู้ซึ่งในสายตาของเขา เป็นแค่ ช่างภาพกระจอกๆคนหนึ่ง ส่วนฮีโร่ในการถ่ายภาพของ ทาคาชิ เป็นศิลปินชื่อฝรั่งที่ดูโก้เก๋
ก่อนที่การเดินทางตามหลังพ่อครั้งนี้ เขาจะค่อยๆได้ซึมซับ บางสิ่งบางอย่าง ที่ ช่างภาพฝรั่งในอุดมคติของเขาไม่สามารถให้ได้ นั่นคือ การถ่ายภาพด้วยหัวใจ และ ความลับของความรักที่เขาไม่เคยรับรู้
...ภาพที่ถ่ายด้วยมือใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาที แต่ภาพที่ถ่ายด้วยหัวใจใช้เวลาไม่เท่ากัน เพราะภาพๆนั้นจะไม่ได้ใช้แค่มือกับสายตา แต่คนถ่ายต้องใช้ใจสัมผัสชีวิตที่อยู่ในเฟรมจึงจะถ่ายทอดความรู้สึกและจิตวิญญาณของคนที่เป็นแบบออกมาได้ ต่อให้ใช้เวลาเป็นชั่วโมง หากผู้ถ่ายไม่สามารถเชื่อมความรู้สึกตัวเองกับคนอื่น หากผู้ถ่าย ไม่แคร์คนในรูป ก็ย่อมไม่มีทางถ่ายทอดความรู้สึกคนอื่นให้ออกมามีชีวิตบนภาพถ่าย
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การถ่ายภาพยังสะท้อนการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วย เราจะเห็นพ่อที่เอาใจใส่คนในรูปทุกคน มันก็เหมือนกับการใช้ชีวิตของพ่อที่เคารพให้ความสำคัญกับผู้อื่นอยู่เสมอ แต่ ทาคาชิ ไม่เคยเอาใจใส่หรือแคร์คนรอบข้าง มัวแต่สนใจหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องของตัวเอง เช่น ในตอนยายที่เขามัวแต่สนกับโทรศัพท์มือถือ
ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจ ว่าเพราะอะไร ทาคาชิ จึงถึงกับต้องฉีกภาพถ่ายตัวเองทิ้งไป เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับภาพถ่ายของพ่อ เมื่อเขาได้เห็นว่า ภาพของเขานั้นขาดสิ่งสำคัญไปนั่นคือ ชีวิตจิตใจของผู้คนในภาพ และ ทำให้เขาได้รู้จักฮีโร่หรือต้นแบบตัวจริงที่ตัวเองอยากจะเป็นตลอดมา
...เราจะเห็นระยะห่างระหว่างคนสองคนที่เดินทิ้งช่วงไกลกัน ก่อนจะค่อยๆย่นระยะเข้ามาหากันตามระยะทางของหัวใจ ก่อนที่เราจะได้เห็นระยะห่างกลายเป็นศูนย์เมื่อลูกให้พ่อขี่คอขึ้นเขา ในตอนนั้น ก็คงเหมือนหัวใจของคนสองคนได้กลับมาหลอมรวมกันอีกครั้ง
...เสียงบางเสียงไม่ได้ยินออกจากปากตัวละคร แต่หนังถ่ายทอดให้ได้เห็นและได้ยิน เสียงในใจของพ่อลูกคู่นี้ ผ่านการแสดงออก
...หากย่อหน้าตอนต้นคือเสียงในใจของทาคาชิ คนลูก และ นี่ก็น่าจะเป็นเสียงในใจของเคนอิจิผู้พ่อ
ในใจของคนเป็นพ่อ ใครบ้างที่จะไม่รวดร้าวเมื่อต้องเห็นลูกจากไป พ่อคนไหนบ้างที่อยากจะให้ลูกลืมเรา พ่อคนไหนบ้างที่ไม่อยากจะเห็นลูกมีอนาคตมีความสุขในชีวิต
ภรรยาอันเป็นที่รักจากผมไป เมื่อ เจ็ดปีก่อน
ลูกสาวคนโต ทิ้งครอบครัวของเราที่มีกันอยู่แค่พ่อลูก ไปอยู่กับคนรักที่โตเกียวซึ่งไอ้หนุ่มนั่นก็ไม่ได้ตั้งใจจะจริงจังแถมยังทิ้งลูกไว้ให้รับผิดชอบ
ไม่กี่ปีก่อน ทาคาชิ ลูกชายคนโตของผมก็ออกจากเมืองนี้ ไปโตเกียว
การจากไปของทาคาชิ แม้จะรวดร้าว แต่ ผมก็ภูมิใจ
การจากไปของทาคาชิ คือ ความภาคภูมิใจที่ผมยินดีและเที่ยวบอกใครต่อใครในหมู่บ้านเวลามีคนถามถึง ผมภูมิใจที่มันสามารถทำในสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้ มันสามารถสานฝันของตัวเองให้เป็นจริงและสานฝันของผมที่ทำไม่สำเร็จในโตเกียว
วันนี้ ผมรู้สภาพร่างกายตัวเองดีว่า ผมคงอยู่ได้อีกไม่นานโดยไม่ต้องมีหมอที่ไหนมาบอก ดังนั้นเมื่อรู้ว่าหมู่บ้านนี้กำลังจะถูกทำลายทิ้งไป ผมจึงไม่ลังเลใจที่จะรับงานถ่ายรูปหมู่บ้านนี้เก็บไว้ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะได้ตอบแทนหมู่บ้านที่มอบเวลาที่ดีที่สุดและมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตผม นั่นคือ ชีวิตครอบครัวกับภรรยาและลูกๆที่ถือกำเนิดจากที่นี่
ผมบอกกับเจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านว่า ผมต้องการตัวลูกชายกลับมาเป็นผู้ช่วย เพราะ อยากมีเวลาในชีวิตช่วงสุดท้ายอยู่กับมัน
ผมไม่รู้ว่ามันยังต้องการผมหรือไม่ เพราะผมรู้ดีว่า เมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่ ลูกทุกคนก็มีโลก มีชีวิตของมันเอง และ ไม่แน่ มันอาจจะลืมพ่อไปแล้วก็เป็นได้
ผมอยากจะเห็นหน้าลูกทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย ผมอยากให้มันกลับมาสัมผัสหมู่บ้าน อยากฝากให้มันได้รับรู้ว่าหมู่บ้านที่มันเติบโตมานี้ ไม่ใช่แค่แผ่นดินที่มีที่ไว้ให้ยืน
หมู่บ้านแห่งนี้คือ ความรักอันบริสุทธิ์ที่ผู้คนมีให้ต่อกัน ผมอยากพามันไปพบกับคุณยายที่รอคอยอย่างเดียวดายแต่ก็สุขใจที่ได้รอ เพื่อนร่วมงานที่รักสมัครสมานและอุ่นไอในมิตรภาพ เด็กๆที่วิ่งเล่นกันอย่างใสซื่อสนุกสนานเหมือนมันกับพี่น้องตอนเด็กๆ ดั่งเช่นภาพที่ผมถ่ายแล้วเก็บไว้ตลอดมา
รวมไปถึง ความรักที่ผมและภรรยามีให้แก่กัน และ ความรักที่เราสองคนนั้นมีกับลูกทุกคน
ถ้าไม่ใช่เพราะรัก ผมเองก็คงไม่ทิ้งโตเกียวกับอนาคตมาที่นี่ และ ถ้าไม่ใช่เพราะรัก เราก็คงไม่คิดจะมีลูกถึงสามคนทั้งที่สุขภาพของภรรยาผมก็ย่ำแย่
แต่เราทั้งคู่ก็ยินดี เพราะรู้ว่า ด้วยความรักที่มี ที่หมู่บ้านนี้ ความรักของเราจะเติบโตในตัวลูกๆต่อไป
ผมอยากให้มันกลับมาเก็บภาพความทรงจำของความรักนี้ไว้ในใจไม่ใช่แค่จำได้เวลาคนพูดถึง
ผมอยากให้เสียงดนตรีเวลาห้าโมงเย็นดังก้องอยู๋ในหัวใจก่อนที่จะไม่ได้ยินเสียงอีกต่อไป
ผมอยากส่งต่อความรักของพ่อกับแม่ไว้ให้มันเก็บรักษาไว้ยามที่ผมไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว และ มันจะสามารถส่งต่อความรักนี้ไปให้น้องสาว หรือ กับครอบครัวของมันต่อๆไป
แน่นอน ผมรักลูกทุกคน ไม่ว่าลูกจะเป็นเช่นไร
(มีต่อ)
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
วันพ่อแห่งชาติ 09:42:38
]