CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ไอ้หมื่นเอาหนังเก่ามาเล่า 2001: A Space Odyssey (1968) พร้อมถามให้โหวตว่าชอบกันหรือเปล่า

      ชอบ! หนังสุดยอดไปเลย (9 คน)
      เฉยๆ ... หนังอะไรก็ไม่รู้ (0 คน)
      ไม่ชอบ! ดูแล้วมึนเป็นบ้า (1 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 10 คน

     90.00%
     0.00%
     10.00%


    อ้า มีบ่นตามด้วยคำถามครับ อยากรู้ว่าคิดยังไงกับหนังมึนแต่มีอะไรมากเกินเหตุเรื่องนี้

    แนวหนัง ไซไฟ - โคตรปรัชญาแบบสุดๆ

    และนี่ คืออภิมหากาพย์หนังแห่งอวกาศ ที่ทุกคนพอได้ดู ก็ต่างยกให้เป็นเสียงเดียวกันว่า

    หนังเรื่องนี้ดูแล้วมึน!

    นี่ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ ดูแล้วคุณจะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้แฝงอะไรอยู่เยอะเหลือเกิน แต่ขณะเดียวกันคุณก็จะรู้สึกว่า ไม่สามารถเอาอะไรติดกลับหัวออกมาจากหนังเรื่องนี้ได้เลย เออ คิดดูแล้วกัน กับหนังที่กำกับโดย Stanley Kubrick ซึ่งพี่แกก็เก่งอยู่แล้วครับ ในเรื่องการสร้างปรัชญาในหนัง แล้วหนังยังสร้างจากนิยายของ Arthur C. Clarke นักเขียนจอมปรัชญาอีกคน เมื่อจอมปรัชญาแห่งภาพยนตร์มาเจอกับจอมปรัชญาอีกคนแห่งนิยาย ผลที่ได้ออกมา ถ้าไม่มึนล่ะคงจะไม่ไหวล่ะครับ

    เนื้อเรื่องนั้น ... จะว่าไปคือไม่มีครับ นี่ผมพูดจริงๆ นะฮะ คือแม้ผมจะบอกเนื้อเรื่องไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาหรอกครับ ... เอาล่ะ ผมจะพยายามนะฮะ คือมันจะเกี่ยวข้องกับ โมโนลิธ แท่งหินสีดำ ซึ่งมาปรากฏบนโลกอย่างลึกลับนะครับ ตั้งแต่โลกเรายังมีแต่พวกลิงน่ะ (คนละเรื่องกับ Planet of The Apes แล้วนะครับ) ซึ่งเจ้าแท่งหินโมโนลิธนี้มีความลึกลับบางอย่าง แล้วจากนั้นหนังก็จะตัดมาที่โลกในปี 2001 ซึ่งก็ได้มีการค้นพบแท่งหินสีดำอีกแท่งบนดวงจันทร์ครับ ซึ่งเจ้าแท่งหินนี้ก็ส่งสัญญาณบางอย่างออกมา ไปสิ้นสุดตรงแถวๆ ดาวพฤหัสซึ่งก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีแท่งหินอีกอันก็ได้ ทำให้โลกของเราส่งคนไปสำรวจครับ เดินทางไปยังดาวพฤหัส โดยมีผู้โดยสารในยานนำโดย ดร.เดฟ โบว์แมน (Keir Dullea) และยังมีปัญญาประดิษฐ์หรือคอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุดที่ชื่อว่า HAL เป็นผู้จัดการทุกสิ่งในยานลำนั้นด้วย แต่ที่นี้เจ้า HAL เกิดมีปัญหาครับ มันเลยนำมาสู่เรื่องราวเลวร้ายตามมา

    แล้วในท้ายที่สุด พวกเขาจะต้องพบกับอะไรที่ปลายทางของสัญญาณ ... โปรดติดตามครับ

    โอย จริงๆ เนื้อเรื่องที่ผมเล่านี่โดยสรุปนะครับ เพราะในนั้นมันยังมีอะไรอีกเพียบ หนังเรื่องนี้ยาวราวๆ 2 ชั่วโมง 20 นาที แต่มีบทสนทนาเพียง 40 นาทีเองล่ะมั้ง นอกนั้นจะเป็นการแสดงภาพต่างๆ ไม่ว่าจะคนเดินไปมา (บางฉากมีแค่นั้นจริงๆนะครับ แต่ล่อไปตั้ง 10 นาทีอ้ะ) ฉากแสดงให้เห็นถึงภาพยานต่างๆ หรือแสดงถึงความเวิ้งว้างของอวกาศ (บางคนบ่นว่านี่ท้องฟ้าจำลองทำสื่อการสอนออกมารึไงวะ) แล้วทุกฉาก็จะมีดนตรีคลาสสิคประกอบตลอด ซึ่งผมว่าแค่นี้คนมากหลายก็มึนกับหนังแล้วครับ เพราะมันไม่มีอะไรในแบบที่คุณๆ คุ้นเคยเลย เอาแค่ประเด็นเรื่องเจ้า HAL เกิดขัดข้องนั่น ถ้าเป็นในหนังทั่วๆ ไปก็คงจะต้องกลายเป็นแอ๊คชั่นแน่นอนใช่มั้ยครับ แต่กับเรื่องนี้ เปล่าครับ ... แล้วมันเป็นไงน่ะเหรอฮะ

    ... อันนี้ไปดูเองเถอะครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากสปอยล์หรอกนะฮะ เพียงแต่ที่ผมดูไอ้ตอนที่คนสู้กับเจ้า HAL นั่นน่ะ มันดูเหมือนไม่มีอะไรครับ เป็นการจัดการที่ธรรมดามาก แต่กระนั้นมันก็ยังมีการสื่อความหมายทางภาพออกมาอีกด้วย ซึ่งมีหลายอย่างครับ

    และที่ต้องปรบมือคือการถ่ายภาพออกมานั้น ทำได้ดี สวยและให้อารมณ์ล้ำยุค แม้จะดูในยุคนี้ก็ตามแต่ Effect ยังจัดได้ว่าเนี๊ยบไม่แพ้หนังยุคปัจจุบันเลยครับ

    หนังทำออกมาได้ดีเหลือเกินครับ มีพลังตลอดทั้งเรื่อง มีอะไรแฝงอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ภาพสวย Effect ดี งานเมคอัพก็สุดยอดจริงๆ สุดยอดขนาดไหนรู้มั้ยครับ คืองี้ครับ ปีที่หนังออกฉายนั้น หนังได้เข้าออสการ์ในสาขาแต่งหน้ายอดเยี่ยมด้วย (ซึ่งได้ชิงปีเดียวกับ Planet of the Apes สาขาเดียวกันด้วย) ซึ่งจะมีอยู่ฉากหนึ่งตอนต้นเรื่องจะเป็นลิงเดินไปเดินมา ทำท่าทำทางต่างๆ อยู่ ซึ่งลิงในเรื่องนั้นก็เป็นคนนั่นแหละครับ แต่เมคอัพจนมีสภาพเหมือนลิงจริงๆ ปรากฎว่า รางวัลสาขานี้ตกเป็นของ Planet of the Apes ไป

    สาเหตุก็เพราะว่า ทางคณะกรรมการ เข้าใจว่า ใน 2001 นั้น ใช้ลิงจริงๆ ในการแสดง..... เหมือนขนาดไหนคิดดูแล้วกันครับ ก็เป็นเรื่องให้ฮากันไปได้พักนึงเลยล่ะ

    ส่วนไอ้ฉากลิงที่ว่านี่ก็เป็นหนึ่งในฉากทีไ่ด้รับการกล่าวขวัญครับ ประมาณว่าลิงเหล่านั้นก็อยู่แบบธรรมดา จากนั้นก็มีลิงตัวหนึ่งลองไปลูบคลำกระดูกท่อนหนึ่ง จากนั้นมันก็ยกกระดูกท่อนนั้นขึ้น แล้วก็ลองฟาดลงบนกองกระดูกอื่นๆ ปรากฏว่ากองกระดูกที่โดนฟาดก็แตกสลาย แล้วเจ้าลิงนั่นมันก็ยังฟาดๆๆๆ ต่อไป ฉากนี้ผมว่ามันแล้วแต่คนจะตีความครับ บ้างก็ว่าเป็นการบอกว่าพวกมันมีสัญชาตญาณความรุนแรงในตัว บ้างก็บอกว่าความรุนแรงมันเกิดจากการลองผิดลองถูกแล้วติดเป็นนิสัยมา เอาแค่เรื่องนี้ก็มีประเด็นแล้วล่ะคับ (แต่บางคนก็คงคิดในใจ ไอ้ฉากแค่นี้มันมีอะไรนักหนาเหรอ ... เรื่องนี้แล้วแต่จริงๆ ครับผม)

    นอกจากนี้ ยังมีอะไรอีกเยอะครับ โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่ผมดูแล้วอดขนลุกไม่ได้ มันเป็นปริศนาจริงๆ ฮะ แต่เป็นฉากอะไรต้องไปดูเองครับถ้ามีโอกาส

    บอกเลยนะครับ นี่ไม่ใช่หนังแอ๊คชั่น ไม่มีฉากบู๊ทั้งสิ้น

    และนี่ไม่ใช่หนังชีวิต ก็บทพูดมันแค่ 40 นาทีจะเอาอะไรนักหนาครับ แค่รู้ชื่อคนก็บุญแล้ว ปูมหลังอะไรไม่รู้เลย

    ดังนั้นคนที่ไม่ชอบหนังอืดๆ หรือต้องดูแล้วคิดเองอย่างแรงนี่ผมไม่แนะนำล่ะนะครับ แต่ถ้าคุณสนใจหนังแนวไซไฟ ชอบลองหนังเกี่ยวกับจินตนาการ แล้วแทรกปรัชญา-วิทยาศาสตร์ หรืออะไรที่มีการสื่อความหมายด้วยภาพเยอะๆ ล่ะก็ เรื่องนี้พลาดไม่ไ่ด้โดยเด็ดขาดครับ ชาตินี้ต้องดูให้ได้เลยล่ะ

    Arthur C. Clarke เจ้าของบทประพันธ์ เคยบอกไว้ว่า "ถ้าพวกคุณสามารถเข้าใจหนัง 2001 นี้ได้ในทันทีที่ดูจบ นั่นแปลว่า พวกเราล้มเหลวเสียแล้ว" ... ในความคิดผม พวกท่านทำสำเร็จอย่างงดงามครับ

    สิ่งที่ผมได้รับจากหนังเรื่องนี้ นอกจากความมึนแล้ว ก็ยังมีมุมมองง่ายๆ ว่า เรานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของจักรวาลครับ ยังมีอีกหลายอย่างรอให้เราค้นพบ เปล่าครับ ผมไม่ได้หมายความแค่นอกโลกของเราเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภายในโลกของเรา และภายในจิตใจของมนุษย์ทั้งหลายด้วย

    บุคคลผู้ฉลาดที่สุด คือ คนที่ตระหนักรู้ว่า "ตนเองไม่รู้อะไรเลย"

    นี่คือหนังไซไฟ แบบที่ร้อยปีจะหาได้ซักเรื่องครับ !!!!!!!!!!!!!!

    งวดนี้ ต้องมีสี่ดาวถวายไปเลยครับ

    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=10000tip&group=11&month=10-2005&date=14&blog=1

     
     

    จากคุณ : เทพบุตรตบะแตก!! - [ 6 ธ.ค. 49 22:05:51 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com