Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    [Review]เก๋า....เก๋า :: ราคา คุณค่า และความหมายของคำว่า 'เก๋า'[Spoiler Alert]

    เก๋า…เก๋า :: ราคา คุณค่า และความหมายของคำว่า ‘เก๋า’

    โดย นักดูหนังแถว G
    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    จะว่าไปแล้ว อาจจะเพราะด้วยงานหลักที่ต้องทำในฐานะนักเขียนนิตยสาร รวมถึงที่ยังต้องศึกษาเล่าเรียน บวกกับเวลาว่างของแฟนที่ไม่ค่อยจะตรงกันสักที ทำให้ช่วงที่ผ่านมาเป็นอันต้องพลาดภาพยนตร์ระดับคุณภาพไปหลายต่อหลายเรื่อง (Casino Royale,The Prestige หรือเขาชนไก่) แต่อย่างน้อย ก็ยังพอจะหา และเจียดจ่ายเวลาออกจากภารกิจส่วนตัวเพื่อไปดูหนังได้เสียที เพราะครั้นจะมานั่งหมกอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเดียว มันคงจะทำให้รู้สึกแห้งเหี่ยวไร้แรงบันดาลใจไปเสียเปล่าๆ แต่เมื่อดูตารางเวลาฉายที่หน้าโรงภาพยนตร์ก็รู้สึกใจหายไม่ใช่น้อยๆ เพราะนอกเหนือจาก Eragon จะชนโรงไปทุกหัวหาด (ตามสไตล์การหากินแบบกะฟาดกำไรกันเต็มคราบของโรงภาพยนตร์) ที่เหลือก็เป็นหนังยิบๆย่อยๆ ที่แทบจะไม่คุ้นหูหรือคุ้นตาเอาเสียเลย

    แต่ก็นั่นล่ะ เพราะเหตุนี้เอง ที่ทำให้ผมและแฟนเดินตีตั๋วเข้าไปร่วมรับชมภาพยนตร์ไทยที่เรียกได้ว่าดูสนุก สดใส และมีเนื้อหนังสาระมากกว่าที่คิดเอาไว้ได้โดยบังเอิญ และเหนือสิ่งอื่นใด มันยังสะท้อนภาพของ ‘วังวนชื่อเสียง’ และความเป็นไปของ ‘แวดวงคนดนตรี’ ที่จับต้องได้และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง จนต้องเอามาบอกเล่าเก้าสิบกันกับพี่ๆเพื่อนๆ ทุกท่านในขณะนี้

    สำหรับ เก๋า…เก๋า ภาพยนตร์ไทยในการกำกับของบอล-วิทยา ทองอยู่ยง หนึ่งในทีมผู้กำกับ ‘แฟนฉัน’ ที่ปล่อยให้เพื่อนๆร่วมก๊วนออกไปสร้างที่ทางและผลงานมานักต่อนักนี้ เป็นเรื่องราวของวงดนตรีสตริงคอมโบชื่อดังแห่งยุคอย่าง Possible ที่มีสมาชิกระดับคิวทองอย่าง ต๋อย นักร้องนำ (นำแสดงโดยโจอี้ บอย นักร้องฮิพฮอพระดับตำนาน) , โบ้ มือกีตาร์ (แสดงโดยพี่โป้ โยคีเพลย์บอย อีกคนที่ผมชื่นชอบ) , สอง เบบี้ มือเบส (โดยพี่สอง มือเบสสุดแนวกระจายของวงพาราด็อกซ์), เบ๊ มือกลองน้องเล็ก (แสดงโดยโบ โอโซน ดีเจคลื่น EFM), น็อต คีย์บอร์ดเทพ (นำแสดงโดยน็อต เพื่อนสนิทของโจอี้บอย) และเหล่าสมาชิกนักเป่าอีกสามคน พวกเขาเป็นวงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แฟนๆ ต่างคลั่งไคล้กันถึงขนาดไปรอเพื่อรับฟังกันตั้งแต่ไก่โห่ แต่เช่นเดียวกับวงดนตรีที่มีชื่อเสียง ความหยิ่งผยองและความลำพองตัวเองทำให้พวกเขามีพฤติกรรมที่เหลวแหลกใช่ที่ ทั้งเมาสุราขณะแสดง ไม่สนใจความรู้สึกแฟนเพลง แถมไปเบ่งเกทับกับวงรุ่นน้องตามหลังอย่าง The Impossible แบบไม่ให้ผุดให้เกิด แน่ล่ะ พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรสักเท่าใดนัก ด้วยสำคัญตัวเองว่ายังคงมีชื่อเสียงและได้รับความนิยม ดังนั้นจะทำ คิด หรือพูดอะไร ก็ไม่ได้มีผลได้ผลเสียกับตัวเองกันสักกี่มากน้อย

    แต่เหตุการณ์สำคัญในชีวิตของพวกเขาก็มาถึง เมื่อในการแสดงที่โรงภาพยนตร์พระโขนงในปี 2512 เกิดความผิดพลาด เพราะเจ้า ‘ไมโครโฟนของเล่น’ หนึ่งในของขวัญที่แฟนเพลงส่งมาให้ กลับกลายเป็นอุปกรณ์ข้ามเวลาที่จะทำงานเมื่อระดับความ ‘คลั่งไคล้’ ของแฟนเพลงถึงขีดสุด และมันก็ได้ส่งสมาชิกทั้งห้าคน (ยกเว้นแต่เหล่านักเป่า) ให้เดินทางมามายังปี พ.ศ 2549 อีก 37 ปีให้หลัง

    คราวนี้ล่ะ เรื่องวุ่นๆ ก็พลันบังเกิดขึ้น เมื่อพวกเขาทั้งห้าคนพบว่า โลกยุคอนาคตนี้มันช่างยุ่งเหยิงวุ่นวาย ไม่มีขื่อมีแป และไม่สู้จะคุ้นเคยกันสักเท่าใดนัก แถมทางเดียวที่จะกลับไปยังยุคของพวกเขาได้ ก็มีเพียงการเล่นดนตรีเพื่อให้คน ‘กรี๊ด’ เพื่อส่งพลังงานให้กับเจ้าเครื่องย้อนเวลาให้ทำงานอีกครั้งเท่านั้น แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ก็ในเมื่อยุคนี้ พวกเขาไม่ได้เป็นที่รู้จักกันอย่างเมื่อครั้งอดีต ซ้ำโรงภาพยนตร์พระโขนงก็กลายเป็นโรงหนังโป๊เกรดต่ำรอการถูกทุบทิ้ง และเหนือสิ่งอื่นใด…

    ดนตรีแนวสตริงคอมโบมันล้มหายตายจากความทรงจำของผู้คนกันไปนานเสียแล้ว…

    อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ดูเหมือนว่าแม่เหล็กที่ดึงดูดความสนใจของผู้ชมให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้คงหนีไม่พ้นเหล่าดารานำ ที่ขนเอานักร้องนักดนตรีระดับไอคอนของเมืองไทยมากันอย่างเต็มพิกัด ทั้งโจอี้ บอย,โป้ โยคีเพลย์บอย และสอง พาราด็อกซ์ แน่นอน โดยส่วนตัว ผมเองก็ไม่ได้รับรู้ถึงเนื้อหนังมังสาภายในของภาพยนตร์เรื่องนี้สักเท่าไหร่ ที่ตัดสินใจเข้าชมเพราะเห็นว่ามีเหล่าซูเปอร์สตาร์ระดับแนวหน้ามารวมตัวกันจนล้นทะลักกระจายเท่านั้น แต่ก็ต้องขอชมกันก่อนในเบื้องต้น แม้ว่าพวกเขาเหล่านี้จะเป็นนักร้องในยุคปัจจุบัน แต่ฝีมือการแสดงที่เป็น ‘เรื่องแรก’ ก็อยู่ในเกณฑ์สอบผ่านได้อย่างสมศักดิ์ศรี ทั้งท่วงท่า คำพูด และอากัปกิริยาทั้งหลาย มันบ่งบอกถึงความ ‘เก๋าอย่างเหลือล้น’ ของพวกเขา เมื่อบวกกับบรรยากาศของภาพยนตร์ที่ฉายให้เห็นความ ‘เชยที่ได้ใจ’ ของยุคสมัยก่อนหน้านั้น มันก็เพิ่มพลังและความน่าเชื่อถือของตัวละคร จนผมเองก็รู้สึกว่าพวกเขาเหล่านี้ช่าง ‘โบราณได้ใจดีฉิบหาย’ และลืมไปชั่วขณะเลยว่า แท้จริงแล้ว ตัวตนของพวกเขานั้นมันเป็นเช่นไร

    แต่แน่นอนว่าเมื่อเรื่องราวมันต้องมาวนเวียนอยู่ในยุคปัจจุบัน ยุคสมัยอันรวดเร็วและโหดร้ายก็โถมใส่เหล่า ‘จอมเก๋า’ เหล่านี้โดยสิ้นเชิง ด้วยภาพลักษณ์บ่มเพาะสร้างมาเป็นอย่างดี ทำให้พวกเขานั้นพร้อมที่จะถูก ‘กลืน’ ให้กระจอกลงไปในทันควัน เพราะนอกจากจะต้องมาพึ่งเฮียอู๋ พ่อค้าหนังแผ่นอย่างว่าที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของวงรุ่นดึกนี้ในการหาที่ทางการจัดแสดงแล้ว พวกเขายังต้องมาไล่ตามหาเหล่า ‘นักเป่า’ ที่ไม่ได้ร่วมเดินทางมาด้วยทั้งสามคน ที่กลับกลายมาเป็นชายชราตามสังขารที่ร่วงโรย บ้างก็ยังคงไว้ลายมีเมียเด็ก บ้างก็หนีบวชเป็นพระมานานปี แต่กับจ๊อด นักเป่าขี้เมาประจำวงนั้น ได้จากโลกนี้ไปนานเสียแล้ว และทิ้งไว้แต่ลูกสาวอย่างน้องหนูมาลี (น้องโฟกัสผู้น่ารักจากแฟนฉัน) ให้สืบทอดเจตนารมณ์ของพ่อไว้ชนิดเชื้อไม่ทิ้งแถว แต่แน่ล่ะ กับต๋อยและพรรคพวก นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่บ่งบอกถึงเก๋าของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย แต่มันเป็นสถานะของความเป็น Underdog แบบต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นชนิดไม่เห็นฝุ่นเลยต่างหาก

    ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นบทเรียนประการแรกที่พวกเขาได้รับ และเชื่อว่าวงดนตรีหลายต่อหลายวงเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเช่นนี้มาแล้วนั่นคือ ก่อนหน้านั้น พวกเขายังคงเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง พวกเขาเคยมีความฝันที่จะเล่นดนตรีเพียงเพื่อทำตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อและรัก แน่นอนว่าผลจากความพยายามและศรัทธาอย่างแรงกล้า และฝีมืออันจัดจ้านหนุนส่ง ทำให้พวกเขาถีบตัวเองสู่แสงไฟและชื่อเสียงได้อย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาก็ยังเด็กเกินกว่าที่จะเรียนรู้ถึงคำว่า ‘ราคา’ ของสิ่งที่พวกเขาต้องแลกมา ใช่ ชื่อเสียงมันมาจากฝีมือส่วนหนึ่ง แต่พวกเขาก็หลงลืมไปว่า ‘แฟนเพลง’ ต่างหากที่เป็นตัวหนุนส่งให้พวกเขากลายเป็นดาวประดับก้องฟ้าเช่นนี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในเรื่องคือเฮียอู๋ แฟนเพลงตัวยง เขามีชีวิตของตนเองจนถึงปัจจุบัน ซ้ำจะเป็นชีวิตแบบคนด้านมืดด้วยซ้ำ (พ่อค้าหนังแผ่นมันดูไม่ค่อยดีกันสักเท่าไหร่นักหรอก) แต่เมื่อเขารู้ว่าฮีโร่ในดวงใจกำลังตกยาก เขาก็ทุ่มเทแรงกายช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ทั้งๆ ต๋อยนักร้องนำ ก็ดูจะไม่ได้สำนึกหรือระลึกถึงคุณงามความดีกันสักเท่าไหร่เลย แถมตัวเขาก็ไม่ได้มีผลพลอยได้อะไรจากสิ่งที่ตัวเองกระทำอยู่ด้วยซ้ำ มันมาจากความรักและศรัทธาล้วนๆ

    และเมื่อะไรที่มันได้มาง่ายๆ ละเลยถึง ‘ราคา’ ที่ต้องจ่ายออกไปในฐานะศิลปิน คนของประชาชน ทำให้ ‘คุณค่า’ ถูกมองข้าม และก็ย้อนกลับมาตอกใส่หน้าพลพรรค Possible อย่างจังๆ ในวันที่พวกเขาไม่เหลือใคร กลายเป็นเพียง Nobody ที่ไร้คุณค่า คำพูดของเฮียอู๋ที่พูดกับต๋อยตอนมีเรื่องกับน้าต้อย เศรษฐาแห่งวง The Impossible (ต๋อยต่อยต้อย ฮา~~) นั้นน่าประทับใจและสะท้อนความเป็นจริงในข้อนี้ได้มากในความรู้สึกของผม

    “ถ้าเรื่องในวันนั้น เกิดกับวง The Impossible…ผมเชื่อว่าแฟนเพลงจะยังคงจัดงานระลึกถึงพวกเขาอยู่”

    สุดท้ายก็กลายเป็นพวกเขา ที่ต้องก้มหน้ารับกับความจริงที่วงอย่าง The Impossible ได้รับความนิยมจนกลายเป็น ‘ตำนาน’ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเก่งกว่า หรือเท่กว่าอันใด แต่พวกเขารู้จักที่จะรักษาและประเมิน ‘คุณค่า’ ของสิ่งที่ตัวเองได้มาอย่างยากลำบากต่างหาก ต่างกับวง Possible ที่กลายเป็นเพียงเศษฝุ่น เหลือทิ้งแค่เพียงปกแผ่นเสียงที่ไม่มีวาสนาจะได้ออกแผ่นเลยด้วยซ้ำ นั่นเพราะความดื้อรั้นและหยิ่งผยองที่ตัวเองได้ทำไว้ในอดีตแท้ๆ

    ในช่วงหลัง หนังดำเนินได้ค่อนข้างกระชับไม่เยิ่นเย้อ แต่เน้นหนักไปทางความสับสนและการปรับตัวของต๋อย ตัวละครของโจอี้ บอยมากจนเกินไปหน่อย ผมเชื่อว่าบทเรียนทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่จะต้องเรียนรู้ แต่กับสมาชิกวงทั้งหมดเลยต่างหาก และแม้จะมีฉากที่พวกเขาทั้งห้าคนไปทำหลุมฝังศพของตัวเองมาแทรกเพื่อแสดงถึงการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วก็ตาม แต่น้ำหนักโดยรวมๆ มันก็ยังไม่พอเพียงที่จะส่งไปถึงตอนจบที่สวยงามได้ ทำให้ผมแอบนึกไปก่อนว่า หนังจะมีไม้เด็ดอะไรเตรียมไว้ให้กับเหล่าผู้ชมในตอนท้ายกัน

    และในที่สุด เพลง ‘เก๋า’ ที่แปลงจากเพลง ‘เหงา’ ของวง Peacemaker ที่เป็นไม้เด็ดที่ทางผู้กำกับปิดซ่อนเอาไว้เสียนานก็ได้ฤกษ์เผยโฉมออกมาเสียที (ไม่มีหลุดเล็ดรอดออกมาจากในตัวอย่างไหนๆเลย หรือจะมีบ้างในช่วงกลางเรื่องเพียงเล็กน้อยก็ตาม) มันเต็มไปด้วยความหมาย ความเข้าใจ และบ่งบอกถึงสายเลือดแห่งศิลปินที่ไม่จางหายไปไหนของพวกเขาได้อย่างเต็มพิกัด ก่อนจะส่งผู้ชมไปสู่ตอนจบที่อบอุ่นและประทับใจได้อย่างสวยงาม

    แสงไฟฉายสาดส่องไปทั่วโรงหนัง ผมควงแขนวาดเป็นจังหวะเต้นรำกับแฟนในระหว่างที่เดินออกจากโรงด้วยความรู้สึกเป็นสุขอย่างเต็มเปี่ยม เพลงแปลงที่ไพเราะมากๆ อย่าง ‘ดวงใจยังมีรัก’ หรือ ‘เก๋า’ ด้วยฝีมือของโจอี้ บอยในตอนท้ายยังคงก้องอยู่ในโสตสัมผัส แต่ในหัวกลับวนเวียนถึงความเป็นจริงข้อหนึ่งที่เชื่อว่า วงดนตรีหลายวงจะต้องเคยประสบพบเจอกันมาบ้างไม่มากก็น้อย นั่นคือ

    ความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘เก๋า’

    การที่วงดนตรีอย่าง The Impossible หรือวงที่แก่แต่ยังมีไฟอย่าง The Eagles ยังคงความนิยมแม้จะผ่านเวลาล่วงเลยมาสักเพียงใดนั้น เพราะพวกเขายังคงรักษาหัวใจและความศรัทธาอย่างแรงกล้าของตนเอง ไม่หลงไปกับกระแสของชื่อเสียงและความโด่งดัง ซ้ำยังสำนึกตัวเองอยู่เสมอๆ ว่าตนเป็น ‘คนของสาธารณะชน’ ถ้าไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากแฟนเพลง ไหนเลยจะมีที่ทางบนเวทีให้เขาเหยียบย่างเข้าไปได้

    และทำให้พวกเขาเหล่านั้น ยังคง ‘เก๋า’ จนถึงทุกวันนี้

    และแม้เรื่องราวของ เก๋า…เก๋า จะดูหลุดโลกบ๊องต๊องสักเพียงใด แต่ฝีมือของบอล-วิทยา ทองอยู่ยง หนึ่งในผู้กำกับทีม ‘แฟนฉัน’ นั้น ก็สร้างที่ทางของตนเองตามหลังเพื่อนร่วมก๊วนได้อย่างสวยงามไว้ลายไม่เสียศักดิ์ศรี ด้วยการแสดงที่เหนือชั้นไม่เหมือนกับครั้งแรกของเหล่านักร้องระดับแม่เหล็กของเมืองไทย มุขตลกที่เป็นธรรมชาติไร้รอยสะดุดและฮาอย่างเหลือกำลัง เพลงประกอบที่ไพเราะชนิดที่คนรุ่นใหม่ฟังได้รุ่นใหญ่เป็นต้องชอบ และที่สำคัญ ยังมีคติและนัยยะที่น่าคิด ที่สะท้อนภาพของคนดนตรีในแต่ละยุคแต่ละสมัยให้เห็นกันได้อย่างชัดเจน อย่างที่ต๋อยได้กล่าวกับแฟนเพลงที่ยังคงร้องเพลง ‘รินมา’ ซ้ำไปซ้ำมาแม้เขาจะเดินทางข้ามเวลาไปยังอนาคตกาลเกือบสามสิบกว่าปีข้างหน้าไว้ว่า



    “ขอบคุณแฟนเพลงทุกท่าน…ที่ทำให้ไม่รู้สึกเหงา จนเกินไป”


    บางทีความ ‘เหงา’ ที่ต๋อยว่ามา ดูเผินๆอาจจะไม่ใช่ของที่คู่กันกับศิลปิน นักร้อง ดารานักแสดง ที่เป็นคนของสาธารณะชน ไปที่ไหนคนก็รู้จักทักทาย แต่การที่พวกเขาเหล่านั้น ‘ละเลย’ ถึงคนสำคัญที่อยู่ใกล้ตัว และความรู้สึกอันแรงกล้าอันเป็นพื้นฐานในแรกเริ่มต่างหาก ที่จะทำให้ไม่สามารถทนกับกระแสความเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมเข้ามาได้ มีหลายต่อหลายวงข้ามผ่านมันไปสู่ระดับที่สูงขึ้น เหนือชั้นกว่า และยิ่งใหญ่คับฟ้า แต่หลายวงก็หลงตนเอง และแตกดับไปตามกาลเวลาก็มาก ก็ได้แต่หวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ จะเป็นข้อเตือนใจ ไม่แต่เฉพาะกับคนแวดวงบันเทิง แต่รวมถึงคนที่ยังคงต้องเดินบนถนนของ ‘ความไม่แน่นอน’ เช่นนี้

    เพราะความเปลี่ยวเหงา ไม่มีอะไรจะน่าเจ็บปวดเท่ากับการต้องมาเผชิญกับมันในเวลาบั้นปลาย…เมื่อแสงไฟมีอันต้องดับลง และความเป็นจริงวิ่งเข้ามาปะทะเข้าตรงหน้า

    บางทีการรู้เท่าทัน และรู้ว่าจะใช้จ่ายสิ่งที่ตัวเองมีอยู่อย่างไรนั้น คงเป็นสิ่งที่สิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด

    เพราะชีวิตมันต้องดำเนินไปตามครรลองที่มันควรเป็น หยุดไม่ได้ ถอยหลังกลับไม่ได้



    “และไม่สามารถลัดวงจรไปเรียนรู้ ในอีก 37 ปีข้างหน้า อย่างต๋อยและพรรคพวกได้เลย”


    นักดูหนังแถว G

    แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 49 22:14:19

    แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 49 00:54:30

    แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 49 00:53:46

    แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 49 00:53:26

    จากคุณ : บ้าเกม - [ 16 ธ.ค. 49 00:53:04 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom