CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; "เก๋า...เก๋า" ... ไม่มีทางลัดไปสู่ความเป็น'อมตะ'

      เกรด A -> 9-10 คะแนน (22 คน)
      เกรด B -> 7-8 คะแนน (31 คน)
      เกรด C -> 5-6 คะแนน (3 คน)
      เกรด D -> 3-4 คะแนน (1 คน)
      เกรด E -> 1-2 คะแนน (1 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 58 คน

     37.93%
     53.45%
     5.17%
     1.72%
     1.72%


    ถ้าทุกวันนี้ ป๋าเบิร์ด ธงไชย ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ดาวค้างฟ้าอย่างที่เป็นอยู่ ...เขาคงจะเป็นแค่ชายคนหนึ่งที่ชอบทำไร่ทำนา เหมือนอย่างคนมีอายุที่หน่ายแสงสีในเมือง แล้วหนีไปชีวิตอยู่ที่บ้านนอกเขายอมจะเป็น
    ถ้าทุกวันนี้ ลุงสมบัติ ไม่ใช่นักแสดงผู้มีผลงานทำลายสถิติโลกอย่างที่เป็นอยู่ ...เขาคงจะเป็นแค่ชายคนหนึ่งที่เปลี่ยนวิถีชีวิตมาพึ่งพาการเมือง เหมือนคนวัยบั้นปลายชีวิตหลายๆคนที่เลือกจะเป็นกัน
    ถ้าทุกวันนี้ วงดนตรี เดอะ อิมพอสสิเบิล ไม่ใช่วงสตริงคอมโบที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ใครๆรักใครๆยังไม่ลืมอย่างที่เป็นอยู่ ...พวกเขาทุกคนก็คงจะเป็นได้แค่อดีตนักดนตรี ที่พอวงแตกแล้วแยกย้ายกันไปหาประสบการณ์ชีวิตอื่นๆ เหมือนอย่างที่วงอื่นๆเขาก็เป็นกัน  

    มันก็เป็นอย่างที่คนแวดวงบันเทิงเขาเคยได้กล่าวเอาไว้ว่า "ความดังสามารถสร้างขึ้นได้โดยง่าย แต่การจะรักษาให้มันคงอยู่นี่สิยาก" ... ซึ่งมันคือทฤษฎีความเป็นจริงที่เคยเห็นกะจะตามาก็หลายครั้งหลายคราอยู่ โดยเฉพาะกับวงการบันเทิงในบ้านเรา ยิ่งพบเห็นได้โดยง่าย(ซะเหลือเกิน) ให้คุณทำดีเพียงครั้งเดียว อาจจะได้รับคำสรรเสริญเยินยอแค่ผิวๆ แต่ถ้าเผลอไปทำเลวร้ายเอาไว้สักครั้งหนึ่ง เส้นทางมายาของคุณก็คงจำเป็นต้องมาถึงทางตันเลยทีเดียว

    วง "เดอะ พอสสิเบิล" ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีที่เจอดีกับการล้อเล่นในทฤษฎีวงการมายาข้อนี้ ... พวกเขาคิดเองเออเองข้างเดียวว่า พวกเขาสำคัญ และ ไม่จำเป็นต้องมาเห็นแฟนๆวงสำคัญไปกว่าตัวเอง

    พอสสิเบิล คือ วงดนตรีสตริงคอมโบสุดฮิตแห่งปี 2512 ที่เก่งกาจเกรียงไกรในการเล่นเพลงแปลงอย่างไม่มีใครคิดสู้ ...พวกเขาคือไอดอลของผู้คนหนุ่มสาวในสมัยดิสโก้ยังคงครองเมือง เสียงดนตรีของพวกเขากล่อมเกลาจิตใจใครต่อใครหลายคนให้รู้สึก อยากคึกครื้น โจ๊ะทึ้งทึ้ง อย่างไม่ลืมตาย ไม่ว่าเขาจะไปแสดงคอนเสิร์ตที่แห่งหนตำบลใด คนดูคนฟังผู้คลั่งไคล้ก็ตามไปแห่แหนเป็นพ่อยกแม่ยกเต็มที่นั่งซะทุกครั้งไป

    ใช้เหตุผลแค่ข้อเดียวก็เพียงพอที่จะนำมาอธิบายในปรากฏการณ์ พอสสิเบิล ฟีเวอร์ เช่นนี้ ...กับชื่อเสียงที่เป็นอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ล้วนถือกำเนิดเกิดมาจาก แฟนๆทุกคนของ พอสสิเบิล ที่รักในเสียงเพลงที่พวกเขาเล่น และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขา(ก็คือคน)สำคัญ ในความคิดของทุกคน

    ซึ่งถ้าในวันนั้น พอสสิเบิล ไม่ริจะเหลิง มั่นใจว่าเจ๋ง และหลับหูหลับตาเชื่อถืองมงายไปกับความดังที่พวกเขาสำคัญอย่างที่เป็นอยู่ ...พวกเขาทั้ง 5 ก็คงไม่มีเหตุจำเป็นต้องบังเอิญอะไรให้มาเจอกับบททดสอบความเก๋า ท้าทาย ego จากไมโครโฟนเด็กเล่น ของขวัญฟ้าประทานตัวนั้นแน่นอน

    ปี 2549 คือช่วงเวลาที่พวกเขาทั้ง 5 ได้เดินล้ำหน้าทะลุเวลามาทดสอบความเก๋า ... เผชิญหน้ากับความเป็นจริงบนโลกปัจจุบันซึ่งยุคของดิสโก้ได้ล่วงเลยหายไปจากจิตใจนักฟังเพลง ...ประสบกับสังคมอันน่าเวียนหัวเพราะเสียงดนตรีแร็พโย่สะใจพระเดชพระคุณยิ่งไปกว่าเพลงร็อคโยกเขย่าเท้า

    ที่ที่เขายืนอยู่ในยุคเวลาของเรา คือ ที่ที่เขาได้เรียนรู้ความเป็นจริงของชีวิต ...สัจธรรมที่เคยคิดว่า ตัวเองสำคัญ ไม่สามารถนำมาใช้ได้เลยกับคนสมัยนี้ แม้แต่เรื่องง่ายๆอย่างการกินบะหมี่ ก็ริจะเบ่งบารมีไม่ได้อีกต่อไปแล้ว  

    ในวันเวลาตอนนั้นซึ่งพวกเขาเคยสุขสบาย เพราะ ความดัง ...อย่าได้คิดเอามาเทียบกับวันนี้ ที่พวกเขาต้องทนทุกข์ เพราะ ชื่อเสียงอันเคยหอมหวาน ก็กลับกลายเป็นเหม็นหืน เมื่อความเป็นจริงชวนหลอนได้บอกกับพวกเขาว่า "(แทบจะ)ไม่มีใครเคยรู้จักว่ามี วงดนตรี พอสสิเบิล อยู่บนโลกนี้"

    การได้ล่วงล้ำหลุดเข้ามาสู่โลกใบเดิม เวลาใหม่ของ พอสสิเบิล อาจจะดูเป็นสิ่งที่โหดร้ายกับพวกเขาก็จริง ...แต่ความจริงยิ่งไปกว่านั้นอีก มันก็คือ บทพิสูจน์ที่ทำให้คนทั้ง 5 ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของการเป็นนักดนตรี เป็นการหลุดโลกเข้ามาเรียนรู้บทเรียนบทใหม่ที่เวลาเก่าไม่สามารถบัญญัติเอาไว้ได้ ...มันเป็นบทเรียนที่ว่ากันในเรื่อง ความสำคัญของคนอื่น อันคือ แฟนเพลงที่(เคย)รักพวกเขา

    บทเรียนที่ 1 คือ การลดทิฐิ ปล่อยวาง ego ... จากที่เคยเห็นแก่ตัว ตามใจอยาก ไม่ลำบากตัวเอง ในตอนนั้น ...มาในวันนี้ พวกเขาได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เคยทำไว้ก็คือ การทำร้ายตัวเองทางอ้อม ซึ่งส่งผลให้ พอสสิเบิล หมดความหมายไปจากใจของแฟนเพลงทีละน้อยๆ  

    บทเรียนที่ 2 คือ การเลิกสำแดงบารมีโดยพร่ำเพรื่อ ... จากที่เคยอวดอ้างสรรพคุณความเจ๋ง ร้องเพลงวันนี้ พรุ่งนี้ฮิตแล้วไม่ร้อง ในตอนนั้น ...มาในวันนี้ พวกเขาได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เคยคิดว่าแน่ มันไม่มีทางให้แน่นอนในอนาคต    

    และบทเรียนที่ 3 คือ การใส่ใจ ดูแล และรักษาความเก๋า ... จากที่เคยเล่นดนตรีไปวันๆ เบื่อก็พัก รำคาญก็หยุด ส่วนเรื่องชื่อเสียงก็ปล่อยทิ้งให้มันดังเอาไว้อยู่ที่เดิม ในตอนนั้น ...มาในวันนี้ พวกเขาได้เรียนรู้ว่า ความดังจะจีรังยั่งยืนได้ ก็ตราบเมื่อพวกเขาตั้งใจ และเต็มที่กับสิ่งที่พวกเขาเป็น

    ในตอนจบของ เก๋า..เก๋า บอกกับคนดูให้รู้ว่า วงพอสสิเบิลยังโชคดีมากมายขนาดไหนที่บังเอิญได้ไมโครโฟนเด็กเล่นตัวนั้นมาเป็นของขวัญของชีวิต ... ไม่ใช่แค่พวกเขาทั้ง 5 จะได้กลับบ้านตามใจปรารถนาเท่านั้น กับบทเรียนทั้งสามที่พวกเขาลัดเรียนมา ก็ยังไม่สายที่จะให้โอกาสพวกเขาได้กลับตัวกลับใจ มาเห็นความสำคัญ ของ แฟนๆพวกเขา

    ถึงต่อให้ตัวหนังจะจบฉากสุดท้ายลงไปอย่างห้วนๆ ก็ตามทีเถอะ ...แต่เราคนดูก็รู้ดีว่า ท้ายที่สุด เดอะ พอสสิเบิล จะต้องกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานความอมตะ ควบคู่ไปกับ รุ่นน้อง อิมพอสสิเบิล ได้อย่างแน่นอน    

    เพราะชีวิตปกติของคนดังไม่มีทางลัดใดๆ ไปสู่ความเป็น 'อมตะ' เหมือนดังเช่นที่ตัวละครทั้ง 5 ได้เผลอมาเจอ ... การที่เขาจะคงอยู่ได้อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง มันทำได้แค่การเดินหน้าไปตามเส้นทางหลัก บนเส้นทางที่ถูกกำหนดเอาไว้ให้ต้องทำตาม แล้วถ้าเขาลองคิดจะหลีกเลี่ยงมันเพียงสักครั้ง ก็พึงระวังได้เลยว่าจังหวะการเดินของเขาก็จะเป็นอันสะดุด ดีไม่ดีถ้าเขาเผลอล้มลง มันก็คงไม่ต่างไปจากใครต่อใครที่เคยดัง และทำร้ายตัวเองด้วยการทำผิดแค่ครั้งเดียว

    ทุกวันนี้ ป๋าเบิร์ด ธงไชย ก็ยังคงเป็นซูเปอร์สตาร์ดาวค้างฟ้าไม่เปลี่ยนแปลง ...ส่วนการทำนาทำไร่ก็ยังเป็นแค่งานอดิเรกยามว่างของนักร้องอมตะคนนี้
    ทุกวันนี้ ลุงสมบัติ ก็ยังคงเป็นนักแสดงผู้มีผลงานทำลายสถิติโลกไม่เปลี่ยนแปลง ...ในขณะที่การเลือกเข้ามาทำการเมือง ก็ไม่ได้ทำให้ความอมตะของพระเอกคนนี้ลดลงแต่อย่างใด
    และ ทุกวันนี้ วงดนตรี เดอะ อิมพอสสิเบิล ก็ยังคงเป็นวงสตริงคอมโบที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ใครๆรักใครๆยังไม่ลืมไม่เปลี่ยนแปลง ...และพวกเขาทุกคนก็คืออมตะของนักดนตรี ที่พอมีโอกาสมารวมวงเมื่อใด เมื่อนั้นแฟนๆก็พร้อมจะซื้อบัตรมาชมพวกเขาอยู่ร่ำไป    

    "เก๋า..เก๋า" ผลงานกำกับของผู้กำกับคนที่ 5 แห่ง หนังเด็กอมตะ "แฟนฉัน" ... "บอล-วิทยา ทองอยู่ยง" มาพร้อมแนวคิดเจ๋งๆกับการนำความเก๋าของของเก่ามาเรียกใช้งานอีกครั้ง ซึ่งในที่นี้ ก็คือ "เพลงแปลง"  

    เก๋า..เก๋า เป็น อีกหนึ่งความถนัดในสไตล์เดียวกันของกลุ่มก๊วน 365 ฟิล์มส เป็นหนังที่ซ่อนเนื้อกลิ่นอายของความเป็นดรามา ซึ่งเคลือบหน้าด้วยอารมณ์ชวนขำคอมเมดี้เอาไว้ข้างนอก ...เอกลักษณ์ที่แนบมาพร้อมกับเครดิต หนึ่งในผู้กำกับแฟนฉัน ช่างเป็นอะไรที่ง่ายดายสำหรับความคาดหวังของคนดู ที่รู้ว่า หนังเรื่องนี้จะให้อะไรบ้าง มีบางคนที่อาจหวังเอาสาระไปมากกว่า แต่กับบางคนก็ไม่คิดอะไรนอกเหนือไปจากความบันเทิงสบายๆ

    บอล-วิทยา แบกรับหน้าที่ทั้ง กำกับและร่วมเขียนบท (นับรวมทั้งหมด ก็ใช้งานคิดมุขกันตั้ง 7 คนเลยทีเดียว) เหมือนคนอื่นๆ(อีกสี่)ก็เป็นกัน ...  เก๋า..เก๋า ของเขาเป็นงานที่แสดงความเก๋าฝีมือออกมาได้น่าพอใจ ในความสนุกที่ผกก.บอลสร้างสรรค์เอาไว้ ได้ใจผมมากไปกว่า "เด็กหอ" (ของทรงยศ) และ "หมากเตะ" (ของอดิสรณ์) แต่ถ้าพูดในเรื่องของภาพรวมแล้ว ความลงตัวกลมกลืนของอารมณ์ดรามาและมุขฮาคอมเมดี้อย่างไม่สามารถเข้าถึงผม ได้ลึกสุดใจเท่า "เพื่อนสนิท" (ของคมกฤษ) และ "Seasons Change" (ของนิธิวัฒน์)      

    มุขตลก กลั่นกรองความขำออกมาได้ผ่านเกณฑ์ ...การเล็งยิงกระตุกต่อมฮาแต่ละหน มีจังหวะที่ลงล็อค มีระยะหวังผลที่รุนแรง เพียงแต่การจะเข้าใจหรือเก็ทจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อคนดูได้คิดพิจารณาในความตื้นลึกของมันไปด้วย ...มุขคำพูดจะไม่ขำเลย ถ้าคุณมองว่ามันเป็นแค่การสนทนาว่ากล่าวกันระหว่างตัวละคร (ต๋อยต่อยต้อย ...อันนี้โดน) ...มุขอาแปะจะไม่ขำเลย ถ้าคุณมองว่าการพูดไม่ชัดเป็นเพียงมุขคาเฟ่ที่ตลกชอบเล่น (ห่างห่างห่าง...อันนี้ก็โดน)

    อารมณ์ดรามา ก็ถือว่า ให้ความอินชวนซึ้งได้พอตัว ...ขณะที่ช่วงแรกๆ เรายังไม่ยินดีในนิสัยร้ายๆของ พอสสิเบิล พอมาถึงช่วงท้ายๆ ตัวละครทั้ง 5 ก็ทำให้เราคนดูเริ่มรู้สึกที่จะมีอารมณ์เห็นดีเห็นงามคล้อยไปตามการกระทำของพวกเขา ...

    แม้ผมเองจะชอบพลอตเรื่องของหนัง และแง่มุมสาระที่เอามาเล่น แต่มันก็ยังมีอะไรให้รู้สึกเสียดายความดีของมัน อันเพราะบทหนัง ที่ยังเกลาออกมาได้ไม่ดีพอ ...หนังยังยึดเหตุและผลออกมาอย่างหลวมๆไปสักหน่อย ทำให้การกระทำบางอย่างผมไม่เชื่อได้เต็มร้อย รวมทั้งยังไม่สามารถสร้างความกลืนกันของดรามาและตลกได้เข้าที่ อารมณ์ต่อเนื่องระหว่างช่วงต้นกับช่วงท้ายเลยยังให้ไม่ได้เต็มส่วน  

    การแสดงของกลุ่มคนวงพอสสิเบิล ทำหน้าที่รับส่งได้ดีใช้ได้ แต่พอแยกเป็นทีละคนแล้ว ก็ยังไม่มีใครสามารถแสดงศักยภาพความเป็นนักแสดงออกมาได้เต็มที่ แม้กระทั่งกับพี่น็อต หัวอัฟโฟ่ ที่เขาชมกันว่าเป็นตัวขโมยซีนชั้นดี แต่ผมกลับรู้สึกเฉยๆซะมากกว่า ...เพราะสำหรับผมแล้ว เสน่ห์ของเก๋า..เก๋าถูกแย่งไปหมดจากสองบทสมทบ ของน้องอู๋ แฟนพันธุ์แท้ (คุณอาเกรียงศักดิ์ เหรียญทอง ...หนึ่งในนักพากย์ปากฉมังแห่งพันธมิตร) และอาแปะ ...คนคู่นี้คือตัวขโมยซีนตัวจริงเสียงจริงที่เด็ดขาดในทุกฉากบนจอ

    สองสาวนางเอก น้องโฟกัส และ รถเมล์ ...อาจมีบทบาทน้อยไปสักหน่อย แต่ความน่ารักของ หนูมาลี และ น้องสตรอ ก็ทำให้หนังผู้ช้ายผู้ชาย สดใสขึ้นมาทันตาเห็น (แต่ผมก็แสนจะไม่ปลื้มเอาอย่างมาก ที่ตอนแก่ของน้องสตรอดูหลอกตาซะเหลือเกิน หน้าแค่ดูโทรม รอยย่นรอยยับไม่ยักกะเห็น ...ถ้าจะเอาดาราอาวุโสมาเล่นก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรเลย )

    ส่วนของเพลง คือ ส่วนที่ทำให้หนังมีอะไรให้สนุกนอกเหนือไปจากมุขสนทนา ...จะรินมา รินมา ไอ้บี้ ไอ้เบ๊
    หรือว่าเพลงพระถังซำจั๋ง ก็แต่งได้สร้างสรรค์ชวนขำขำ ...หรือว่า เป็นเพลงเก๋า นี่แหละเก๋า ก็ฟังแล้วเพราะ ให้ความซึ้งๆ ดีๆได้ (ยกเครดิตให้พี่ต๋อย ผู้เป็นเจ้าพ่อเพลงแร๊พ โจอี้ บอย ไปเต็มๆ)

    "เก๋า..เก๋า" ... ดูสนุกโปกฮา(แตก)ในความเป็นหนังหวังบันเทิง และซึ้งกับสาระตามสไตล์แนวทางของ 365 ฟิล์มส ...ถ้าไม่ถูกใจในความฮาบ้านๆแบบ แสบสนิท ก็ลองคิดพินิจถึงหนังเรื่องนี้ เป็นตัวเลือกตัวแทนที่ให้ความคุ้มค่าในราคาเท่ากัน กล้ารับประกันว่าออกจากโรงมาไม่มีผิดหวัง เสียดายตังค์แน่นอน

    เกรด B+

    สำหรับทุกคนที่ได้เผลอเข้ามาในกระทู้รีวิวนี้ ...อย่าเพิ่งรีบออกไปนะครับ อยากขอให้ช่วยลง ความเห็นของคุณกับความรู้สึกต่อหนังเรื่องนี้ ได้ประทับเก็บไว้ในกระทู้นี้ด้วย ... "1 Comment ของคุณ มีค่าเท่ากับ 1 Happy ของจขกท."

    ขอบคุณครับ รักคนอ่าน

    แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 49 18:36:50

     
     

    จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN - [ 13 ธ.ค. 49 18:34:57 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com