ความคิดเห็นที่ 1 ใน ภาค 2 เราได้เห็นอะไรหลายๆอย่างแตกต่างจากภาคแรกมากๆ ไม่ว่าจะเรื่องการดำเนินเรื่อง และ อารมณ์ของตัวละครเอง ที่มีความแตกต่างและแปลกแนกกว่า ภาคแรก ซึ่ง ภาคแรกนั้น ส่วนใหญ่ ตาม เรื่อง ในหนังสือการ์ตูน ซะเกือบหนดจนไม่มีอะไรน่าสนใจ ยกเว้นแค่ลักษณะตัวละคร อย่าง Rlyuk และ L ที่สามารถจับต้องและเข้าใจในความรู้สึกของตัวละคร ที่ต้องการจะส่งผลออกมาได้ ในภาค 2 ทั้ง 2 - ตัวละครนี้ ก็ยังมีมิติที่ลึกเหมือนเดิม (เผลอๆอาจจะลึกกว่าภาคแรกด้วย) แต่ที่ชอบคือทัศนะคติตัวละคร ที่เราอยากเห็นมานานแล้ว แต่กลับภาคแรกไม่ได้นำเสนอเรื่องแบบนี้มากพอนั้น ซึ่งถูกมานำเสนอในภาค2 ได้อย่างกลมกลื่นจริงๆ ไม่ว่าจะ Light ที่ ภาคแรก เหมือนจะดูแอบทรามๆ แต่ก็ไม่รู้สึกว่า เขาดูเจ้าเล่ห์มาก ซักเท่าไหร่ แต่ในภาค 2 เราได้เห็นอีกด้านนึงของ Light แบบเต็มที่ แบบที่เในการ์ตูน ก็ยังไม่แสดงความ เลวทรามได้ขนาดนี้ และในความรู้สึก ในการที่ตัวเองไม่สามารถกู่กลับได้แล้ว ซึ่งภาคนี้ ทำให้หลายๆ อย่างรู้สึกดูคมลึกมากๆ ด้านมืดของ Light ในหนังก็ทำได้ไม่น่าผิดหวังครับ ที่จริงร้ายมากมายกว่าในการ์ตูนที่เห็นอีก จึงรู้สึกว่า ภาค 2 นี้ ไม่จำเป็นจะต้องตามแบบการ์ตูนให้มันมากไป แบบภาคแรก แต่ทำให้มันดูสมกับคำว่า ดัดแปลง หน่อยเท่านี้ ก็รู้สึกว่า The Last Name มีพลังหลายๆอย่างที่ภาคแรกนั้น ไม่สามารถมีได้ ก็เล่าเรื่องที่เดา ใจไม่ได้ มุขตลกร้ายๆที่สอดแทรกตลอดเรื่อง หรือ ความรู้สึกนึกคิดตัวละคร ที่แฝงมาในจิตรวิทยาเล็กๆ แน่นอน ตัวละครภาคนี้แทยทุกตัวละคร ที่มีการแปลกแยกมากขึ้น ทำให้เราได้เห็นถึงความคิด และ ความ รู้สึกตัวละครที่ทำได้เข้าถึง (ถ้าใครไม่คิดมากแบบผม ก็ยังสนุกกับหนังภาค 2 นี้แบบในความบันเทิง ก็ถือ ว่าไม่แปลก) แต่ที่สำคัญ จุด Climax ของหนังทำให้ ผมกลับมามีความรู้สึกกับการเผิดเผยจุด Climax ครั้ง- แรกในสมัยหนังสือการ์ตูน ซึ่งมันครงไปตรงมา และชวนน่าแปลกใจ แถมหนังทำได้ดีแบบที่การ์ตูนนั้น ได้ทำมา ต้องชื่นชมที่ L กับ Rluke ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าภาคแรก ที่ทำให้คนดูอดที่จะรัก 2 ตัวละครนี้ไปไม่ได้ เพราะว่า ทั้ง 2 ตัวละครต่างก็เป็นที่รัก ของชาว Cosplay อยู่แล้ว ฉนั้นจึงไม่แปลกที่ทั้ง 2 ตัวละครนี้จะ รู้สึกเหมือนสัมผัสจริงๆได้ ในอารมณ์ของตัวละครเอง ฉนั้นเวลาที่หนังมีมุขตลกร้ายเพื่อขั้นเวลานั้น ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็น 2 ตัวละครนี้ที่รับหน้าที่ไป และทั้ง 2 ตัวละครต่างก็มีอารมณ์ร้าย ไม่เหมือนกัน อีกด้วย แน่นอน เรื่องนึงที่ทั้ง Begining และ The Last Name ได้ถูกพูดถึงบ่อยก็คือ คุณธรรมที่แท้จริง ของ มนุษย์ด้วยกัน แน่นอน ทั้ง Light และ L ต่างก็มีคุณธรรม แต่วิธีที่ทั้งคู่มีนั้น ต่างกันยังกะ ฟ้าและเหว เลย เพราะว่า Light คิดว่าการที่เขาได้กำจัดคนชั่วมากเท่าไหร่ เขาเองยิ่งเหมือนได้สร้างโลกใบนี้ให้ มีชีวิตชีวามากขึ้น แต่ในตอนแรกการปรากฏตัวของ L นั้น ทำให้เขาได้เถียงกับตัวเองว่า "ฉันคิดว่า ฉันเป็นผู้รักษาคุณธรรม" แสดงว่านี่คือจุดเริ่มต้นที่หันเห แรกๆที่ยังไม่มีอะไร เมื่อพบอาชญากรก่อ การร้ายมากขึ้น เขาจึงคิดว่าไม่ควรให้มันรอดแม้แต่คนเดียว เพราะทำยังไงมันก็กู่ไม่กลับ มาในภาค ที่ 2 เรายิ่งเห็นชัดเลยว่า คุณธรรมที่เขาคิดว่า ตัวเขาเองถูกนั้น กลับทำให้เขาหันเหไปเป็นิดคนโดย ไม่รู้ตัว ซึ่งแทบจะเสียสติเลย ฉนั้นสิ่งที่เรียกว่า ความเชื่อ ที่อยู่ในตัวเขานั้น ตอนหลังได้ผันตัว มา กลายเป็น ความชั่ว แบบที่เขายอมรับเป็น ซึ่งก็ไม่ต่างจาก Anakin Skywalker เท่าไหร่นัก เมื่อต้อง เลือกทางนี้ L เอง เป็นเด็กที่ไม่ได้เข้าสังคมกับคนทั่วไป แต่ในเมื่อสติปัญญาของเขามันหลักแหลมมากๆ ทำ- ให้เขาเอง จะต้องหาทางจัดการ เจ้า Kira ให้ได้ ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว เขาจะแลกกับอะไรก็ตาม ที่เห็น ได้คือ เมื่อเขาระแวงตลอดว่า ศัตรูที่เขาเองกำลังสู้ อยู่ใกล้ตัวเขาตลอดเวลา ทำให้เขาเองต้องใช้มัน สมองในการเล่นหมากในครั้งนี้ด้วย ที่สำคัญคนที่เขาสงสัยมากที่สุดนั้นแหละ ก็ไม่ได้อยู่ใกล้ไกล นัก แถมพยายามที่จะมารอบฆ่าเขาได้ในทุกเมื่อ Misa ในภาคแรกเธอเป็นเหมือนตัวประกอบ แต่ในภาคที่ 2 ตัวละครนี้กลับมีชีวิตชีวามากขึ้น กว่า ในภาคแรก และในการ์ตูนมากกว่าที่ตั้งใจเอาไว้ (ถึงแม้ความน่ารักของเธอในหนัง จะไม่เท่ากับ ในการ์ตูนก็ตาม) สิ่งที่ดีเกี่ยวกับตัวละครนี้ก็คือ ดูแล้วมีชีวิตชีวาเดาใจค่อนยากมากๆ ตอนแรกการ ที่เธอได้ Death Note เล่มที่ 2 นึกว่าจะเป็นการที่ทำให้เธอกลายเป็นคนชั่วร้ายไป แต่จริงๆแล้ว เธอยังเป็นคนเดิมอยู่ เพียงแต่ว่าถ้าเมื่อไหร่ เธอทำหน้าที่อยู่ เธอเองก็อาจจะเป็นคนอีกคนนึงไป แต่เมื่อเธอได้เจอกับ Kira ตัวจริง ชายที่เธอหลงรักมาตลอดนั้น มันทำให้เธออยากจะพลีกายของ เธอมอบให้เขาจนนิรันดรณ์ไปเลย เพราะว่า Light หรือ Kira เอง ก็เคยทำบางสิ่งบางอย่างที่เธอ ไม่อาจทำได้ ฉนั้นเมื่อเธอเห็นคนที่ทำสิ่งนั้นให้เธอ เธอก็ไม่อาจจะอดรักเทพบุตรของเธอได้ และบูชาเขา เหมือนบูชาแบบพระเจ้า ที่แน่นอนคือในบรรดาตัวละครผู้หญิงใน Death Note ตัว Misa เองกับมีมิติที่จับต้องได้ไปเลย Rluyk เอง (ขอไม่พูดถึง Rem เพราะในหนัง โดน Rluyk แย่งบทบาทเกือบ 50% ไปแล้ว) ถึงแม้ ในภาคแรกจะเป็นตัวแย่งซีนได้แจ๋วพอๆกับที่ L ทำ แต่ในภาค 2 นี้เขาเองกลับมีบทบาทที่ร้าย ลึกกว่าสิ่งที่เขาทำไปในภาคแรก แถมภาคนี้เหมือนเขาเป็นตัวแทนแห่งสัจธรรมที่แท้จริงว่า เมื่อ จะทำอะไรไปตลอดมากก็ตาม ก็จงระวังในสิ่งที่ตัวเองทำด้วย เพราะว่ามันอาจจะมาเล่นตัวเองใน วาระสุดท้ายก็ได้ ตัวละครนี้ สร้างมาเพื่อเป็นสีสันเฉพาะ แต่ก็มีบทเรียนอยู่ ถึงแม้ Animation ที มาทำ Rluyk ในหนัง อาจจะดูขัดๆก็จริง แต่ยังไงซะ Rluyk เองกลับเหมือนสัมผัสในตัวละครนี้ ได้เข้าใจมาก ถึงแม้ว่าทั้งพากย์ไทย หรือ Soundtrack พยายามจะใส่มุขให้กับตัวละครนี้มากก็ ตาม และพ่อของ Light เองก็เป็นตัวละครที่สุขุมตลอดเวลา และพยายามจะตามหา Kira ให้พบว่า เขาเป็นใคร แต่เมื่อตัวละครนี้ค่อนข้างคิดในใจอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้เราได้เห็นว่า เขาเองก็ ทุ่มเทเรื่องนี้ไม่แพ้กับ L ยิ่งในภาคที่2 เขาเองจะต้องจัดภารหลายๆเรื่องให้สงบให้ได้ และ แน่นอน การที่เขาปล่อยให้ลูกชายเขาเข้ามายุ่งในคดีเองนั้น ก็เป็นสิ่งที่เขาลำบากใจเช่นเดียว- กัน เมื่อบทสรุปหนัง ได้ถูกเปิดเผยทั้งหมด Light ตัวตนที่แท้จริงก็เปิดเผยออกมาได้ และตัวเขาเอง ไม่สามารถจะควบคุมสติเขาได้อีกแล้ว เพราะเขาหลุดไปในความลุ่มหลงที่เขามีมาตลอด และ ผลประโยชน์ที่เขาทำ เพื่อคุณธรรมที่เขาคิดเองแน่นอน เขาเองจะฆ่าทุกๆคนต่อเมื่อ มาขัดขวาง เขา และสิ่งที่เขาปารถนา L เองก็ไม่ได้ไว้ใจ Light ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเชื่อว่า ไอ้หมอนี่เนี๊ยแหละ คือ Kira ตัวจริง ฉนั้นก็เลยขอซ้อนแผนดูบ้าง และแถมให้ Light คาดไม่ถึงในสิ่งที่เกิดขึ้ยเอง MIsa ก็รัก Light มาตลอด แต่ถึงขนาดเธอจะรัก Light มากเพียงใด ตัวเธอก็ยังเห็นว่า Light เริ่มหลงทาง กับสิ่งที่ตัวเขาได้กระทำ แต่ยังไงซะเธอก็พลีกายให้เขาไปแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิด พ่อของ Light เอง ก็รู้แล้วว่า สันดานของลูกชายที่แท้จริงคือ อะไรถ้าเห็นสีหน้าของพ่อเขาดีๆ ก็จะรู้ทันทีว่า เขาผิดหวังกับลูกชายอย่างมาก และพยายามจะให้ลูกชายของเขากลับมาเป็นเดิมให้ได้ ฉนั้นถ้าสังเหตุ ดีๆ สรรพนามที่พ่อเขาใช้พูดกับ Light ในช่วงนี้คือ "แก" ก็เปรียบเหมือนว่า เขาไม่นับ Light เป็น ลูกชายของเขาอีกต่อไปแล้วครับ และ Rluyk ก็ได้เห็นสิ่งที่เปลี่ยนไปกับตัว Light ว่า Light นั้นมีความ ชั่วร้ายมาก Rluyk เขาจึงไม่ลังเลที่ปิดชีวิตของ Light ไปตลอดไป เพื่อให้รู้ว่า ควรจะระวัง กับสิ่งที่ ตัวเองนั้นกำลังสนุกไปกับมันอยู่ ฉนั้น Rluyk ในจุดสุดท้ายของหนัง คือบทเรียนราคาแพงสำหรับ Light โดยเฉพาะ เราจึงได้เห็นวาระสุดท้ายที่ Light ได้พูดกับพ่อ และ L ที่อุทิศทุกอย่างกับคดีนี้ แล้ว ก็ต้องมาปิดฉากลงมาศึกสงครามทั่วไป จะเรียกได้ว่าหนัง Death Note นั้นจบได้ประทับใจมากกว่า ตัวหนังสือการ์ตูนซะอีก และที่แน่นอนผมชอบภาค 2 นี้มากกว่า ภาคแรกเหลือเกินครับ (ภาค Begining) หวานมันส์ ที่มีรสชาติ - Rluyk และ L เป็นตัวละครที่มิติและกลมกล่อมที่สุดในหนัง - ฉากเปิดเรื่องที่แนะนำเรื่องราวได้ดีเหลือจริงๆ - ฉากการปรากฏตัวของ Death Note เล่มที่ 2 ที่ทำได้หลอนดี - ตอนจบหนัง ที่ขั้นเวลาได้เท่ห์มากๆ เล่นเอานึกถึงสมัยที่หนังอย่าง Kill Bill Vol.1 จบ - เพลง Dani Callifonia โดย Red Hot Chilli Pepper เข้ากับตัวหนังดี หวานมันส์ ที่ยังจืดไป - ตามการ์ตูนมากเกินจนรู้สึกว่ามันเอื่ยเหลือเกิน - Light ดูธรรมดาไปหน่อย ถึงแม้จะมีความทรามก็เหอะ - ฉากซุ่มดูพฤติกรรมของ Light ดูแล้วเหมือนไม่เฉือนคมเท่าไหร่ เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงก็จับได้แล้ว มันต้องมีอะไรทะ:-)ๆแน่ๆ - การตีแผ่มาสู่หนังยังไม่ได้ใจเท่าไหร่นัก (ภาค The Last Name) หวานมันส์ ที่มีรสชาติ - Light มีมิติและชีวิตชีวามากขึ้น และธาตุแท้ในตัวเขาก็เลวทรามได้ใจ - Rluyk กับ L ยังเป็นตัวชูโรงเหมือนเดิมแถมยังร้ายกว่าเท่า - พ่อของ Light ที่มีบทบาทและมีมิติมากขึ้น - Misa อาจจะไม่น่ารักเท่ากับในการ์ตูน แต่เธอเหมือนกับธาตุรับใช้ Light ได้ดีทีเดียว - มุขตลกที่สอดแทรกมาในหนังใช้ได้นะ โดยเฉพาะหน้ากากของ L อดอมยิ้มไม่ได้ - บทสรุปและฉาก L ตายที่เท่ห์ระเบิด และเจ๋งที่สุดที่ Death Note ฉบับนี้ได้สร้างมา - ตอนจบ จบมีสไตล์ตามสูตร Death Note ดี - เพลง Snow ของ Red Hot Chilli Pepper ที่ยังคงเข้ากับหนังอยู่ - ชอบบทพากย์พันธมิตรภาค 2 มากกว่าภาคแรก เพราะเหมือนให้ความหนักแน่น มากกว่าที่ทำในภาคแรกเสียอีก หวานมันส์ ที่ยังจืดไป - Rem บทบาทน้อยไปหน่อย ถ้าเทียบกับในการ์ตูน ผมว่าการ์ตูนยังพอโดดเด่นกว่า - ฉากเปิดตัว Kira คนที่ 2 อยากให้มันโหดกว่านี้อ่ะ จำได้ว่าในการ์ตูนโหดมากๆ สรุปแล้ว: ถึงแม้จะเป็นหนังที่ต้องดูคู่กันไปถึงจะเข้าใจเรื่องราว แต่สำหรับผม ผมว่า ภาค 2 คือสีสันที่แท้จริง ที่เกิดขึ้นกับ Death Note ฉบับหนัง นี่แค่ความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ ทำให้จะต้องสร้างหนังที่เกี่ยวกับ L อีก1เรื่อง และอีกไม่นาน 20th Century Boy ก็จะมาโลดแล่น บนแผ่นฟิล์มด้วย ก็ถือว่าเป็นหนังที่สร้างกระแสได้ดีจริงๆ และถ้าขาดภาคใดภาคนึงไป มันคง จะไร้ค่าทันที อีกอย่างภาค 2 กลายเป็นหนังที่ชอบประจำปีนี้ไปเสียแล้วครับ ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้ คงไม่ได้สร้างแน่ๆ ถ้าไม่มีชาว Cosplay มาช่วยรวมพลังกันให้เกิดหนังเรื่องนี้ขึ้นมาครับ Begining ผมให้ 8/10, The Last Name ผมให้ 9.5 / 10 ครับ เมื่ออ่านแล้วก็ช่วยลงความเห็นกันหน่อยนะครับ ลงก็ได้ไม่ลงก็ได้ครับ แล้วแต่ผู้อ่านครับ จากคุณ : billy bob - [ 12 ธ.ค. 49 16:33:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้ามองในแง่คนที่อ่านการ์ตูนด้วย หนังสร้างเอาใจ คนรัก L ดี มิสะ น่ารัก ในระดับหนึ่ง รวมทั้งทาคาดะ ที่ โชว์ขาอ่อนกระจาย   ตัวละครประกอบหลายๆ คน น่าสนใจ แต่ ยังเสริมไปยังไม่สุดมาก น้ำหนักระจายไปที่ตัวละครหลักๆเสียมาก แต่ คนที่พลิกเกมส์ กลับเป็น คนที่ดูแล้วเหมือนตัวประกอบ ตั้งแต่ภาค 1  ที่ ยิงนาฬิกาได้แม่นสุดๆ   แต่ก้ชอบนะ ผมดู หลายรอบทีเดียว ดีนะที่ รอบเมื่อวาน เป็นรอบ หลังๆ ไม่งั้น ขาอ่อนขาวจั๊วะในกระโปรงสั้นจู๋ของสาวที่นั่งใกล้ที่ยก พาดตักไอ้หน่มที่มาด้วย คงทำให้ผมดุหนังไม่รุ้เรือ่งและไม่สน  ขาอ่อนในหนังแน่ๆ  หากเป็นการดูรอบแรก จากคุณ : Wphat - [ 12 ธ.ค. 49 17:17:37 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ชอบมากค่ะ แต่เราว่า ตรงตัวทาคาดะ ทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดูรวบรัดๆ อะค่ะ บางทีก็ใส่อะไรเยอะเกิน ป.ล. แต่ขาสวยมากค่ะ ^0^ จากคุณ : สวยเด่นเห็นแต่ไกล - [ 12 ธ.ค. 49 17:42:36 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เราว่า ทาคาดะ ผอมไปนะ ก็แล้วแต่คนมอง แต่เธอก็สวย ใครคนใด ก็สู้แอลไม่ได้ เห็นฉากน่ารักเยอะเลย ถูกใจ แอลหน้าใสกิ๊ง เมื่อเทียบกับบักแสง มะพูดละกัน ละไว้ในฐานที่เข้าใจ 555+ แต่ตอนจบอ่ะ มันขัดๆใจอยู่ ใจหนึ่ง ก็ไม่อยากให้แอลตาย แล้วก็รู้สึกสะใจ เมื่อแอลปรากฏตัวอีกครั้ง แต่อีกใจหนึ่ง ก็อยากให้ตายในอ้อมกอดไลท์เหมือนกันนะ (วาย) 555+ แต่ซึ้ง ระหว่างแอลกะยางามิ(พ่อ) รู้สึกสงสารแอลจับใจ ถ้าเกิดไม่ตาย แอลคงได้เป็นลูกชายคนใหม่ของลุงยางามิแน่ (ซึ้งตั้งแต่ภาคแรกแล้ว) ขอตัวไปร้องไห้ให้แอลก่อน อิอิ (สปอยใช่มะ) จากคุณ : แอล (juro_energy) - [ 12 ธ.ค. 49 17:52:08 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ชอบภาคแรกมากกว่า ภาค 2 รู้สึกว่าหนังมันอืดๆ ไม่ตื่นเต้นเร้าใจแบบภาคแรก ดูแล้วไม่ค่อยอิน เหมือนขาดอารมณ์ร่วมกับตัวละครในหนังยังไงไม่รู้ แต่ก็จบได้อย่าง OK เผลอๆ จะจบดีกว่าในการ์ตูนด้วยซ้ำ คิดว่านี่คงเป็นตอนจบที่แท้จริงของภาค L ถ้าการ์ตูนมันไม่โดนยืดเรื่องไปต่อภาค M-N สรุปว่าภาคแรกให้คะแนน 8/10 ส่วนภาค 2 ให้คะแนน 7/10 ปล. สาวๆ ในเรื่องน่ารักจริงๆ ทั้ง มิสะ ทาคาดะ ซายุ โดยเฉพาะ โทดะ เอริกะ นี่น่ารักกว่ามิสะในการ์ตูนซะอีก แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 49 17:54:15 จากคุณ : HGW - [ 12 ธ.ค. 49 17:52:41 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ไคลแมกซ์ของเรื่อง ดูไม่ได้อารมณ์เท่าการ์ตูนครับ ในการ์ตูนไลท์ดูโฉดกว่าหลายเท่า แถมการตายของไลท์ยังไม่สะใจเท่ากับการ์ตูน จากคุณ : Aya+EVE - [ 12 ธ.ค. 49 17:54:32 ]

ความคิดเห็นที่ 7 L ทำให้หนังดูมีมิติและพลังดึงดูดมากขึ้นค่ะ โดยเฉพาะรอยยิ้มตรงที่ไลท์พูดว่า "ผู้หญิงน่ะ ขี้ลืม" แล้ว L ยิ้มเหมือนเห็นด้วยแบบเจ้าเล่ห์ เห็นแล้วอยากตีสักเพียะ ! และรอยยิ้มสุดท้ายของ L ค่ะ ดูยิ้มซื่อๆ จริงใจดี ต้องเสียน้ำตาให้กับรอยยิ้มนี้ทุกที หนังกับการ์ตูนสนุกกันไปคนละแบบค่ะ แต่ถือว่า การแปลงบทการ์ตูนเป็นบทหนัง ทำได้ดีมาก ถ้ากระแส Death Note ไม่จางไปก่อนในปี 2008 เราจะได้ดู Death Note ภาค L เป็นตัวเอกอีกภาคล่ะค่ะ (^_^) จากคุณ : Pride - [ 12 ธ.ค. 49 18:26:02 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ดูภาค2แล้ว.....ชอบแอลขึ้นมาเป็นกอง เหอะๆ ผมว่า มิสะ...น่ารักโคตรเลยนะ (ผมคงชอบสไตล์แบบนี้อ่ะครับ) ปล.ขาทาคาดะงามมากมาย จากคุณ : ScaperS - [ 12 ธ.ค. 49 20:07:39 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เอ่อ...สงสัยอ่ะครับ ว่าตกลงภาค The last name เนี่ย มี death note ทั้งหมดกี่เล่ม ของใครบ้าง 1. เล่มของรุคที่โดนตำรวจไปแอบเปลี่ยนกับเล่มปลอมที่บ้านมิสะ มิสะ 2. เล่มของ Rem ที่ให้นักข่าวสาวไป แล้วตำรวจยึดกลับมาทำให้ Light คืนความทรงจำ 3. เล่มที่ Rem เผาไป (ของใคร???) จากคุณ : Muggles - [ 12 ธ.ค. 49 20:23:22 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ^ ^ 1. เล่มที่ลุคเอามาให้ไลท์ใช้ เป็นภาษาอังกฤษ 2. เล่มของลุคเอง 3. เล่มของเจลัส ที่ช่วยมิสะไว้ เรมเอามาให้มิสะ 4. เล่มของเรมเอง ถูกเผาไปแล้ว จากคุณ : nusfish - [ 13 ธ.ค. 49 00:52:46 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แล้วทุกๆคนคิดเหมือนผมไหมว่า ":-)เวลาอินกะหนังทีไร   เสียงหัวเรอะไอ้ลุค เวร ทำเสียมู๊ด" จากคุณ : society6600gt - [ 13 ธ.ค. 49 01:16:15 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ู#11 เห็นด้วยครับ... ภาคนี้มีมิสะโผล่มาทีไร ขาวๆ ตามมาทุกทีเลยหง่ะ... จากคุณ : จิบเดียวก็ซึ้งแมน - [ 13 ธ.ค. 49 08:24:45 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ให้ 9.5/10 ค่ะ ข้อดีข้อเสีย  คล้ายๆกับที่ จขกท. กล่าวมาแหละค่ะ ดีใจมากเลย ..ที่จะมีภาค L อีกน่ะค่ะ  เป็นตัวละครที่น่าสนใจ ,, แถมยังเป็นเคนอิจิเล่นด้วย  อิอิ จากคุณ : kkbobo - [ 13 ธ.ค. 49 11:20:48 ]

ความคิดเห็นที่ 14 โดยรวมก็คิดเห็นอย่างที่ จขกท. กล่าวมาน่ะแหละครับ แต่ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบเดธโน้ตฉบับการ์ตูน แต่ในแง่ของภาพยนตร์ ผมว่ามันมีข้อติที่มากกว่านั้นอีก - อำนาจของเดธโน้ต ดูยังไงหนังก็อธิบายแค่ว่า เขียนชื่อปุ๊บ ก็ตัดภาพไปให้เห็นคนตาย โดยส่วนตัวแล้วทำได้น่าเชื่อน้อยไปหน่อยและไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวเลย - จุดพีคไม่ได้อารมณ์เท่าที่ควรเลยทั้ง 2 ภาค ภาคแรก ยอมรับว่าเป็นการปูเรื่อง ทำให้ผมคาดหวังภาค 2 มากกว่านี้ แต่ตอนจบของภาค 2 ซึ่งหนังพยายามให้เนื้อเรื่องจบ โดยที่ไลท์รับผลกรรมของตนเอง ก็ยังไม่ได้รู้สึกถึงความสาสม หรือแม้แต่ความเวทนาในตัวไลท์ ก็ไม่รู้สึกเช่นกัน - หนังเดินเรื่องอย่างเรียบ ๆ เกือบตลอด อย่างภาคแรก ฉากการฆ่า FBI ในรถไฟใต้ดิน แทนที่จะเป็นฉากการตะล่อมฆ่าที่เหนือชั้น กลับเป็นเพียงการพูดคุยกดดันกันเล็ก ๆ น้อย แล้วตอนท้ายก็ฆ่าทิ้ง ซึ่งนักแสดงที่รับบทเรย์นั้น พยายามถ่ายทอดให้เห็นว่าเรย์กำลังหวาดวิตก แต่ภาพที่ออกมากลับดูลอกแลก หันรีหันขวาง ไม่สมกับเป็น FBI ที่ดีสักเท่าไหร่ ซึ่งอาจจะร่วมถึงมุมกล้อง ที่เป็นการถ่ายสลับไปมาระหว่างคนทั้ง 2 แบบตรง ๆ ที่ดูธรรมดาเกินไป สำหรับหนังสืบสวน - บทตัวละครหลายตัว โดยเฉพาะตัวประกอบ เช่น มัตสึดะ ที่ทำตัวเด่นมาตั้งแต่แรก ๆ ในแง่ของหนังแล้ว เขาแทบไม่มีผลต่อเนื้อเรื่องหลัก ๆ เลยแม้แต่น้อย จนสุดท้าย ก็มีบทแค่ยิงใส่นาฬิกาของไลท์ เท่านั้นเอง เหมือนกับว่าตัวละครเหล่า ถูกใส่เข้ามาเพื่อรักษาต้นฉบับของการ์ตูนไว้ ซึ่งมันไม่จำเป็นเลยสำหรับภาพยนตร์ความยาวภาคละ 2 ชั่วโมง - ดังที่กล่าวในข้อที่แล้ว ตัวหนังพยายามสร้างโดยทำให้ใกล้เคียงกับการ์ตูนต้นฉบับ เป็นจุดเริ่มต้นที่ให้ตัวหนังขาดความจริงจัง และน่าเชื่อถือ ในลักษณะของหนังสืบสวน สอบสวน ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกแปลก ๆ ของตัวละคร เช่น L ซึ่งสร้างตามการ์ตูนเป๊ะ ๆ โดยที่คาแรกเตอร์ของตัวละครในลักษณะนี้ ถูกทำให้จุดติดตามในฉบับการ์ตูน แต่เมื่อกลายเป็นภาพยนตร์ ใช้คนแสดงจริง คาแรกเตอร์เช่นนี้ก็จะดูผิดความจริงไปทันที สำหรับคนที่รู้จักการ์ตูนเรื่องนี้ (รวมถึงผมด้วย) ก็ย่อมที่จะรู้สึกชอบเป็นธรรมดา แต่สำหรับบุคคลภายนอกทั่วไปแล้ว บุคลิกแปลก ๆ ดังกล่าวก็จะขาดที่มาที่ไป และกลายเป็นความไร้เหตุผลเข้ามาแทนที่ (นอกจาก L ก็คือตัวละครที่เหมือนต้นฉบับเปี๊ยบอย่าง ลุค และ เรม) ส่วนตัวละครอื่น ๆ อย่าง มิสะ ที่ดูเป็นคนธรรมดามากขึ้น ดูแล้วสมจริงมากกว่าที่จะมีผมสีทองตามต้นฉบับดังที่หลาย ๆ คนเรียกร้อง แต่นี่คือหนังสืบสวน ไม่ใช่คอสเพลย์ จุดนี้ไม่จำเป็นครับ ถ้าไม่มีผลกับเนื้อหา - ดังที่ผมกล่าวมา เดธโน้ตถือเป็นการ์ตูนสืบสวนเฉือนคมที่ดีมากเรื่องหนึ่ง สอนให้เห็นถึงการใช้อำนาจในทางที่ถูกที่ผิด และทัศนคติการจัดการต่อความดีและความเลว ผมจึงคาดหวังที่เดธโน้ต ฉบับภาพยนตร์จะทำได้เช่นนั้นเหมือนกัน ก็เลยน่าเสียดายที่เดธโน้ตฉบับนี้เป็นแค่ภาพยนตร์ที่สร้างจากการ์ตูนที่ทำได้ดีเรื่องหนึ่งเท่านั้น (จุดนี้ผมยอมรับ) แต่ไม่ใช่ภาพยนตร์แนวสืบสวน สอบสวนที่มีคุณค่า หรือให้แง่คิดสะท้อนสังคมที่ดี ตามที่มันควรจะเป็นเลย ผมให้ 6/10 เท่ากันทั้ง 2 ภาคก็แล้วกัน จากคุณ : นักกวีจากเงามืด - [ 13 ธ.ค. 49 18:44:29 ]

ความคิดเห็นที่ 15 Thank you krub....K.nusfish จากคุณ : Muggles - [ 13 ธ.ค. 49 20:06:53 ]