| ชอบมาก ห้ามพลาด (14 คน) |
| ชอบ (16 คน) |
| เฉยๆ (2 คน) |
| ไม่ชอบ (0 คน) |
| ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (1 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 33 คน |
เลือกอ่านเรื่องนี้พร้อมรูป อ่านความเห็นอื่นๆ และ เชิญชวนมาแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=01-2007&date=11&group=1&blog=1
...หลังเหตุการณ์ระเบิดกรุงเทพวันปีใหม่ ทำให้ผมรู้สึกว่า หนังที่เล่าเรื่องห่างไกลบ้านเราชนิดข้ามมหาสมุทรข้ามทวีปเรื่องนี้ มันน่ากลัวเหลือเกินเหมือนอยู่ใกล้ตัว เพราะ ถ้าย้อนกลับไปณ.จุดเริ่มต้นก่อนจะมาเป็นสงครามกลางเมือง ประชาชนของเซียร่า ลีโอน อาจไม่ต่างกับประชาชนบ้านเรามากนัก คือ เริ่มต้นจากความขัดแย้งเพียงเล็กน้อย ก่อนจะบานปลายเป็นความเลวร้ายที่ไม่อาจควบคุม อันเนื่องมาจาก แต่ละฝ่ายล้วนต้องการปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองจนถึงที่สุด
โดยเฉพาะคำพูดที่มันช่างซ้ำร้ายและทิ่มแทงตรงมายังคนดูบ้านเราคือ ประโยคที่ตัวละครชาวแอฟริกันคุยกันในหนังว่า
"ผมเข้าใจว่า ทำไมคนขาวต้องการเพชรพวกเรา แต่ ไม่เข้าใจว่า ทำไมพวกเราต้องมาทำร้ายกันเอง"
เราจึงได้เห็น ภาพการเข่นฆ่าอันชวนหดหู่ชองคนชาติเดียวกัน เช่น การตัดแขนชาวบ้านเพื่อข่มขู่ให้เข้าพวกและหวาดกลัว การยิงเด็กๆและผู้หญิงที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน การใช้แรงงานคนชาติเดียวกันเยี่ยงสัตว์ ที่เลวร้ายเกินบรรยาย คือ การเพาะเชื้อพันธุ์ความชั่วร้ายส่งทอดต่อรุ่นถัดๆไป ด้วยกระบวนการ ล้างสมอง เด็กๆที่พ่อแม่ถูกฆ่าตายให้กลายไปเป็น ทหารเด็ก
... เพชร ถูกนำมาเป็นตัวเชื่อมโยงตัวละครและเรื่องราวในหนังเข้าด้วยกัน เมื่อครอบครัวและคนในหมู่บ้านของ โซโลมอน แวนดี้ โดนบุกรุก ยิงทิ้ง ตัดแขนประจาน โดยกลุ่มกบฎ RUF (Revolutionary United Front)เขาถูกจับไปเป็นคนงานเหมืองเพชร ก่อนที่จะพบกับ เพชรเจ้าปัญหาเม็ดโต นำมาซึ่งการต้องสูญเสียลูกชายไปให้กับกลุ่มกบฎ RUF ที่จับเอาลูกของเขาไปล้างสมอง และ เพชรเม็ดนี้ก็นำเขาได้มาพบกับ ชายหนุ่มอีกคนอย่างแดนนี่ อาร์เชอร์ อดีตทหารรับจ้างที่มีอาชีพค้าอาวุธแลกกับเพชร ก่อนจะนำเพชรผ่านตลาดมืดอย่างผิดกฎหมายผ่านนายทุนนักธุรกิจ แดนนี่ เพิ่งสูญเสียงานและเงินก้อนโตไป เขาจึงหวังว่าเพชรเม็ดนี้ จะกอบกู้ชีวิตเขากลับคืนมาและนำพาเขาไปสู่อิสรภาพ
ชายคนหนึ่งทุ่มทั้งชีวิตตามหาลูก เพราะ ลูกคือสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดและคือความหวังที่เขาเชื่อมั่นว่าจะเป็นคนที่ดีของสังคม
ชายอีกคนทุ่มสุดชีวิตไล่ล่าเพชร เพราะ เชื่อว่า เพชรคือสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดและคือความหวังที่เขาจะมีชีวิตดีกว่าเดิม
นำให้พวกเขาได้พบกับ แมนดี้ หญิงสาวอีกคนที่พยายามทำข่าวเพชรเจ้าปัญหา เพราะ เชื่อว่า ข่าวของเธอจะช่วยผู้คนได้อีกจำนวนมาก
แมดดี้ และ โซโลมอน คนสองคนนี้เหมือน คนแปลกหน้า ที่แตกต่างจาก ผู้คนนับร้อยนับพันที่แดนนี่เคยทำความรู้จักมาทั้งชีวิต เพราะสองคนนี้ ไม่ได้มีชีวิตที่ทำแต่เพื่อตัวเอง ทั้งคู่มีชีวิตที่คิดถึงคนอื่นๆ คิดถึงสังคม และ มีชีวิตเพื่อสร้างคนที่ดีขึ้นมาจากสังคมที่เสื่อมทราม
ในใจลึกๆของแดนนี่เอง ก็คงต้องการเป็นเช่นนี้ ต้องการพบคบหากับคนเช่นนี้ ความเป็นคนดีของเขาก็อยากได้ใครมาหนุนส่งและเติมเต็มความดีงาม น่าเสียดายที่วัยเด็กของเขาไม่มีโอกาสเช่นนั้น เขาเติบโตมาด้วยข้อจำกัดทางโอกาสที่ปิดกั้น
การมีโอกาสได้พบคนสองคนนี้ จึงเหมือนโอกาสที่เขาได้เรียนรู้ชีวิตอีกด้าน เป็นโอกาสที่เขาจะได้เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองให้เป็นในสิ่งที่ลึกๆแล้วก็อยากจะเป็นเหมือนคนอื่นๆ นั่นคือ การเป็นคนดี แต่ด้วยข้อจำกัดมากมายที่มีมาในอดีต เขาจึงเป็นได้แค่ คนที่เอาตัวรอดทำเพื่อตัวเอง
นอกจากนี้หนังยังจะทำให้เห็นที่มาที่ไปและรายละเอียดของระบบวงจรเพชรเปื้อนเลือด ว่า กว่ามาประดับอยู่บนสร้อยคอหญิงสาวนั้น มันต้องผ่านอะไรมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้แลกเปลี่ยนกับอาวุธเพื่อนำมาซึ่งการปลิดชีพคนบริสุทธิ์ หรือผ่านหยาดเหงื่อและหยดเลือดของคนอีกมากมายสมดั่งชื่อหนังและชื่อตัวมันเองว่า Blood diamond หรือ Conflict diamond
... Blood diamond เป็นหนังดราม่าที่หน้าหนังอาจหลอกให้คนดูเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหนังแอคชั่นมันส์สะใจ ความจริงแล้ว ฉากแอคชั่นของหนังมีอยู่ประมาณหนึ่งพอเป็นน้ำจิ้มไม่มากไม่น้อย อารมณ์ของหนังส่วนใหญ่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับ The Constant gardener กับ ความเป็นหนังดราม่าที่หนักแน่นจริงจังและดูสนุก ทั้งคู่ยังมีโครงสร้างของเรื่องที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือ มีส่วนผสมของทั้ง เรื่องผลประโยชน์ในระดับสังคม ( ทุจริตยา คอรัปชั่น จาก TC./ การเข่นฆ่าของคนชาติเดียวกัน การค้าอาวุธ เพชรเถื่อน จาก BD.) และ การสำรวจในระดับตัวบุคคล (ความรัก ความไว้เนื้อเชื่อใจ จาก TC./ ความดีงามในตัวมนุษย์ จาก BD.)
ปีนี้เป็นปีทองของ ลีโอนาโด ดิคาปริโอ เมื่อบทบาทการแสดงของเขาขึ้นแท่นไปเป็นผู้ท้าชิงในหลายๆเวทีล่ารางวัลพร้อมกันถึง สองเรื่อง จาก The departed และ Blood diamond การตัดสินว่าเรื่องไหนที่เขาเล่นดีกว่ากันนั้นตอบยากอยู่ เนื่องจากผมเองก็มีอคติกับบทบาทของเขาใน The departed เพราะไม่ว่าเขาจะเล่นได้ดีเพียงใด ผมเองก็มีภาพของ เหลียงเฉาเหว่ย ซึ่งเล่นได้น่าจดจำกว่าทาบทับภาพของเขาอยู่ตลอด (เหมือนกับหนังที่ The departed ก็มีดีในตัวแต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมีภาพที่ดีกว่าของ Infernal affairs มาเปรียบเทียบแทบจะทุกช็อต) แต่กับบทบาท แดนนี่ อาร์เชอร์ ของลีโอ ถือว่าเป็นอีกบทบาทของเขาที่ทำให้คนดูได้เห็นพัฒนาการทางการแสดงที่มีรายละเอียดทางอารมณ์มากขึ้น เมื่อเทียบกับบทบาทล่าสุดอย่างใน The aviator ,Catch Me If You Can , Gangs of New York สำเนียงแอฟริกันกับเขาก็ดูเข้ากันได้ดี
ยิ่งเมื่อเขาต้องมาประกบกับ ดิจิมอน ฮาวน์ซู นักแสดงผิวสีที่มีพลังชนิดท่วมท้น เขาเองก็สามารถประลองพลังกับอีกฝ่ายได้ไม่ด้อยกว่าเลย ดิจิมอน ฮาวน์ซู เป็นนักแสดงที่เมื่ออยู่ในจอแม้จะไม่พูดอะไรซักคำ ก็อยู่ในกลุ่มเดียวกับนักแสดงที่มีรัศมีมีพลังในตัวมากพอที่จะทำให้คนดูสัมผัสได้ ซึ่งก็ต้องขึ้นกับความสามารถของผู้กำกับด้วยว่าจะดึงศักยภาพของเขามาได้มากแค่ไหน จะมากเหมือนกับในหนัง In America หรือทำให้เขาเป็นแค่ตัวประกอบธรรมดาสามัญอย่างใน The Island , Constantine
สาวสวยเพียงคนเดียวในเรื่อง เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ เริ่มต้นให้การแสดงในระดับพื้นๆจนกระทั่งฉากในแค้มป์ที่เธอออกอาการ เอาจริง การตอกกลับ ในฉากนั้นฉายตัวตน ฉายเจตนารมย์ในการมีชีวิตอยู่และการทำงานของเธอให้เราได้เห็นความเป็นยอดหญิงชัดเจน นับตั้งแต่วินาทีนั้น เธอก็เป็นเหมือนเพชรที่เจิดจรัสอยู่ท่ามกลางชายหนุ่มสองคนที่ให้การแสดงเข้มข้นไม่แพ้กัน เพียงแค่สายตาของเธอที่ต้องการถ่ายทอดความมุ่งมั่นก็ถ่ายทอดความรู้สึกได้มากมาย และ ความอ่อนโยนในส่วนที่เธอมอบให้กับพระเอกก็ทำให้ หนังที่แข็งกร้าวดุดันเรื่องนี้ มีมุมที่อ่อนไหวดูดีขึ้นมาทันใด
... สังเกตว่า เอ็ดเวิร์ด ซวิค ผู้กำกับที่มีผลงานระดับขึ้นหิ้งอย่าง Glory และ legend of the fall ช่วงหลังๆเริ่มทำหนังเป็นสูตรเฉพาะตัวตามๆกันมาให้เราคนดูเดาได้ นั่นคือ งานสเกลใหญ่พร้อมร่วมงานกับดาราระดับแม่เหล็กอย่างน้อยหนึ่งคนด้วยความยาวชนิดจุใจ (The Last Samurai บวก ทอมครูส ใช้เวลาไป 154 นาที , The Siege บวก เดนเซล วอชิงตัน ใช้เวลาไป 116 นาที) Blood diamond เขายังคงใช้สูตรเดิมคือ หนังสเกลใหญ่ นักแสดงระดับแม่เหล็ก (ลีโอ) และ ความยาว 143 นาที
งานของเขาถือว่ามีค่าเฉลี่ยที่พอฝากผีฝากไข้ซื้อตั๋วไปดูได้แบบไม่น่าผิดหวัง เพราะจะดีจะชั่วอย่างไร มาตรฐานอย่างต่ำก็ระดับเกรด B เป็นอย่างน้อย หากไม่นับงานมาสเตอร์พีซสองเรื่องบนที่ว่าไว้ที่ผมยังไม่ได้ดูซักที งานในยุคหลังๆของเขาที่ผมชอบมากที่สุดกลับเป็นงานที่ไม่ประสบความสำเร็จมากนักอย่าง Courage under fire ที่ดูสนุกและกระชับลงตัว ในขณะที่ หนุ่มหล่อซามูไร กับ สงครามระหว่างชนชาตินั้น มันมีความ เยิ่นเย้อ ในหนังอยู่มากเกินไป
Blood Diamond ดีกว่าสองเรื่องล่าสุด คือ แม้จะยังยาวอยู่จริง แม้จะยังมีความเยิ่นเย้ออยู่บ้าง แต่ก็มีน้อย ความยาวของหนังไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการติดตาม หากคนดูเป็นคอดราม่าหนักๆจะไม่รู้สึกว่าหนังน่าเบื่อแต่อย่างใด และ จะว่าไปหนังเรื่องนี้มีความจำเป็นต้องยาวเพราะ โครงของหนังถือว่าทั้งกว้างและลึก นั่นคือ เล่าภาพกว้างของปัญหาระดับสังคมวิทยา และ ก็ลงลึกสำรวจจิตใจของผู้คนโดยเฉพาะตัวละครหลักอย่าง แดนนี่ อาร์เชอร์
(มีต่อ)
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
12 ม.ค. 50 10:16:22
]