ความคิดเห็นที่ 1 รูปเขานางนอน(ภาพโดย คุณ MaGy) จากคุณ : Oji_yoyo - [ 21 ม.ค. 50 17:50:45 ]

ความคิดเห็นที่ 2 แนวคิดปรากฏการณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น หลักการณ์คือ จะนำเอาเพชรมาเป็นองค์ประกอบหลักในการนำเสนอ  ควรทำอย่างไร  เมื่อพระจันทร์เสี้ยวตกลงมายังจุดโฟกัส  แล้วกระทบกับเขาศิวะเทพจึงเกิดปรากฏการณ์ ปิ่นพระศิวะฉายแสงเรืองรอง แล้วปรากฏเป็นรูปพระศิวะเทพกำลังนั่งขัติสมาธิ(ดังรูป) ขึ้นที่บริเวณเนินพระจันทร์(ตรงที่คณะเดินทางยืนอยู่)  หลังจากนั้นถันพระอุมาทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือจึงฉายแสงเรืองรอง ปรากฏเป็นร่องให้เห็นทางไปสู่เมืองมรกตนคร... ทฤษฎีวิศวกรเพี้ยน(ตามที่ปู่อุปฯเรียก) ทฤษฎีนี้มีเพชรเป็นปัจจัยหลัก แนวคิดมัลติเพชรนี้จะอาศัยหลักการสะท้อนแสงในการส่องแสงสว่างเรืองรอง ซึ่งอาศัยทั้งภูมิปัญญาของมนุษย์และธรรมชาติประกอบกันให้เป็นประโยชน์ ข้อดี -   ทฤษฎีนี้คือการหนีออกจากปรากฏการณ์ของปาฏิหาริย์อย่างชัดเจน เป็นตรรกะ(มีเหตุมีผล) มีคนทำขึ้นมาโดยอาศัยธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเป็นองค์ประกอบ  - ถ้าใช้ทฤษฎีนี้  คำว่าเพชรบนเขาศิวะเทพ + ถันพระอุมาเทวี จะได้คำว่า “เพชรพระอุมา”  ซึ่งจะเป็นคำตอบของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ในไตรภาคสุดท้าย(ของหนังสือภาคแรก) ข้อด้อย - เราจะต้องอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์(ฟิสิกส์)ให้ได้น่ะสิครับ ว่าภาพพระศิวะฉายแสงเรืองรองได้อย่างไร เหตุผลเรามีมากน้อยแค่ไหนที่จะให้ผู้ชมเชื่อว่าวิศวกรเพี้ยนท่านนั้นทำได้อย่างนั้นจริงๆ จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 21 ม.ค. 50 18:07:49 ]

ความคิดเห็นที่ 3 นี่คือทิศทางประกอบ อย่างคร่าวๆ(ปู่อุปฯทำไว้อีกแล้ว) -เขานางนอน  ด้านหัวอยู่ทางทิศเหนือ ส่วนเท้าอยู่ทางทิศใต้ -เขาศิวะเทพอยู่ทางทิศตะวันตกของเขานางนอน -ถันพระอุมาเทวีจะอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงขึ้นไปทางทิศเหนือเล็กน้อย จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 21 ม.ค. 50 18:45:12 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แหม ชอบปาฏิหารย์นะ ง่ายดี อิ อิ แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 50 20:38:52 จากคุณ : เป๋าตังค์เป๋าตุง - [ 21 ม.ค. 50 20:37:59 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มันน่าเสียดาย ปาฎิหารย์ไม่มีจริง อ้าว!!! ไม่ใช่เพลงเหรอคะ อิอิ ิิ จากคุณ : เ จ้ า ตั ว ร้ า ย - [ 21 ม.ค. 50 20:46:29 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มาแล้วครับหลานๆ ปัญหาใหญ่ตอนนี้คือ ฉากที่จะทำให้เกิดภาพน่ะครับ เช่นการฉายเลเซอร์ให้ไปกระทบกับน้ำพุทำให้เกิดภาพได้ ตอนนี้ สมมุติถ้าเรามีประกายเพชรจากยอดเขาได้ แล้วให้หิมะเป็นฉาก ปัญหาคือ คนมองจะอยู่อีกด้าน จะทำให้เห็นได้มั๊ยครับ จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 21 ม.ค. 50 21:25:36 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ทำเป็นเล่นไป ผมเพิ่งดูสารคดีตามรอยตำนานฯ จบหมาดๆ เพิ่งทราบว่าท่าน Cinephile ให้สร้างปืนยาวเก้าคืบยิงทดสอบจริงๆ ถ้าเราทำการคำนวณดีๆ อาจขอตังค์ท่านสร้างโมเดลทดสอบซะให้รู้แล้วรู้รอดครับ อืมม เช่น สปอนเซอร์โดย 7-11 แล้ว 7-11 ทำโมเดลย่อขาย จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 21 ม.ค. 50 21:29:40 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ปู่อุปฯ ให้เพชรเป็นเลนซ์  แล้วให้ภูเขาหิมะเป็นฉาก แล้วเครื่องฉายจะอยู่ตรงไหนล่ะปู่ฯ จากคุณ : เป๋าตังค์เป๋าตุง - [ 21 ม.ค. 50 22:11:56 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คืองี้พี่เป๋า แสงจันทร์เป็นเครืองฉาย มัลติเพชรบนยอดเขาเป็นเลนส์ ม่านหิมะเป็นฉาก อืมมม ฉายแบบกระจกกลับด้านเป็นยังไงโอจิ อีกฝั่งจะได้เห็นภาพด้านหน้าของพระศิวะ จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 21 ม.ค. 50 22:45:09 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ก็น่าจะเป็นไปได้นะครับ แต่ปริมาณแสงนี่สิครับ มันจะพอหรือ? อีกอย่าง ถันพระอุมานั้นถล่มลงมาได้ยังไง? จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 21 ม.ค. 50 22:58:44 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ปริมาณแสงเราก็โม้ว่าโคตรเพชรหลายอันมีแสงพอ ส่วนถันถล่ม ผมว่าคงคิดไปเองน่ะ คือคงแค่แสงนั้นทำให้เกิดความความสว่างเห็นถัน ส่วนเสียงเราก็ติดลำโพงเข้าไปที่ยอดเขา เอ๊ย มันอาจจะเป็นเสียงจากการสป๊าคก็ได้ ทำให้ดูเหมือนมีเสียงถล่มจากถัน แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 50 23:15:53 จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 21 ม.ค. 50 23:14:47 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ปัญหาอีกปัญหาหนึ่ง  หิมะที่ตกล่ะครับ  จะมีแสงทะลุผ่านเป็นภาพได้หรือเปล่า ยิ่งคิดยิ่งปวดเฮดแฮะ   ไม่เห็นมีคนมาเล่นด้วยเลย  คุณเจ้าตัวร้ายกลับมากระทู้นี้ได้แล้ว  อย่ามัวแต่หัวเสียกับอีกกระทู้เลย   ช่วยกันคิดดีกว่า... แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 50 23:24:55 จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 21 ม.ค. 50 23:19:28 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เอ๊ะ ผมเขียนผิดรึ เป็นยังไงเวิร์คมั๊ยครับ จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 21 ม.ค. 50 23:22:08 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อ้าว นึกว่าผมอ่านผิด   อุตส่าห์แก้ข้อความใหม่แล้วนะนี่ รู้งี้ไม่แก้ดีกว่า โคตรเพชรหลาน...คานเพชรหล่น จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 21 ม.ค. 50 23:26:30 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เหอะๆ มุขวัยสะรุ่น เข้าเรื่องต่อคร้าบ จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 21 ม.ค. 50 23:30:06 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ---ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น แล้วใครละครับ ---ติ๊ต่างว่า ชาวมรกตนครสร้างขึ้น เค้าจะสร้างทำไม ในเมื่อเค้าเองเป็นประเทศปิด จะสร้างของแบบนั้นเพื่อชี้ทาง คนจากโลกภายนอกเข้าบ้านตัวเองทำไม ? ---อืมมม์ จากคุณ : Macatre - [ 21 ม.ค. 50 23:33:46 ]

ความคิดเห็นที่ 17 นี่เลยครับ ตอนแรกมรกตนครยังเป็นประเทศเปิดอยู่นิดๆ พิจารณาจากคำให่การกรุงเก่า เอ๊ย บันทึกมังมหานรธา ทีนี้สูเจ้าจะเข้ามาต้องมีความอดทนและฟลุ้ค (จริงๆคือมีบารมี) กันหน่อย คือจะเปิดทางให้หนึ่งครั้งเท่านั้นในรอบปี การสร้างก็สร้างโดยวิศวกรชาวมรกตนครแหละผมว่า ที่ชอบมากคือมันเป็นบทสรุปของ เพชร+พระอุมา ตามที่โอจิบอกแหละครับ ผมว่ามันเนียนจริงๆ จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 21 ม.ค. 50 23:37:33 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เคยมีคนถามแบบนี้เหมือนกัน  ปู่อุปฯเคยตอบไว้ให้แล้ว ตามลิงค์ที่ผมให้ไว้ข้างบน  ความคิดเห็นที่ #62 ดังนี้ 1) อย่างที่ผมทำ แอนิเมชั่นไว้น่ะครับ ภาพในใจผมคือแบบนั้นในแง่ที่ ภาพจะค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้นบิดขึ้นมาจนถึงยอดเขาศิวะเทพ ให้เห็นถึงแสงจันทร์ส่องกระทบพระศิวะเพชรบนยอดเขาแล้วแสงจากเพชรนั้นกระทบชิ่งกันในมุมต่างๆ (อันนี้ได้ไอเดียเพิ่มจากแนวคิดมัลติเพชรของหลาน pakem) ทำให้เกิดเงาของภาพพระศิวะครอบเต็มท้องฟ้าพร้อมทั้งแสงสว่างเรืองรอง เรียกว่าเป็นการอธิบายให้ผู้ชมดูด้วยภาพ ซึ่งแน่นอนว่าทฤษฎีนี้มีข้อบกพร่องในทางปฏิบัติอยู่เหมือนกันว่าจะทำได้รึเปล่า (ผมอาจจะลองย่อส่วนทำดู) แต่เราน่าจะเบิกเนตรผู้ชมได้ เหมือนกับภาพในเรื่อง Raiders of the Lost Ark ใน#54 ที่ดร.โจนส์ ปักธงในช่องแล้วรับแสงจากพระอาทิตย์ทำให้เกิดลำแสงพุ่งไปยังตำแหน่งลายแทงนั่นแหละครับ (ซึ่งผมก็ว่ามั่ว ฮา...) หรือภาพกระจกสะท้อนกันทำให้เกิดแสงสว่างในหนังเรื่อง NATIONAL TREASURE ที่หลาน pakem บอก ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ว่ามั่ว แต่ทำให้เราทึ่งและจดจำได้น่ะครับ 2) ส่วนเหตุผลในการทำ ก็ไม่ยาก ให้กุตะมะพูดก็ได้ครับว่า ชาวมรกตนคร ไม่คิดจะออกไปยังโลกภายนอก แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะต้อนรับบุคคลภายนอก แต่ขอวัดสติปัญญาและบุญบารมีก่อน โดยการให้วิศวกรสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อชี้บอกทางขึ้นมา ครั้งเดียวในแต่ละปี (ซึ่งในภายหลังเจอโคตรพรานรพินทร์ อาศัยวิชาเข็มทิศ ลากเส้นทางขึ้นมรกตนคร ทำให้ไม่ต้องรอปรากฏการณ์นี้อีก) คิดแล้วคิดอีก ผมว่าเหตุการณ์นี้ต้องไม่ใช่ปาฏิหาริย์แล้วล่ะครับ แล้วก็น่าจะมีเพชรมาประกอบไม่ว่าจะใช้ทฤษฎีอะไรตาม เพื่อบ่งชี้ถึงชื่อเรื่อง จากคุณ : อุปนิกขิต  - [ วันเถลิงศก (15) 01:09:57 ] แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 50 23:43:46 จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 21 ม.ค. 50 23:40:26 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อ่า...คิดไม่ออกค่ะ  เห็นกระทู้มาตั้งแต่เย็นแล้ว อิอิ ขออ่านก่อนนะคะ เดี๋ยวหากาวได้จะมาต่อยอดนะคะ ว่าแต่....คะหยิ่นนี่มีความสามารถพิเศษอะไรคะ อุ๊บ!!! :-X จากคุณ : เ จ้ า ตั ว ร้ า ย - [ 21 ม.ค. 50 23:45:38 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เอ   เพชรจะกักเก็บพลังงานไว้จากแสงอาทิตย์ได้หรือเปล่าครับ  คล้ายๆกับแผงซูลาเซลล์ที่นำพลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานไฟฟ้า   พอถึง 5 ค่ำ เดือน 12 ก็จะนำพลังงานที่กักเก็บได้ เพื่อปล่อยแสงตอนพระจันทร์เสี้ยวส่องถึงจุด โฟกัสพอดี แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 50 23:55:41 จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 21 ม.ค. 50 23:55:00 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อืมม มันมีที่ปราสาทหินพิมายที่น่าสนใจสิครับ ว่าเขาคำนวณอย่างไรให้แสงอาทิตย์ทะลุประตูครั้งเดียวในรอบปี จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 21 ม.ค. 50 23:57:21 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แต่ที่นั่นไม่ได้กักเก็บพลังแสงอาทิตย์นะคับ   แต่เป็นเวลาที่ 1 ปี ถึงจะมีแสงส่องสว่างถึงประตูทั้งหมดได้พอดี ถ้าให้ผมเปรียบ   น่าจะเป็นเหมือนกับบั้งไฟพญานาคมากกว่า  พอครบ 1 ปี จะมีพลังงานปล่อยแสงไฟขึ้นมา จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 22 ม.ค. 50 00:09:09 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คือผมกะว่าน่าจะเป็นแบบนั้นน่ะครับ คือแสงจันทร์ทำมุมพอดี อืมม แต่ถ้าเก็บแสงก็จะต้องมีการคำนวณวัน ยังต้องมีปรับปีอธิกสุรธินด้วยนะ แก้ไขเมื่อ 22 ม.ค. 50 00:21:42 จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 22 ม.ค. 50 00:12:54 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แหม ปล่อยแสงได้ ยังกะอุนตร้าแมนแน่ะ อุ๊บส์ เค้าคุยไรกันอยู่อ่ะ แล้วรหัสยะ นิสัยยังไงอ่ะปู่ ^.^ จากคุณ : เป๋าตังค์เป๋าตุง - [ 22 ม.ค. 50 00:16:32 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ไปล่ะ ง่วงละ   พรุ่งนี้ค่อยมาช่วยคิดต่อ  หวัดดีครับ จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 22 ม.ค. 50 00:22:30 ]

ความคิดเห็นที่ 26 รู้สึกว่ากระแสรักธรรมชาติจะมาแรงแฮะ... ก่อนอื่น  ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ถ้าเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  เราจะอธิบายปัญหาข้อนี้ได้หรือไม่ ว่ามันเกิดขึ้นได้เช่นไร ...ร่างหนึ่งสถิตอยู่เหนืออาสนะ ตระหง่านเงื้อมจรดขอบฟ้า หัตถ์เบื้องซ้ายวางอยู่กับพระเพลา หัตถ์เบื้องขวาทรงตรีอันเป็นเทพอาวุธ มีพญาพุชงค์พันพาดเป็นสายสังวาล บนมุ่นเกล้ายอดเมาลีคือจันทร์เสี้ยวที่ประดับอยู่เป็นปิ่น ส่งประกายรังสีอร่ามเรืองสว่างไสวไปทั่วปริมณฑล จนสามารถแลเห็นพระพักตร์อันสง่างามและโอษฐ์ซึ่งเผยอแย้มน้อยๆ อย่างปรานีลงมายังสามมนุษย์ที่กำลังจ้องตะลึงลานอยู่ในขณะนี้ (แงซายฯ 1 : 8815) ซึ่งมาเรียอธิบายตามความเข้าใจของเธอว่า "ฉันเห็นแล้ว เห็นอย่างคุณ และทุกๆคนในขณะนี้ ชายคนหนึ่งนั่งเหนือแท่นหิน มือซ้ายวางที่เข่าซ้าย มือขวาถืออาวุธปลายแยกเป็นสามแฉก มีงูพันคอ พระจันทร์บนท้องฟ้าในขณะนี้ คือสิ่งประดับอยู่บนทรงผมเกล้าสูงเหนือศีรษะของเขา เค้าหน้าเขาดูช่างมีความกรุณาเหลือเกิน ขณะที่เขาทอดมองลงมายังเราในขณะนี้..." (แงซายฯ 1 : 8819) ซึ่งถ้าเป็นเหตุการณ์ทางธรรมชาติสร้างขึ้น ก็จะทำให้หนีไม่พ้นกับคำว่าปาร์ฏิหาริย์ ทีนี้ลองมาดูข้อดีข้อด้อย ข้อดี -  ไม่ขัดกับหลักของบทประพันธ์ -  ทฤษฎีนี้อาจจะเป็นเรื่องของธรรมชาติ+ปาฏิหาริย์ก็ได้ทั้งสองอย่าง   สรุปง่ายดี ข้อด้อย -  เราจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนแผ่นฟิล์มได้อย่างไร  ธรรมชาติสร้างสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยหรือ  มันไม่น่าจะเป็นไปได้นะ -  ถ้าอ้างอิงถึงลักษณะพระศิวะ จากบทประพันธ์ที่ว่า “สามารถแลเห็นพระพักตร์อันสง่างามและโอษฐ์ซึ่งเผยอแย้มน้อยๆ อย่างปรานี” ถ้าจะให้เห็นถึงรูปร่างหน้าตาของพระศิวะเทพแล้ว ทฤษฎีนี้จะเป็นไปไม่ได้เลย นอกเสียจากจะไปผสมกับทฤษฎีปาฏิหาริย์  ซึ่งจะไม่สามารถแยกออกจากกันได้   สุดท้ายก็ต้องพึ่งปาฏิหาริย์อยู่ดี แก้ไขเมื่อ 22 ม.ค. 50 12:25:19 จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 22 ม.ค. 50 12:22:30 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ครั้งแรกผมก็ชอบทฤษฎีปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้อยู่เหมือนกัน แต่ไปๆมา มันก็จะหนีออกจากอภินิหารไม่ได้อยู่ดี แต่ถ้าสมมุติว่า  เราสามารถหนีออกมาจุดนั้นได้  มีความสมเหตุสมผลทางวิทยาศาสตร์  หาข้อมูลมาหักล้างได้ ก็คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย...คุณว่าไหม? จากคุณ : Oji_yoyo - [ 22 ม.ค. 50 12:34:12 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อ่ะ....ไปอยู่ฝ่ายธรรมชาติดีกว่า ...ร่างหนึ่งสถิตอยู่เหนืออาสนะ ตระหง่านเงื้อมจรดขอบฟ้า หัตถ์เบื้องซ้ายวางอยู่กับพระเพลา หัตถ์เบื้องขวาทรงตรีอันเป็นเทพอาวุธ มีพญาพุชงค์พันพาดเป็นสายสังวาล บนมุ่นเกล้ายอดเมาลีคือจันทร์เสี้ยวที่ประดับอยู่เป็นปิ่น ส่งประกายรังสีอร่ามเรืองสว่างไสวไปทั่วปริมณฑล จนสามารถแลเห็นพระพักตร์อันสง่างามและโอษฐ์ซึ่งเผยอแย้มน้อยๆ อย่างปรานีลงมายังสามมนุษย์ที่กำลังจ้องตะลึงลานอยู่ในขณะนี้ (แงซายฯ 1 : 8815) เขาพระศิวะเกิดเป็นรูปร่างได้จากการปกคลุมด้วยหิมะที่ตกลงมาได้หรือเปล่าคะ ที่นี้หิมะต้องแสงจันทร์ (ว้าว...ใช้ภาษาสวยจริง ฮิๆ) ก็จะเกิดแสงออกมา ทำให้รูปร่างของเขาพระศิวะที่มองเห็นเปลี่ยนไป จากคุณ : เ จ้ า ตั ว ร้ า ย - [ 22 ม.ค. 50 14:01:02 ]

ความคิดเห็นที่ 29 มันจะฟลุ้คไปรึเปล่าล่ะคับ หิมะตกเป็นรูปพระศิวะ ถ้าอย่างนั้นเขารูปนี้จะต้องมีรูปทรงใกล้เคียงก่อนอยู่แล้ว ซึ่งก็จะขัดกับความจริง(ตามท้องเรื่องนั่นแหละ)ที่จะสื่อว่าเขาลูกนี้เป็นสัญลักษณ์ของศิวลึงค์ ผมทุบโต๊ะเปรี้ยงครับว่าไม่น่าใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เหมือนกับบั้งไฟพญานาคที่ไม่น่าใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่นกัน อูย...เจ็บมือ จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 22 ม.ค. 50 14:34:11 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ยังงี้นะเจ้าตัวร้าย ถ้าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ภาพพระศิวะก็น่าจะเห็นลางๆก่อนที่แสงจันทร์จะกระทบได้จังหวะ คือแสงจันทร์อาจทำมุมบ้างนิดหน่อยทำให้ภาพสมบูรณ์ขึ้น คำถามคือ 1) เขาศิวะเทพรูปร่างคล้ายศิวลึงค์ทำให้หิมะเกาะเป็นรูปร่างพระศิวะทรงประทับนั่งได้อย่างไร 2) จอมพรานรพินทร์ก็น่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ขุนเขานั้น ไม่น่าที่จะต้องมาจับเจ่าทอดอาลัยว่าตูข้านำทางพาคณะมาพินาศ 3) แสงสีทองเรืองอร่ามในเวลาต่อมาเกิดขึ้นได้อย่างไร 4) เสียงดังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เกิดขึ้นได้อย่างไร 5) ความสว่างขนาดใช้เข็มทิศขีดเส้นเดินทางในแผนที่เกิดขึ้นได้อย่างไร คำว่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ตามหลักแล้วจะมีคำอธิบายอยู่นา เช่น ปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ไม่เชื่อลองถามโอจิดูสิ ในแง่ของภาพที่จะเกิดขึ้นในภาพยนตร์ มันจะทำยากนา ถ้าเป็นปรากฏกการณ์ธรรมชาติ รึว่ายังไงล่ะ แก้ไขเมื่อ 22 ม.ค. 50 15:28:46 จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 22 ม.ค. 50 15:23:37 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คือ...เห็นปู่อุปฯ กับคุณโอจิ คุยกันสองคน ไม่มีฝ่ายค้าน เดี๋ยวจะเหงา   เลยมาค้านไปยังงั้นเอง - -" ไม่ค่อยรู้เรื่อง วิศวกรธรรมชาติ กับ วิศวกรมรกตนคร สักเท่าไหร่ อิอิ แต่ไม่เป็นไร....เดี๋ยวนู๋ค้นคว้าหาเอาคูด้านข้างๆมาคุยด้วย จากคุณ : เ จ้ า ตั ว ร้ า ย - [ 22 ม.ค. 50 16:20:47 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ถ้าลองเอาหลักการฉายภาพวัตถุมาใช้ล่ะคะ จะเป็นไปได้มั๊ย สมมุติว่าวิศวกรมรกต เจาะอุโมงค์เข้าไปใกล้ๆ ยอดเขาพระศิวะแล้วตั้งเครื่องฉายภาพไว้ในนั้น ฮุฮุ.. ดูรูปดีกว่า เป็นรูประบบฉายภาพทางอ้อม จากคุณ : pakem - [ 22 ม.ค. 50 21:02:46 ]

ความคิดเห็นที่ 33 แสงจันทร์จะลอดเข้าไป ภายในอุโมงค์ (เจาะเข้าไปด้านข้าง) และทำมุมตกกระทบกับแผ่นสะท้อนแสงแล้วจะสะท้อนแสงไปที่เลนส์รวมแสง (อาจจะเป็นเพชร) หรือไม่ก็มีตัวกำเนินแสงอยู่ภายในอุโมงค์ รอเวลาให้แสงจันทร์มาตกกระทบทำปฏิกิริยาสปาร์คแล้วเกิดแสงและเสียงดัง (อย่างที่ปู่อุปฯ ว่า)   แล้วแสงก็จะฉายไปที่พระศิวะ  ผ่านเลนส์นูน เลนส์เว้า ไปที่กระจกเงา ที่ตั้งไว้บนปากปล่องด้านบน  แล้วไปตกกระทบกับหิมะที่ตกหนาทึบด้านนอก ออกมาเป็นรูปพระศิวะนั่งอยู่บนแท่นหินมีงูเห่าพันคอ... จากคุณ : pakem - [ 22 ม.ค. 50 21:12:02 ]

ความคิดเห็นที่ 34 แต่ทั้งหมดก็มีคำถามตามมา าอุปกรณ์ทั้งหลายแหล่ ทำมาจากอะไรในสมัยนั้น แสงจากแหล่งกำเนิดแสงจะต้องมีความเข้มของแสงมากๆ ซึ่งถ้าใช้แสงจันทร์อย่างเดียวมันไม่พอที่จะทำให้เกิดภาพได้ หิมะจะใช้แทนจอรับภาพได้มั๊ย ทิศทางที่ชาวคณะอยู่จะสามารถมองเห็นรูปได้มั๊ย ที่สำคัญหลักการฉายภาพนี้มันมีข้อจำกัดว่า ในห้องฉายภาพต้องมืดมากๆ ถึงจะเห็นภาพชัด ซึ่งในฉากนี้มันไม่มืด ....นั่งคิดมาทั้งวันได้แค่นี้ล่ะค่ะปู่.... จากคุณ : pakem - [ 22 ม.ค. 50 21:27:48 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ---ปรากฎการณ์ที่มนุษย์ยังไม่สามารถให้คำอรรถาธิบายเป็นรูปธรรมโดยใช้ทฤษฎีใดใดมาอ้างได้ ก็คือ อภินิหาร ? ---ชักสับสนแฮะ ---นั่งดูเขาเม้าท์กันต่อดีกว่า อิอิ ปูเสื่อรอดู จากคุณ : Macatre - [ 22 ม.ค. 50 23:19:53 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ(คิดแนววิทยาศาสตร์เป็นที่ตั้ง) +โดยที่บริเวณเขาพระศิวะนั้นอาจเป็นภูเขาที่มีลักษณะประกอบด้วยหินแร่บางประเภท   +แต่ที่เห็นเป็นรูปพระศิวะนั้นอาจเกิดเนื่องมาจากต้นไม้บางประเภทที่สามารถขึ้นอยู่บนเขานั้นได้ เมื่อหิมะตกเกาะบนต้นไม้และใบไม้อย่างบางๆ +ประกอบกับเมื่อแสงจันทร์ตกกระทบนั้นได้มุมและองศาพอดี จึงสะท้อนเงาเหล่านั้นออกมาเป็นดังนั้น (คนมองในระยะที่ไกล+จินตนาการ+ความเชื่อในลายแทง=สมองสั่งให้เป็นไปตามนั้น) + แล้วฉายแสงได้อย่างไรนั้น ดังที่ชีพคิดไว้ตอนต้นเนื่องจากลักษณะภูมิศาสตร์ที่เป็นเขาหินแร่ อาจมีแร่บางชนิดก็ได้ที่มีอยู่ปริมาณมากและโผล่ขึ้นมาเนื่องจากการกัดกร่อนตามสภาพธรรมชาติ จากแรงลม ฝนตก ก็ตาม สามารภสะท้อนแสงได้ พอแร่ได้รับแสงจันทร์ในระยะตกระทบใกล้จุดวิกฤตที่สุด ก็เกิดการหักเหของแสง กระเจิงแสง ผ่านหิมะ (แร่ คือเพชร หรือแร่โลหะที่สะท้อนแสงได้ ในที่นี้) + เสียงที่สั่นสะเทือนนั้น อาจเกิดจากปฏิกิริยาไฟฟ้าของแร่เอง(มีความชื้นจากหิมะ) คล้ายๆเวลาฝนตกที่มีประจุไฟฟ้ามากมายในก้อนเมฆที่ทำให้เกิดฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ***ไม่รู้ว่าจะช่วยปู่อุปฯ และคุณโอจิ ได้ไหมนะคะ แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 50 10:13:02 จากคุณ : ชีพชีวิน - [ 22 ม.ค. 50 23:24:28 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ปัญหาอย่างนึงคือ เขารูปศิวลึงค์ถ้ามีต้นไม้แบบนั้นก็ไม่ใช่รูปศิวลึงค์น้ะสิหลานชีพ แล้วอาจต้องเปลี่ยนเป็นพระศิวะรูปยืน เอ ใครเคยยืนทำซึ้งในที่มืดตอนหิมะตกแรงๆบ้างล่ะ ปู่ไม่เคยน่ะ อยากรู้เหมือนกันว่ามันมืดหรือสว่าง หรือมันยังไง จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 23 ม.ค. 50 00:49:18 ]

ความคิดเห็นที่ 38 หลายคนอาจบอกแล้วมันจะคิดกันทำไม คือถ้าเราซตพข้อมูลเราก็จะสร้างภาพได้สมเหตุสมผลน่ะ ถึงแม้ว่ามันจะโม้ก็ตาม แต่ก็มีหลักการ ลองคิดดูสิครับ ถ้าภาพเป็นแบบนี้ ขุนเขารูปศิวลึงค์ค่อยๆ ถูกหิมะปกคลุม มันก็น่าจะเป็นเหมือนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แต่อาจมีหิมะที่ฐานมากหน่อย แสงจันทร์ค่อยๆ เลื่อนลงมาๆ หิมะตกพรำ อยู่ๆ ภาพพระศิวะปรากฏโผล่ขึ้น แสงทองเรืองอร่าม เสียงดังลั่นเปรี๊ยะ มันอึ้งๆยังไงชอบกล จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 23 ม.ค. 50 00:54:57 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ชีพก็เห็นภาพดังที่ปู่ซตพ.ข้อมูลนะคะซึ่งในความเป็นจริงเมื่อหิมะตกลงมาตามน้ำหนักและปริมาณที่เพิ่มขึ้นชีพว่าขุนเขาต้องแปรเปลี่ยนเป็นภาพพระศิวะแน่นอนค่ะ ซึ่งคงคล้ายเวลาไสน้ำแข็งไสค่ะ พอส่วนไหนละลายก็เว้าแหว่งไปบ้าง พอใส่จินตนาการก็เลยคล้ายพระศิวะ(จุดสำคัญอยู่ที่ปิ่นค่ะปู่) ถ้าไม่มีปิ่นศิวลึงค์คลุมด้วยหิมะอาจคล้ายไอติมก็ได้นะคะ(อยากกินไอติม...) **ไปกันใหญ่แล้วเรา... จากคุณ : ชีพชีวิน - [ 23 ม.ค. 50 01:12:16 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ปู่จะยังไม่เชื่อจนกว่าหลานจะไสน้ำแข็งแล้วถ่ายภาพมาให้ดูจ้ะ อย่าลืมใส่น้ำแดงกับนมข้นด้วยนะ จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 23 ม.ค. 50 01:36:39 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ถ้าเป็นเช่นนั้นหนึ่งคือ ต้องใช้เทคนิคในการไสมากทีเดียวนะหลาน สองคือ รพินทร์ก็น่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ น่าจะตะหงิดๆสงสัย มีความหวังอยู่บ้าง สาม ทำไมวันอื่นที่มีหิมะตกไม่เกิดปรากฏการณ์นี้ล่ะ ปู่ไปนอนล่ะ หลอกหลานๆให้คิดมาก สบายใจ จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 23 ม.ค. 50 01:39:16 ]

ความคิดเห็นที่ 42 **เรื่องเทคนิคการไส น่าจะมีแรงดึงดูด หรือสนามแม่เหล็กธรรมชาติค่ะปู่ **การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงในสภาวะนั้นอาจเป็นจุดบอดของสายตารพินทร์ก็ได้ค่ะ **วันอื่นๆ ที่มีหิมะตกนั้นต่างก็ไม่ใช่วัน 5 ค่ำ เดือน12 ซึ่งทั้งนี้ต้องเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง แรงดึงดูดของโลก และพระจันทร์(วันนี้คงต้องมีแรงดึงดูดเป็นพิเศษ/หรือเกิดสนามแม่เหล็กอย่างแรง) รวมถึงระยะเวลาที่ทำมุมแบบพอดิบพอดีด้วยค่ะ ***หลานก็มึนแล้วจ้าปู่...รอเพื่อน พ้อง พี่ ป้า น้า อา มาต่อ/ ราตรีสวัสดิ์จ้า จากคุณ : ชีพชีวิน - [ 23 ม.ค. 50 02:07:14 ]

ความคิดเห็นที่ 43 มาหาคำตอบตามคำถามปู่อุปฯ ขอรับ 1) เขาศิวะเทพรูปร่างคล้ายศิวลึงค์ทำให้หิมะเกาะเป็นรูปร่างพระศิวะทรงประทับนั่งได้อย่างไร --- มันไม่จำเป็นต้องก่อร่างเป็นรูปทรงของพระศิวะทุกกระเบียดนี่ขอรับ แค่มีโครงสร้างรอบนอกเพียงพอสำหรับ "ฉายภาพ"ลงไป ก็น่าจะเพียงพอ "ฉาก" ไม่จำเป็นต้องมีรูปทรงเดียวกับ"ภาพ"นะครับ 2) จอมพรานรพินทร์ก็น่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ขุนเขานั้น ไม่น่าที่จะต้องมาจับเจ่าทอดอาลัยว่าตูข้านำทางพาคณะมาพินาศ --- หากเป็นไปตามคำตอบข้อแรก รพินทร์ไม่มีทางสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงแน่นอน เพราะหิมะที่ตกลงมาปกคลุมก็จะเป็นเพียงปรากฎการณ์ธรรมชาติธรรมดาๆ 3) แสงสีทองเรืองอร่ามในเวลาต่อมาเกิดขึ้นได้อย่างไร --- หากมองแค่เทคโนโลยีในสมัยโบราณ การกำเนิดของเครื่องฉายภาพ ก็ไม่ถือว่าเร็วไปนัก การรวมแสงเข้าไว้ที่จุดเดียวกัน แล้วขยายแสงนั้นออกไปเป็นรูปร่าง ตามแม่แบบ ผมว่ามันไม่ยากอะไรนัก 4) เสียงดังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เกิดขึ้นได้อย่างไร --- หิมะที่ปกคลุมเทือกเขาปริมาณขนาดนั้น ย่อมส่งผลให้อุณหภูมิของเทือกเขานั้น ลดต่ำลงอย่างมาก หากมีพลังงาน(แสง)ส่องเข้าไป ย่อมทำให้อุณหภูมิตรงจุดนั้นเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ เพียงน้อยนิด ก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ "ลั่น"ของภูเขาลูกนั้นได้ไม่ยาก ถ้ามองไม่เห็นภาพ ลองนึกถึงก้อนหินสักก้อนที่เราเอาไปแช่เย็นไว้ให้เย็นจัด แล้วนำความร้อนไปใส่ทันที มันก็แทบจะแตกอยู่แล้ว นั่นแค่ก้อนหินก้อนเล็กๆ แต่ถ้าเปลี่ยนจากหินก้อนเล็กเป็นภูผาทั้งลูก แม้จะเกิดจากความต่างของอุณหภูมิเพียงน้อยนิด แค่เสียงภูเขา"ลั่น" มันเกิดขึ้นได้อยู่แล้วครับ 5) ความสว่างขนาดใช้เข็มทิศขีดเส้นเดินทางในแผนที่เกิดขึ้นได้อย่างไร --- หากมองว่าภูเขาเป็นฉากหลัง รองรับการฉายภาพ ก็ต้องมองในทางกลับกันด้วยว่า ฉากรับภาพที่ขาวขนาดนั้น ย่อมไม่มีการดูดกลืนแสงเลย ตามปรากฏการณ์ธรรมชาติพื้นๆ สีขาวเกิดจากการสะท้อนแสงออกไปในทุกความถี่คลื่น เมื่อภูเขาที่ใหญ่ขนาดนั้นต้องกลายสภาพเป็นฉากสะท้อนแสง มันก็ต้องสร้างความสว่างสไวไปทั่วบริเวณเป็นธรรมดาอยู่แล้ว อีกคำถามก็คือ ทำไมเหตุการณ์นี้ ต้องจำเพาะเจาะจงเกิดแค่วันนี้ วันเดียวในรอบปี --- คำตอบก็มีให้เห็นได้จากปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกเรานี่แหละครับ เราทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่า โลกเรามีการเคลื่อนที่ หมุนวนรอบดวงอาทิตย์ และรอบตัวเอง นอกจากนั้น ดวงจันทร์บริวารของโลกเราก็ยังหมุนรอบเราด้วย การหมุนวนเช่นนี้แหละที่สร้างความแตกต่างของแต่ละวันออกมาได้ หากเราจะสรุปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดจากน้ำมือมนุษย์  เครื่องฉายภาพโดยอาศัยแสงสะท้อนจากแสงจันทร์ก็ต้องเป็นไปได้ด้วย เมื่อมองจากมุมนี้ ถ้าผู้สร้าง ได้สร้างเครื่องฉายภาพไว้ใน หลืบของหุบเขา ที่มีรูเป็นเส้นตรงเส้นเดียว เอาไว้รับแสงจากดวงจันทร์ และจากมุมเฉพาะของรูนั้น จะบังคับให้แสงจันทร์จากวันที่กำหนดไว้ สามารถทะลุผ่านไปถึงเครื่องรับแสงได้แค่วันเดียวในรอบปี จากคุณ : ฟาน (108dog) - [ 23 ม.ค. 50 09:10:42 ]

ความคิดเห็นที่ 44 เกี่ยวกับเครื่องฉายภาพที่ผมว่าไปตาม คห.ข้างบนนั้น พอจะแบ่งออกมาได้สองแนวดังนี้ครับ 1. ถ้ามองว่าชาวมรกตนครมีวิทยาการที่ก้าวล้ำมาก เราก็ต้องไม่ลืมว่า แสงอาทิตย์นับเป็นแหล่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่อย่างนึง ที่ผู้มีอารยธรรมก้าวล้ำไม่สามารถมองข้ามได้ ถ้าดูจากวิทยาการในปัจจุบันที่เราใช้ "โซล่าร์เซลล์"เก็บกักพลังงานไว้ใช้ ชาวมรกตนครก็น่าจะทำได้ และสามารถตอบคำถามที่ว่า ทำไมเหตุการณ์นี้จึงเกิดแค่วันนี้วันเดียว ได้จาก "รู"ที่ได้อธิบายไว้แล้ว - เมื่อวันเฉพาะวันนั้นมาถึง แสงจากดวงอาทิตย์จะลอดผ่าน"รู"รับแสง ส่งพลังงานเข้าไปเก็บไว้ยังโซล่าเซลล์ - โซล่าเซลล์ที่ได้รับพลังงานไป จะทำให้เครื่องจักรบางชนิดทำงาน และเครื่องจักรที่ว่านี้จะต้องมีกลไกของเวลา(นาฬิกา)เข้ามาเกี่ยวด้วย - เมื่อเฟืองนาฬิกาที่ได้รับการปลุกให้ทำงานอีกครั้ง เดินมาถึงรอบที่ต้องไปกระตุ้นการทำงานของเครื่องฉายภาพ - เครื่องฉายภาพที่ว่า ก็จะนำพลังงานแสงอาทิตย์ที่เก็บไว้ในโซล่าร์เซลล์ออกมาทำงาน ฉายภาพตามแม่แบบออกมา แบบแรกนี้ผมขอเรียกว่า "เครื่องฉายภาพพลังงานแสงอาทิตย์" จะเห็นภาพกว่า 2. แบบที่สองนี้จะสามารถทำงานได้ ต้องทำงานโดยอาศัยเลนส์ในการรวมแสงจากพระจันทร์ที่ลอดผ่าน "รู"เข้ามา ส่งผ่านไปยังแม่แบบ แล้วสะท้อนออกทางปริซึม เป็นภาพ ทาบทับไปบนฉากที่กำหนดไว้ (เขาพระศิวะ) แบบที่สองนี่ผมมองว่ามันทำได้ง่าย แต่ผลที่ออกมาจะดีแค่ไหน ผมไม่ทราบ แต่คิดว่าพลังงานที่ได้น่าจะมากพอ จนตรงตามเงื่อนไขทั้งหลายที่วางไว้ได้ แบบที่สองนี้ผมขอเรียกว่า "เครื่องฉายภาพลังงานจันทร์"ละกัน จากคุณ : ฟาน (108dog) - [ 23 ม.ค. 50 09:25:22 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เอารูป"รู"ที่ว่ามาให้ดูครับ   . . ดวงอาทิตย์ขึ้นตรง ๑๕ ช่องประตู ปราสาทพนมรุ้ง, เมษายน ๒๕๓๗ จากคุณ : ฟาน (108dog) - [ 23 ม.ค. 50 18:45:15 ]

ความคิดเห็นที่ 46 หลังจากไปตั้งหลักอยู่พักนึง ก็กลับมาขอโต้แย้ง ในประเด็นที่ว่า การหักเหของแสง จะไปตกกระทบอะไร เครื่องฉาย จะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานแสงจันทร์ก็ไม่ว่า  แต่มันถูกฉายไปที่ไหนมากกว่า การที่ปู่อุปฯบอกว่าหิมะพรมหนักเมื่อแสงที่มาจากเครื่องฉายไปตกกระทบก็อาจทำให้เกิดภาพได้ เหมือนดังงานแสดงแสงสีที่ยิงแสงเลเซอร์ไปบนม่านน้ำพุแล้วเกิดเป็นภาพ แต่ ม่านน้ำพุถูกจัดตั้งให้อยู่ในทิศทางหนึ่งเครื่องฉายอยู่อีกทิศทางหนึ่ง  แสงจึงสามารถมากระทบกับน้ำทำให้เกิดภาพได้ ปู่อุปฯจึงนึกว่า แสงมากระทบหิมะได้เช่นกัน แต่อย่าลืมว่า หิมะตกทั่วพื้นที่ ไม่มีพื้นหลังหรือไม่มีฉากที่จะมารองรับแสงตกกระทบให้เกิดภาพ นอกจากกระทบกับผนังของภูเขารูปพระศิวะ จึงอยากจะสันนิษฐานว่า เครื่องฉายจะต้องอยู่อีกฝากนึงตรงข้ามกับเขารูปพระศิวะ คิดง่ายๆ เวลาเราดูหนังกลางแปลง เราหันหน้าไปทางจอหนัง เครื่องฉายหนังต้องอยู่ด้านหลังเรา ปล่อยแสง(ภาพ)ไปกระทบกับจอหนังจึงจะเกิดภาพ หากปู่อุปฯจะให้เกิดปรากฎการณ์ภาพบนม่านหิมะที่โปรยปรายลงมา คงจะเป็นไปไม่ได้ เปรียบประดุจเรายืนเอาหัวบังจอฉายหนัง หัวเราก็จะเต็มจอหนัง  แสงไม่สามารถผ่านทะลุหัวเราไปได้ เพราะม่านหิมะไม่มากพอจะเป็นฉาก หรือถ้ามากพอ แสงก็จะส่องไปไม่ถึงฉาก จึงขอเสนอว่าถ้าแสงตกกระทบจริงดั่งว่า แสงต้องถูกยิงมาจากเครื่องฉายซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเขาศิวะเทพ งงป่ะ จากคุณ : เป๋าตังค์เป๋าตุง - [ 23 ม.ค. 50 18:52:30 ]

ความคิดเห็นที่ 47 และอีกอย่างภาพมันก็ควรจะชัดเจนแจ่มแจ๋วไม่มีพร่ามัวดังบทบรรยายที่ว่า "มหึมาเผชิญหน้าคนทั้งสามอยู่ ณ บัดนี้ ประดุจภาพที่เกิดจากนิมิตฝัน หรือมิฉะนั้นก็ตาฝาดไปฉะนั้น ร่างหนึ่งสถิตอยู่เหนืออาสนะตระหง่านเงื้อมจรดขอบฟ้า หัตถ์เบื้องซ้ายวางอยู่กับพระเพลา หัตถ์เบื้องขวาทรงตรีอันเป็นเทพอาวุธ มีพญาภุชงค์พันพาดเป็นสายสังวาล บนมุ่นเกล้ายอดมาลี คือจันทร์เสี้ยวที่ประดับอยู่เป็นปิ่น ส่งประกายรังสีอร่ามเรืองสว่างไสวไปทั่วปริมณฑล จนสามารถแลเห็นพระพักตร์อันสง่างามและโอษฐ์ซึ่งเผยอแย้มน้อย ๆ อย่างปรานีลงมายังสามมนุษย์ที่กำลังจ้องตะลึงลานอยู่ในขณะนี้"(แงซายจอมจักรา 1) อ่อ...มีรูปประกอบทิศทางของการฉายภาพ ขอยืมรูปจาก MCGYมาตกแต่งค่ะ จากคุณ : เป๋าตังค์เป๋าตุง - [ 23 ม.ค. 50 19:15:06 ]

ความคิดเห็นที่ 48 และจากประโยคนี้ก็ทำให้ขัดแย้ง(จากผู้เขียน)ไม่ได้เลยว่า "คำพูดของแงซายทำให้เขาต้องเขม้นมองไปยังภูเขาหิมะอันเป็นรูปเต้าถันคู่นั้นอีกครั้งอย่างใคร่ครวญหนัก มันอาจเป็นไปได้ตามที่แงซายตั้งข้อคิดไว้เหมือนกัน เพราะ  ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  ย่อมไม่คงอยู่นานเกินไปนัก บัดนี้ถ้าจะเหลียวมองสังเกตไปยังทิศทางด้านอื่นๆ ความสว่างสะพร่างพราวที่เห็นอยู่เริ่มจะจางมืดสลัวลงหมดแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบื้องหลัง อันเป็นที่ตั่งของเขาศิวะเทพเกือบจะเรียกได้ว่าดำสนิทขุ่นมัวไปหมด ไม่เหลือร่องรองใดๆ ให้เห็นเลยว่าเมื่อประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมงที่แล้วมานี่เอง มันสว่างไสวราวกับใครไปส่องไฟไว้ แม้ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ‘ถันพระอุมา’ เองก็เริ่มจะหรี่โรยแสงลงทุกที ไม่เจิดจ้าเหมือนแต่แรกเห็น" มันเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติจริงๆ(ตามหนังสือ)เลย จากคุณ : เป๋าตังค์เป๋าตุง - [ 23 ม.ค. 50 19:21:24 ]

ความคิดเห็นที่ 49 อาจมองไม่เห็น!!! พี่เป๋าแสดงความเห็นทำให้ปู่เกือบจน... แต่เดี๋ยวก่อน เห็นทีจะต้องร่ายยาวเหตุการณ์นี้กันซะแล้ว ซึ่งขอเวลาปู่ไปดูตีสิบก่อนแล้วกัน ตกลงข้อสังเกตของหลาน pakem เรื่องความมืด-สว่างของสถานที่ กลับไปอ่านซ้ำมีคำตอบแล้วครับ คุณฟานสรุปได้กิ๊บเก๋ครับ จริงๆยังมีข้อแย้งหลายข้ออยู่ แต่ขอข้อเดียวก่อนครับ แล้วดูเหมือนผมว่าเราน่าจะพลิกคำถามใหม่ซักเล็กน้อย คือหลังจากที่ปู่กินน้ำแข็งไสเกล็ดหิมะใส่ขนมปังราดน้ำแดงนมข้นแล้ว ก็สนใจข้อที่ว่าหิมะตกเขาศิวลึงค์เป็นรูปพระศิวะมาก เพราะถึงแม้ว่าจะให้เป็นแค่รูปร่าง แต่ที่เป็นจุดสลบมากคือมือขวาที่ยกถือตรี (หัตถ์เบื้องขวาทรงตรีอันเป็นเทพอาวุธ) นี่แหละครับ เพราะมันแทบจะเศรษฐามากที่หิมะตกคลุมเขาชะลูดแล้วจะเป็นรูปนั้นได้ เว้นแต่ลึงค์นั้นจะ non save activity มาก่อนน่ะครับ ซึ่งคาดว่าโอจิจะมีประสบการณ์รู้เรื่องนี้ดี และไม่แปลกใจเลยที่หลานชีพจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องแบบนี้ (อนุญาตให้ฮาอุนจิแตกอุนจิแตน) แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 50 22:10:36 จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 23 ม.ค. 50 22:01:16 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ตอบด้วยภาพแบบที่หนึ่งครับ จากคุณ : ฟาน (108dog) - [ 24 ม.ค. 50 09:25:55 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ตอบด้วยภาพครั้งที่สองครับ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ฟาน (108dog) - [ 24 ม.ค. 50 09:26:39 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ตอบด้วยภาพครั้งที่สามครับ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ฟาน (108dog) - [ 24 ม.ค. 50 09:27:13 ]

ความคิดเห็นที่ 53 อ้าว ตกลงคุณฟาน เห็นควรว่าเป็นฝีมือมนุษย์สร้างขึ้นหรือครับ ดีๆ ได้พวก อิๆ ผมกะว่าเราน่าจะมาเริ่มตั้งคำถามกันใหม่เลยน่ะครับ ตั้งแต่เขาศิวะเทพควรมีหน้าตาอย่างไร ขอเวลาแป็บครับ ว่าแต่เจ้าของกระทู้หายไปไหน ไปหาหมอรึเปล่าล่ะนี่ จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 24 ม.ค. 50 13:15:11 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ผมเห็นว่าเป็นฝีมือมนุษย์สร้างร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ธรรมชาติที่ไหนจะสร้างรูปพระศิวะได้สมบูรณ์ขนาดนั้นได้ มนุษย์เรานี่แหละที่สร้างขึ้น โดยอาศัยธรรมชาติเข้ามาช่วย ว่าง่ายก็ใช้ธรรมชาติเป็นเครื่องมือทำให้เกิดปาฏิหารย์นั่นกระมัง จากคุณ : ฟาน (108dog) - [ 24 ม.ค. 50 13:39:05 ]

ความคิดเห็นที่ 55 หมอไม่รับเย็บครับปู่อุปฯ   แฮะๆ...เปล่าหรอกครับ  พอดีงานยุ่งมาก   ไม่มีเวลาเข้าดูเลย...แต่ก็คิดเรื่องนี้อยู่ตลอด...แต่ก็จนด้วยเกล้า รู้สึกว่ากระแสคนรักธรรมชาติจะเยอะแฮะ   ตอนนี้ขอรับฟังไปเรื่อยๆก่อนละกันครับ   ยิ่งคิดยิ่งปวดเฮดแฮะ... ขออนุญาตไปทำงานต่อดีกว่า  กองเต็มโต๊ะเลย... อ้อ!  ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแบบนั้นหรอกปู่อุปฯ  ถ้าเทียบกับปู่อุปแล้ว  ผมประมาณรุ่นประถม เทียบกับปู่อุปฯแล้วระดับปรามาจารย์  ผมไม่ขอเปรียบมวยด้วยหรอก... คุณชีพฯอย่าเข้าใจผมผิดนะ...ผมถูกใส่ความ แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 50 17:29:08 จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 24 ม.ค. 50 17:01:42 ]

ความคิดเห็นที่ 56 อ้าว...เงียบกันไปหมดเลย ไปไหนกันหมดล่ะนี้ วู้วววว จากคุณ : pakem - [ 29 ม.ค. 50 21:00:05 ]

ความคิดเห็นที่ 57 สงสัยจะหมดมุก...ซะแล๊ววว.......... จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 29 ม.ค. 50 22:17:32 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอออกความคิดเห็นนิดนึงนะครับผม 1.ถ้าเราจะให้เป็นปรากฏกาณ์ทางธรรมชาติ หรือฝีมือมนูษย์ เราจะอธิบายคุณนลักษณะพิเศษของมรกตรนครอย่างไร ที่ว่า  เวลาจะหยุดเดินเมื่อมาถึงที่นี่,ทุกคนสามารถพูดภาษาเดียวกันได้,เทคโนโลยีสมัยใหม่ จะไม่ทำงานที่นี่ได้ 2.ในหนังสือไม่ได้มีใครเป็นคนคิดคำตอบอย่างชัดเจนว่าเป็นเพราะอะไร ฉะนั้นถ้าจะให้เป็นฝีมือมนุษย์ก็ต้องเติมฉากเฉลยนี้ลงไปหรือปล่าว จากคุณ : gogo777 (gogo777) - [ 3 ก.พ. 50 11:15:59 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ฉะนั้นถ้าเป็นปรากฏการณ์ทางด้านปาฏิหาริย์ก็จะสามารถอธิบายข้อสงสัยผมได้หมด แต่ผมก็อยากจะให้เป็นฝีมือมนุษย์มากกว่านะครับผม จากคุณ : gogo777 - [ 3 ก.พ. 50 11:19:16 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ขอคิดทฤษฎีนึงเพื่อนำมาสนับสนุนว่าเป็นฝีมือมนุษย์นะครับผม มันเป็นแร่ชนิดนึงมาจากนอกโลกครับผม ตกลงมาอยู่ในอุกาบาตลูกใดลูกนึงใน 3 หลุม หรือ อาจจะมีหลุมที่4 ที่ตกอยู่ในมรกตนคร แร่ชนิดนี้มีลักษณะคล้ายๆ กับเพชรครับผม มีแหล่งกำเนิดพลังงานแสงสว่างในตัวเอง และมีพลังสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ด้วย มีวิศวกรของมรกตนครคนนึงตัดแบ่งแร่ชนิดนี้มา ประมาณ ก้อนกำปั้นนึงมาสลักเป็นรูปพระศิวะ นำไปตั้งไว้ในส่วนใดส่วนนึงของเขาพระศิวะ และเนื่องจากว่าแร่นี้มีปริมาณเพียงเล็กน้อยทำให้ปล่อยแสงสว่างไม่ได้ตลอดจึงจะต้องชาตร์กันทีนึง เวลาชาตร์ก็ประมาณ 1 ปี (บั้งไฟพญานาคเลยนะเนี่ย) และพอได้เวลาทีก็จะแปล่งแสงออกมาครั้งนึง ซึ่งประกอบกับการแกะสลักเป็นรูปพระศิวะ จะทำให้แสงที่ออกมาเป็นรูปของพระศิวะและได้แสงจาก จันทร์เต็มดวงช่วยเสริมอีก โดยที่อาจจะวางแร่แกะสลักไว้ได้มุมกับแสงจันทร์ที่ส่องมาได้เต็มที่ และแร่ส่วนใหญ่ที่เหลือที่ตกอยู่ในมรกตนรครก็ปล่อยพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เตคีออน (อันนี้เคยอ่านในนิยายวิทยาศาตร์ครับว่าสสารนี้ทำให้เวลาหยุดหมุนได้) ทำให้เวลาของแถวไกล้บริเวณมรกตนครหยุดหมุนเมื่อเทียบกับเวลาโลกปัจจุบัน และยังส่งผลให้เครื่องประดิษฐ์ต่างๆ ที่มีส่วนประกอบของไฟฟ้าหรืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ไม่สามารถทำงานได้ ณ ที่แห่งนี้อีกด้วย ข้อดี - ทฤษฎีนี้จะสามารถอธิบายถึงคุณสมบัติพิเศษของมรกตนครได้ 2 ข้อ เพราะผมคิดว่า ทางเข้ามรกตนครกับลักษณะพิเศษของมรกตนครจะต้องมีความเกี่ยวข้องกัน ไม่อย่างงั้นคุณดูคง งง กันตายเลย ที่ทางเข้าเป็นฝีมือมนุษย์ แต่ ลักษณะพิเศษนี่มันเป็นปาฏิหาริย์ -ผมว่าทฤษฎีง่ายที่สุดแล้วถ้าจะให้เห็นผลดูอย่างหนังหลายๆ เรื่องที่โยนไปให้เป็นของนอกอวกาศเนื่องเพราะว่ามันเป็นของนอกโลกก็สามารถใส่ลักษณะพิเศษได้ตามใจชอบ ข้อเสีย -ทฤษฎีนี้ยังไม่ได้อธิบายว่าทำไมทุกคนถึงพูดภาษาเดียวกันได้ -ทฤษฎีบอกแค่ว่าแสงพระศิวะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ก็ไม่ได้อธิบายว่าทางเข้าที่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นมาอย่างไร จากคุณ : gogo777 (gogo777) - [ 3 ก.พ. 50 13:18:41 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ตอบคห.58 นะครับ 1.เราจะอธิบายคุณนลักษณะพิเศษของมรกตรนครอย่างไร ที่ว่า  เวลาจะหยุดเดินเมื่อมาถึงที่นี่,ทุกคนสามารถพูดภาษาเดียวกันได้,เทคโนโลยี สมัยใหม่ จะไม่ทำงานที่นี่ได้ ตอบ : ถ้าเรื่องเวลาหยุดเดิน ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอะไรมากหรอกครับ ปรากฏการณ์สนามแม่เหล็กแปลกบนโลกมีเยอะแยะมากมาย กะอีแค่นาฬิกาหยุดเดินนี่ เค้ามีกันกลาดเกลื่อนไปครับ หรือจะไปเล่นเกี่ยวกับเรื่องการบิดเบี้ยวของมิติก็ไม่มีปัญหาครับ เมื่ื่อได้พลังงานมหาศาลมาสักก้อนนึง นำมันมาอัดใส่มิติที่เราอยู่เนี่ย เชื่อว่า น่าจะบิดมิติให้ทับซ้อนกับมิติอื่นได้ เมื่อเราไม่ได้อยู่ในมิตินี้ โดยทฏษฏีสัมพันธภาพของไอสไตน์ เราจะมีความเร็วที่สูงกว่าแสง ในความเร็วเท่าเดิมครับ ทำให้เวลาที่เคลื่อนผ่านไปนอกมิตินั้น ช้าลงมาก จะมากแค่ไหนก็ต้องขึ้นกับความเร็วที่ว่าไปนั่นแหละครับ แต่ให้ถึงกับหยุดเวลาจริงๆเลยเนี่ย ไม่น่าเป็นไปได้ เรื่องของการพูดภาษาเดียวกันได้นี่ อธิบายมาตั้งแต่ตอนที่เจอท่านโกทัณญะแล้วนี่ครับ การสื่อสารโดยใช้จิตไงครับ ถ้าเนื้อเรื่องจะต้องดำเนินไปโดยมีท่านอรหันต์องค์นี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ปาฏิหารย์ในเรื่องก็จะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยแม้แต่นิดครับ ในเรื่องของเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ไม่สามารถใช้งานได้นั้น ผมยกตัวอย่างง่าย เ่ช่นในป่าตีนเขาฟูจิในประเทศญี่ปุ่น เป็นเขตที่ไม่สามารถใช้อุปกรณ์ สมัยใหม่อย่างที่คุณว่าได้ครับ เห็นได้ชัดๆก็เข็มทิศนี่แหละที่รวนมากๆ 2.ในหนังสือไม่ได้มีใครเป็นคนคิดคำตอบอย่างชัดเจนว่าเป็นเพราะอะไร ฉะนั้นถ้าจะให้เป็นฝีมือมนุษย์ก็ต้องเติมฉากเฉลยนี้ลงไปหรือปล่าว ตอบ : ไม่จำเป็นนี่ครับ เราอาจจะเตรียมคำตอบเหล่านี้ไว้ เพื่อ"ดักเกรียน"ตามความหมายของท่านชายคนหนึ่งที่ว่าไว้ก็ได้นี่ครับ จากคุณ : ฟาน (108dog) - [ 5 ก.พ. 50 10:45:02 ]

ความคิดเห็นที่ 62 สำหรับ เทื่อกเขา พระศิวะ ผม ว่า เป็น ธรรมชาติกึ่งมนุตย์ คื่อ เบบ ที่เขาพนมรู้ง ที่สโตนเฮด และ ที่ เขา มาขูมาขู ของ อินคา มีเหตุการ เบบเดียว กัน ก็ คื่อ ดวงอาทิตย์ ล่องเป็น แสง เป็น ตรง ในเวลาเดียว ของปี แต่ แตกต่างที่วันที่เท่านั้น การทะท้อนแสง เกิดจากหิมะ มันคือน้ำแข็ง นะ การทะท้อนแสง มี อยู่ แล้ว และ ถ้า ยิงแสงจั้นตรงเวลา นั้น อาจเป็นเหมือนกับ รุ้ง ไง และ เป็น สี ทอง นั้น อาจจะ เกิด จากแสง จั้นทร์ สี เหลือง นะ เมื่อ มารวมตัวกันนะ เลย สีเหลทอ และ มี การ ทะท้อนจาก หิมะ เลย สี เหมือน สี ทอง นะ แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 50 17:24:55 จากคุณ : thanapatpp - [ 5 ก.พ. 50 17:15:42 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ คุณฟาน แต่ผมมาคิดอีกที เรื่องพูดภาษาเดียวกันนี่คงไม่เป็นไร เพราะท่านมุ้ยบอกแล้วว่าจะให้พูดไทยทั้งเรื่อง ก็น่าจะตัดเรื่องภาษานี้ออกไปได้ ไม่งั้นเดี๋ยวมีคนหาว่าท่านโกทัณญะลำเอียง ทีวายาเปิดเครือข่ายแปบเดียว แต่มรกตนคร เปิดเครือข่ายภาวรเลย อิอิ จากคุณ : gogo777 (gogo777) - [ 5 ก.พ. 50 19:47:48 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ไม่เป็นไร มิได้ขอรับ จากคุณ : ฟาน (108dog) - [ 6 ก.พ. 50 09:23:12 ]