ความคิดเห็นที่ 2
ครับ อีกหนึ่งรีวิวก็ใส่ไปเลยแล้วกัน กับภาคต่อของ 2001 อ่านต่อเนื่องกันไปนะครับ
2010: The Year We Make Contact (1984) 2010 อุบัติการณ์อาทิตย์ดวงใหม่
แนวหนัง ไซไฟ ตอนต่อของหนังปรัชญาครับ
ภาคต่อที่ห่างจากภาคแรก (2001) ถึง 16 ปี กับเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากภาคแรก กับการตามล่าหาคำตอบ ที่ยังค้างคาอยู่ในตอนที่แล้ว ซึ่งหนังก็ให้คำตอบมาหลายอันครับ แต่โดยส่วนตัว ผมคิดว่า การให้คำตอบมันไม่เฉียบคมเท่าให้คำถามหรอก
หลังจากภาคก่อนนะครับ ดร.เดฟ บาวแมน (Keir Dullea) ผู้นำทีมสำรวจตามหาแท่งหินโมโนลิธดำนั่น เกิดหายสาปสูญไปเลย ทิ้งไว้แต่ข้อความว่า "โอ้ พระเจ้า มันเต็มไปด้วยดวงดาว" ทำให้โลกต้องรีบส่งคนไปตามล่าหาความจริงครับ โดยได้ ดร.เฮย์วู้ด ฟลอยด์ (Roy Scheider) มาพาคนไปสืบเรื่องราวทั้งหมด และงานนี้ยานก็ยังมีปัญญาประดิษฐ์ติดยานไปเช่นเคย (ชื่อ SAL 9000 ครับ) ซึ่งพวกเขาจะต้องพบกับอะไรบ้างหนอ?
ก็คาดไม่ถึงนะครับว่าหนังมันจะมีภาคต่อออกมาอีก เพราะเมื่อปี 1968 ตอนที่ Stanley Kubrick กำกับหนังภาคแรกเสร็จแล้ว เขาก็ตัดสินใจทำลายแบบจำลอง โมเดล และฉากในหนังจนหมดสิ้นเลยนะครับ เพราะเขาไม่ต้องการให้มีการนำแบบเหล่านั้นไปใช้อีกไม่ว่าจะที่ไหน ดังนั้นในเรื่องนี้ทีมงานก็เลยต้องมานั่งทำใหม่หมดเลยครับ (แต่ Kubrick เองก็ไม่มีส่วนร่วมใดๆ อีกกับหนังเรื่องนี้ครับ)
แล้ว Peter Hyams คือผู้กำกับหนังเรื่องนี้ครับ ซึ่งผมต้องขอยอมรับในความกล้าหาญของเขาเลยครับ ที่กล้าทำภาคต่อของหนังระดับ คลาสสิคแบบนี้ ซึ่งเขาก็ทำออกมาได้ไม่เลวครับ นับว่าน่าติดตามอยู่ แต่ออกจะอืดไปหน่อย ถ้าพูดกันถึงความเป็นหนังโดยไม่อิงกับภาคแรกนะครับ หนังก็ไม่เลวน่ะ
แต่ก็ต้องเข้าใจนะครับว่าหนังมันคนละแนวทางกับภาคแรกเลย ในภาคนี้เรื่องราวต่างๆ มันจะไปตามสูตรของหนังฮอลลีวู้ดแล้วล่ะครับ เริ่มจากดาราที่มืออาชีพเอามากๆ ไม่ว่าจะ Scheider (จากหนังเรื่อง JAWS 2 ภาคแรก), John Lithgow ในบท ดร.วอลเตอร์ เคอร์นาว, Helen Mirren ในบท ทันย่า และ Bob Balaban ในบทดร.อาร์ แชนดร้า แต่ละคนก็แสดงได้ดีครับ แต่บทพูดยังจัดว่าธรรมดาน่ะฮะ หนังพยายามจะทำให้เป็นแบบไซไฟผจญภัยมากกว่า ซึ่งผมว่า ผู้กำกับ Hyams ยังไม่แม่นพอสำหรับงานแบบนี้น่ะนะครับ (ไม่ว่ายุคนั้นหรือยุคนี้ พี่แกยังไม่แม่นเท่าที่ควรครับ) ลูกเล่นยังไม่มากพอ หนังเลยอยู่ในระดับเรื่อยๆ มากกว่า
หนังจัดว่าพอไหวครับ สาระก็มี เพียงแต่การนำเสนอมันยังอ่อนพลังอยู่ ดาราแม้ดีแต่บทยังไม่ถึงเครื่องนัก แม้จะสร้างจากนิยายของ Arthur C. Clarke จากภาคแรกก็ตามเถอะ แต่หนังยังไม่สามารถเปลี่ยนความอืดเป็นพลังอย่างในภาคแรกได้ เพราะภาคแรกนั้นมันมีเพียง ภาพ ภาพ ภาพ - อวกาศ อวกาศ อวกาศ - ดนตรี ดนตรี ดนตรี - ปรัชญา ปรัชญา ปรัชญา แต่เฮีย Stanley Kubrick สามารถปรับเอาสิ่งที่ควรจะเป็นภาระให้กับภาพยนตร์เหล่านี้ให้กลายเป็นพลังครับ เป็นพลังอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ แต่กับเรื่องนี้ ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่เท่าไหร่น่ะฮะ
สรุปนะครับ มันก้เป็นแนวไซไฟที่ไม่เลวครับ แต่ต้องเหมาะกับคอไวไฟแท้ๆ มากกว่า เพราะอย่างภาคแรกมันมีความเป็นหนังแปลกอยู่ด้วยนะฮะ ผมเลยแนะนำให้คอหนังได้ดูกันทั่วๆ เพราะไม่แน่ว่าท่านอาจจะพิศวาสขึ้นมาก็ได้ แต่กับเรื่องรี้ชัดเจนครับ ถ้าไม่ชอบแนวไซไฟ ผมว่าไม่ชอบแน่ๆ เลยล่ะ ถือว่าพอดูได้ มีสาระบ้าง แต่ก็ไม่มากมายอะไรครับ
สองดาวเฉียดครึ่งครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=10000tip&group=11&month=10-2005&date=14&blog=2
จากคุณ :
หมื่นทิพ TRAVOLTA (เทพบุตรตบะแตก!!)
- [
6 ธ.ค. 49 22:12:45
]
|
|
|