| ชอบมาก ห้ามพลาด (20 คน) |
| ชอบ (23 คน) |
| เฉยๆ (12 คน) |
| ไม่ชอบ (2 คน) |
| ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (1 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 58 คน |
เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป อ่านความเห็นเพื่อนๆคนอื่นๆ และ เชิญชวนมาแสดงความเห็นเพิ่มเติมไว้ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=01-2007&date=02&group=1&blog=1
...ลาร์รี่ ดาลี่ (รับบทโดย เบ็น สติลเลอร์) ชายหนุ่มสถานภาพหย่าร้าง ยังคงมีความสัมพันธ์อันดีกับ คนรักเก่าและลูกชาย แต่ อนาคตระหว่างเขากับลูกกำลังสั่นคลอน อันเนื่องมาจาก ความล่องลอยไร้หลักแหล่งไม่มีงานมั่นคง เขาต้องหาทางคว้างานให้ได้ก่อนสูญเสียลูก และ งานที่เขาได้รับในวินาทีสุดท้ายคือ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกะกลางคืน ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์
เพียงคืนแรกผ่านพ้น เขาก็แทบจะไม่รีรอที่จะขอลาออกจากงานชิ้นนี้ เพราะ ที่นี่ เมื่อถึงเวลาค่ำคืน หุ่นในพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดจะกลับมามีชีวิต ไม่ว่าจะเป็น หุ่นขี้ผึ้งอดีตประธานาธิบดี รูสเวลท์ , โครงกระดูกไดโนเสาร์ , หุ่นแคระจำลองของคนยุคโรมัน หรือ ผองชาวคาวบอย ไม่เว้นแม้กระทั้งมนุษย์ยุคหิน หรือ รูปปั้นหน้าคนบนเกาะอีสเตอร์ ฯลฯ
ลาร์รี่ มีหน้าที่ดูแลให้เหล่าประชากรในพิพิธภัณฑ์อยู่ในความสงบ เพราะเมื่อไหร่ก็ตาม หากมีผู้ใดหลุดออกไปนอกพิพิธภัณฑ์และไม่กลับก่อนรุ่งเช้า ต้องสลายเป็นผุยผง
งานนี้สุดแสนจะวุ่นวาย และ ผู้ชายที่เหมือนจะไม่เอาไหนอย่าง ลาร์รี่ ก็ดูจะไม่อยู่สู้ต่อไป แม้หุ่นประธานาธิบดีจะพยายามรั้งเขาไว้ พร้อมให้ข้อคิดปลุกใจถึง ความยิ่งใหญ่ที่สามารถเกิดขึ้นในบางสถานการณ์ แต่ เขาก็ยังคงคิดที่จะออกจากงาน
...สำหรับบางคน ดูเป็นคนหงอๆใจไม่สู้ แต่เมื่อชีวิตมีจุดหมาย มีเป้าหมายในการอยู่เพื่อใครสักคน บางครั้ง พลังในการใช้ชีวิตก็กลับเพิ่มพูนขึ้นมา
และสำหรับลาร์รี่ พลังนี้ได้มาจากลูกชาย
มีเพียงเหตุผลเดียวที่รั้งเขาไว้ไม่ยอมออกจากงานสุดหินชิ้นนี้ นั่นคือ ความกลัวที่จะสูญเสียลูกชาย
เขาจึงกลับไปอีกครั้งและจัดการกับความวุ่นวายของเหล่า หุ่นในประวัติศาสตร์ และ ตามแก้ปัญหาจากเรื่องเหนือความคาดหมายที่เกิดจาก คน จริงๆซึ่งเลวร้ายกว่าหุ่นขี้ผึ้งหลายเท่านัก
ก่อนที่เขาเองจะได้เรียนรู้และค้นพบความจริงข้อหนึ่งที่คล้ายกับหุ่นรูสเวลท์กล่าวไว้ว่า คนเราสามารถสร้างความยิ่งใหญ่ได้ตลอดเวลา และ ในทุกสถานการณ์ ไม่เว้นแม้แต่งานชิ้นเล็กๆที่คนมองข้าม
เพราะบางครั้ง ความยิ่งใหญ่รอจะถูกจับยัดใส่มือเรา แต่เพราะความกลัว ความท้อ ความหงอ การดูถูกตัวเอง และ ความไม่สู้ของคนนี่เอง ที่เสียโอกาสเหล่านั้นไป
...เดิมนั้น ผมไม่คิดจะดูหนังเรื่องนี้ซักเท่าไหร่ อ่านคำวิจารณ์จากฝั่งเมืองนอกก็เห็นให้เกรดกันบ้านๆประมาณ C+ ยิ่งดูหนังตัวอย่างยิ่งแล้วใหญ่ เพราะมันไม่ตลกแม้แต่น้อย จะมีก็ หึๆ แค่บางช็อต จนเหมือนกับว่า Night at the Museum ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเจาะตลาดขายกลุ่มเด็กๆ เน้นความแฟนตาซี ประเภท หุ่นในพิพิธภัณฑ์ มีชีวิต แล้ววิ่งไล่กันไปมาจนหนังจบ
ผมเข้าใจผิดไป เพราะถึงหนังจะเป็นเหมือน ความบันเทิงแพ็คเก็จประเภทสำเร็จรูปที่เราเปิดห่อออกก็เดาทางได้สบายๆ แต่หนังไม่ได้ใช้ความมักง่ายขายของเก่ากิน โชคดีที่การเชื่อกระแสความเห็นในพันทิปช่วยให้ผมได้หัวเราะร่วนกับการดูหนังเต็มๆอีกครั้งปิดท้ายปีนี้ เหมือนตอน แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า ที่ คิดโบกมืออำลาตั้งแต่เห็นชื่อทีมงานสร้าง แล้วก็เปลี่ยนใจเพราะกระแสความเห็นในพันทิปล้วนไปในทิศทางบวก
ผลลัพธ์ที่ออกมาหลังหนังจบ มันไม่ใช่แค่ หึๆ แต่มัน ฮาโฮ่ๆๆ 555 หลายตอน สลับกับยิ้มๆ ได้เกือบตลอดเรื่อง ดูแล้วให้ความรู้สึกเดียวกับตอนได้ดู Pirates of the Caribbean ภาคแรก นั่นคือ หนังสนุกมากอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีช่วงน่าเบื่อ และเป็น หนังขายความบันเทิงล้วนๆที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ
ไม่ว่าจะเป็น เอฟเฟคต์ที่เนียนตา ซึ่งดูเพลิดเพลินอย่างยิ่งกับการเห็นโครงกระดูกไดโนเสาร์หยอกเหมือนหมาน่ารักน่ากลัว , มนุษย์ตัวจิ๋วรวมกันจับพระเอก , รูปสลักโมอายกวนโอ๊ยฯลฯ
การผูกตัวละครและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ช่วยทำให้สนุกมากขึ้น เป็นข้อดีสำหรับเยาวชนยันคนแก่ ที่ดูหนังจบลงแล้วอาจจะอยากรู้จักหรือเรียนรู้ข้อเท็จจริงประวัติศาสตร์เพิ่มเติมแล้วไปค้นคว้ามาอ่านเหมือนกับลาร์รี่ (รวมผมไปด้วยที่ดูจบก็ search หาเรื่องราวของตัวละครเป็นว่าเล่น ตอนแรกก็นึกว่าบางคนเป็นตัวละครเขียนขึ้นมาใหม่ อย่าง ซาราจาเวีย แต่ปรากฎว่า เธอคือ คนที่มีชีวิตอยู่จริงในยุคสองร้อยปีก่อน)
...ตัวบทหนังนั้นหยอดรายละเอียดและแง่มุมเล็กๆน้อยๆไว้หลายจุดหลายตอน ทำให้เนื้อหนังมีอะไรมากกว่า การขายความแฟนตาซี เช่น ตัวบทของ เบน สติลเลอร์ ดูมีความลึกอยู่บ้างในรายละเอียดของความเป็นพ่อ ความเป็นคน ที่ขาดการยอมรับนับถือ โดยเฉพาะจากลูกตัวเอง การต่อสู้เพื่อให้ได้งานและเพื่อให้ไม่ตกงานของเขา ไม่ได้มีความหมายแค่นั้น แต่มันยังหมายถึง การต่อสู้เพื่อปกป้องความเป็นพ่อของตัวเองไม่ให้ร่อยหรอไป
หรือ การใส่เรื่องราวของสาม night guard คนเก่าให้มีอะไรมากไปกว่าเจ้าหน้าที่รุ่นพี่ที่ให้คำแนะนำตอนต้น หรือ ข้อคิดในการใช้ชีวิตจากตัวละครอดีตประธานาธิบดีที่รับบทโดย โรบิน วิลเลี่ยมส์ ไปจนถึง พล็อตกระจุ๋มกระจิ๋มแบบ ความข้ดแย้งของคนสองยุคสมัย หรือ การแอบรักของท่านประธานาธิบดี ล้วนมีส่วนให้หนังกระชุ่มกระชวยขึ้นมาได้มาก
หนังยังได้ การแสดงที่น่ารักๆและมีจุดเด่นของเหล่านักแสดงไล่ไปตั้งแต่ลูกชายของพระเอก , Dick Van Dyke เจ้าหน้าที่รุ่นพี่กับเพื่อนวัยดึกอีกสองคนที่ดูซู่ซ่าผิดวัย ,เจ้าของพิพิธภัณฑ์จอมจู้จี้ , พอล รัดด์ ในบทแฟนใหม่ของอดีตภรรยา และ อดีตภรรยา ที่ได้คิม แรเวอร์ หรือ ออเดรย์ เรน ขวัญใจผมจาก 24 มาสร้างความแช่มชื่นบนจอฯลฯ การใส่ใจสร้างจุดเด่นให้กับตัวละครช่วยให้คนดูยิ้มได้ถี่ขึ้นแม้ช่วงนั้นเนื้อเรื่องจะยังไม่เดินหน้าไปไหนก็ตาม
... ที่เหนือความคาดหมายที่สุดคือ ความฮา เพราะนึกว่าจะเป็นมุกบ้านๆประมาณหลอกเด็กห้าหกขวบให้ขำ แต่ เอาเข้าจริงกลับมีมุกเฉียบๆคมๆในหนังมากมาย แม้บางฉากดูหนังตัวอย่างจะแป้กเช่น ฉากลาร์รี่ตบหน้าลิง แต่พออยู่ในหนังที่มีการปูรายละเอียดมาก่อนหน้านั้น ความฮาก็บังเกิดขึ้นได้ เป็นอีกเรื่องที่ดีมากที่แอบซ่อนฉากฮาสุดๆไว้ในหนังไม่ปล่อยมาหมด ไม่อย่างนั้นคนดูคงดูไปเซ็งไปเหมือนหนังหลายเรื่องที่มุกฮาที่สุดปล่อยไปหมดแล้วตอนหนังตัวอย่าง (สองฉากที่ผมฮาสุดคือ การแกะรอยของซาคาจาเวีย และ ลาร์รี่วิ่งเข้าหาแอตติลา เดอะฮัน )
สิ่งที่ชอบ
1.มุกตลก ... ส่วนใหญ่ฮา หลายมุกฮามาก และ เด็ดดวง
2.การกำกับ ...ผู้กำกับ ชอว์น เลวี่ ไม่เคยทำให้ผมสนุกสนานเต็มที่ได้เลยจาก The Pink Panther, Cheaper by the Dozen, Just Married เพราะหนังของเขาเหมือนจะกั๊กๆติดๆขัดๆสนุกได้ไม่ต่อเนื่อง หรือไม่ก็เหมาะกับเด็กๆเกินไป(ในอีกทางหนึ่ง ผมก็แก่เกินไป) ตรงข้ามกับใน Night at the Museum ที่ความสนุกสนานนั้นรื่นไหลตลอดความยาวของหนัง และ สร้างความหรรษาได้กับทุกวัย เขาคือคนที่ต้องชมที่สามารถคุมความสนุกสนานให้อยู่ในความสมดุล ทั้งที่หนังมีสิทธิแกว่งไปกับ CG ที่มีลูกเล่นหลากหลายในเรื่อง หรือ เหล่านักแสดงจำนวนมากที่พร้อมจะขโมยซีน
สรุป ... เหมาะสมกับการเป็นหนังปิดท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่อย่างที่สุด มีมุมมองว่าหนังมีสู้ Jumanji ไม่ได้ ผมเองกลับคิดค้านกันว่า หนังเรื่องนี้อาจไม่อึกทึกคึกคักเหมือน Jumanji แต่องค์ประกอบหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็น การแสดง มุกตลก ฯลฯ คือ ของดีที่ มีมากกว่า และ จับคนดูผู้ใหญ่ให้สนุกได้มากกว่า ผมเองก็ชอบเรื่องนี้มากกว่าเช่นกัน หนังสนุกมากกกกก ครับ และ ในปีนี้ผมจัดหนังเรื่องนี้รวมไปกับ แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า และ The Devil wear prada เป็น 3 หนังคอมิดี้ที่มีความสนุกสนานมากที่สุดประจำปี
ดู(อ่าน)หนัง(สือ) ให้ข้อคิด ชวนคุณคลิกไปอ่าน ไปคุย และ ร่วมเป็น 1 ความคิดเห็นในหนังที่คุณเคยดู ที่ http://aorta.bloggang.com
=== 5 หนังไม่ชอบ + 10 หนังชอบ ประจำปี 2549 ของ (ผมฯ) คุณ คือ ...===
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=12-2006&date=31&group=1&blog=1
The Black Dahlia , ดอกรักเร่ ที่สวยแค่สไตล์แต่ไร้เสน่ห์
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=01-2007&date=04&group=1&blog=2
Lost in love , เคยบ้างไหมที่หัวใจ"หลงทางรัก"
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=01-2007&date=05&group=2&blog=1
Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest , "สลัด"จานนี้รสชาติดีเพราะ"Johnny Depp"
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=07-2006&date=11&group=1&blog=1
The Devil Wears Prada , (จากหนังสือมาเป็นหนัง) ร้ายก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=10-2006&date=08&blog=1
ขอฝาก"หนังสือรัก" พ็อกเก็ตบุ้คเล่มแรก ที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม โดย "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" จ้า
เมื่อหนังให้อะไรมากไปกว่าความบันเทิง
แก้ไขเมื่อ 05 ม.ค. 50 08:52:30