ความคิดเห็นที่ 1 คิดเหมือนกันเลยครับ แต่ไม่กล้าพูด ผมไปดู sf ที่เดอะมอลบางกะปิ มัวๆๆ มืดๆๆ มากๆๆ ไม่น่าเป็นที่ฟิมฟ์นะ คิดว่าเป็นที่โรง (เพราะถ้าเจอกันเยอะๆ คงมีคนบ่นกันไปแล้ว) ไม่นึกว่า ก็มีคนเจอแบบผม แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 50 12:14:47 จากคุณ : Zorro - [ 13 ก.พ. 50 12:10:11 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมว่าหนังทุกเรื่องก็ไม่ชัดเหมือนกับดูดีวีดีที่บ้านหรอกครับ แม้กระทั่งระบบเสียง   คือมันดีกว่าตรงที่บรรยากาศและความใหญ่และใหม่แค่นั้นแหล่ะครับ ที่พาผมเข้าไปดูในโรง (แต่ถ้าฉายแบบดิจิตอลก็จะดีกว่าพอสมควร) จากคุณ : ดินสอสีน้ำเงิน (ดินสอสีน้ำเงิน) - [ 13 ก.พ. 50 12:30:43 ]

ความคิดเห็นที่ 3 น่าจะเป็นที่ฟิล์มของหนังมากกว่า แต่พอมาเป็นแบบ ดีวีดี ใสปิ๊ง เพราะความละเอียดต่างกันมั้งครับ จากคุณ : ชิวชิว (Chinmi) - [ 13 ก.พ. 50 13:53:40 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เป็นเพราะการฉายในโรงหรือเปล่า? ไม่รู้นะ ผมไปดูมาก็โอเคนะ ภาพคมชัดใสแจ๋ว จากคุณ : กลับมาแล้วคนดี - [ 13 ก.พ. 50 14:09:07 ]

ความคิดเห็นที่ 5 (เข้าใจว่า)เกิดจากการเร่งรัดในขั้นตอนการทำ post production / ตัดต่อน่ะครับ เลยไม่มีเวลาทำ color timing ให้สีดีๆเสมอๆกันตลอด สีเลยดูกระโดดๆ ส่วนเรื่องความคมชัด อาจเกิดจากการแก้ไขงานกันนาทีสุดท้าย ตัดที่เนกาทีฟไม่ทันแล้ว เลยต้องใช้วิธี print ใหม่เฉพาะช่วงที่ต้องการแก้ไขแล้วเอามาปะกับของเดิม ก็เลยคุณภาพกระโดดไปกระโดดมาน่ะครับ จากคุณ : ลูกจ้างดีเด่น - [ 13 ก.พ. 50 14:37:22 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ฟิลม์หนังถูกฉายบ่อย การโฟกัสหนังของแต่ล่ะโรง คุณภาพของเครื่งฉาย ลักษณะและคุณสมบัติของการฉายแบบภาพยนตร์ ฯลฯ จากคุณ : นายชาย..ครับ - [ 13 ก.พ. 50 15:00:10 ]

ความคิดเห็นที่ 7 Post production ของตำนาน ขั้นตอนไม่เหมือนหนังเรื่องก่อนๆ ของผม คือจาก Negative จะถูกมาสะแกนเป็นดิจิตอล แล้วถึงนำมาแต่งสีด้วยเครื่องดาวินชี่ หลังจากนั้นก็ต้องฟีมล์เอ้าท คือจากดิจิคอลมาสแกนลงมาเป็นเนกกาตีฟอีกครั้ง (ซึ่งใช้เวลานานมาก ราวๆ หนึ่งชั่วโมงต่อหนังหนึ่งนาที หรือม้วนหนึ่งต้องใช้เวลา 30 ชั่วโมงโดยประมาณ นี่เองที่ทำให้หนังสาย (คุณแมวปากมันทำอยู่ที่เอาฟีมล์เอาท์นี่แหละครับ ทันหรือไม่ทันแมวตัวนี้มีส่วน) ส่วนเรื่องที่ภาพบางโรงมัวหรือเสียงบางโรงอู้อี้ ก็ต้องดูว่ามันมัวทุกโรงหรือเปล่า อู้อี้ทุกโรงหรือเปล่า ถ้าเหมือนกันทุกโรงก็มีปัญหาเรื่องกอปปี้หนัง ถ้าเป็นบางโรงหรือบางเครือก็เป็นที่โรงครับ บางทีโรงหนึ่งชัดอีกโรงไม่ชัด ก็น่าจะเป็นที่เครื่องฉาย หรือคนฉายตั้งโฟกัสไม่ดีก็เป็นได้นะครับ จากคุณ : Cinephile - [ 13 ก.พ. 50 15:25:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอถามท่านต่อครับ ไม่ทราบว่า พอหนังลงแผ่นจะมีเวอร์ชั่นสมบูรณ์อะไรไหมครับ อันนี้ผมรู้สึก ตอนดูภาค 1 บางฉากเหมือนจะมีต่อ แต่ก็ตัดไปก่อน และมี ost ขายไหมครับ ทั้งสุริโยทัยและพระนเรศวร จากคุณ : รอดูอย่างจดจ่อ - [ 13 ก.พ. 50 15:44:18 A:125.25.71.53 X: TicketID:103857 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ออ อีกกระทู้นึง มีหลายๆคนรอสูตรอาหารของท่านอยุ่นะครับ 555 จากคุณ : คหท.8 - [ 13 ก.พ. 50 15:45:48 A:125.25.71.53 X: TicketID:103857 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มากราบท่านครับ แล้วก็เรียนท่านสมาชิกอื่นๆ ด้วยว่าข้อเท็จจริงเรื่องชัดไม่ชัดคงคุยกันได้ยาวอยู่ครับ แต่ไม่เกี่ยวกับการแก้ไขงานกันในนาทีสุดท้ายครับ ก็อย่างที่ท่านว่า เรื่องนี้ใช้เทคนิคใหม่ที่เรียกว่า Digital Intermediate ครับ ทุกวันนี้หนังฮอลลีวูดใช้วิธีนี้หมด เหลือแบบตัดจากเนกาทิฟตรงๆ น้อยมากแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 50 16:03:57 จากคุณ : แมว (แมวปากมัน) - [ 13 ก.พ. 50 16:02:48 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ท่านชายมาตอบเองเลยเหรอครับนี้ ^^" รอติดตามผลงานท่านอยู่นะครับ จากคุณ : นายชาย..ครับ - [ 13 ก.พ. 50 16:23:55 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมก็ว่าเป็นที่โรงนั้นล่ะ เจอที่ sf เดอะมอลบางกะปิครับ คราวหน้าไม่ไปโรงนี้แล้ว ขอบคุณท่านที่แวะมาตอบครับ จากคุณ : Zorro - [ 13 ก.พ. 50 16:39:13 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอกราบเรียนท่านครับ โรงที่ผมดูคือเมเจอร์รัชโยธิน มีปัญหาไม่ชัดเหมือนกัน ช่วงแรกก็ชัดครับ ช่วงกลางเรื่องเหมือนภาพจะเบลอเบลอ แล้วกลับมาชัดอีกตอนท้ายครับ จากคุณ : เ ม ฆ ค รึ่ ง ฟ้ า - [ 13 ก.พ. 50 18:33:58 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เรียนท่านสมาชิก "พันทิป" ห้อง "เฉลิมไทย" ทุกท่านครับ วันนี้ได้มีโอกาสคุยกับท่านอีกครั้งท่านเลยบอกให้มาอธิบายที่ท่านเจ้าของกระทู้ถามว่า "ทำไมภาพในหนังตำนานพระนเรศวรที่ฉายในโรงถึงไม่ชัดเหมือนในโทรทัศน์ล่ะ" ขออธิบายในรายละเอียดทางเทคนิคที่ผมพอจะทราบตามนี้ครับ 1.ฟิล์มมีความสามารถในการจำแนกรายละเอียด (Resolution) มากกว่าโทรทัศน์ในระบบ PAL ที่เป็นระบบที่ใช้ในบ้านเราอยู่มากครับ การที่เรามองเห็นว่าโทรทัศน์ชัดกว่านั้นเป็นเพราะเราดูจากระยะไกล ถ้าเราเข้าไปมองใกล้ๆ เพื่อให้ภาพที่เรามองเห็นในโรงภาพยนตร์และโทรทัศน์มีขนาดเท่ากัน ภาพบนจอโทรทัศน์จะมีรายยละเอียดน้อยกว่าภาพที่ปรากฏบนจอภาพยนตร์มากมายครับ ถ้าเรานำภาพต้นฉบับที่มีรายละเอียดเท่ากับโทรทัศน์ไปฉายบนจอภาพยนตร์ ภาพที่ได้จะมีรายละเอียดน้อยลงกว่าการนำฟิล์มต้นฉบับมาพิมพ์อย่างเห็นได้ชัด ให้ท่านสังเกตได้จาก ภาพยนตร์โฆษณา ที่ฉายพร้อมกับตัวอย่างหนัง ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ภาพจากเทปโทรทัศน์ในระบบ PAL ตัวเดียวกันกับที่ออนแอร์ทางโทรทัศน์*** จะไม่ชัดอย่างเห็นได้ชัด ( ตกลงชัดไม๊ อิ..อิ..) เพิ่มเติม รายละเอียดในแนวนอนและแนวตั้งของสื่อที่ใช้ในการบันทึกภาพแบบต่างๆ Film ประมาณ 6,000 เส้น ถึง 8,000 เส้น ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิล์ม HDTV ระบุไว้เป็นมาตรฐานเท่ากับ 1920x1080 SDTV (PAL) ระบุไว้เป็นมาตรฐานเท่ากับ 720x576 ***หมายเหตุ ภาพยนตร์โฆษณาบางตัวเริ่มหันมาทำในระบบ HD เพื่อให้ภาพที่ได้มีรายละเอียดใกล้เคียงฟิล์มมากขึ้น แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 50 18:54:44 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 13 ก.พ. 50 18:52:32 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณที่มาชี้แจงครับ จากคุณ : busted - [ 13 ก.พ. 50 19:38:28 ]

ความคิดเห็นที่ 16 2.ประเด็นต่อไปคือ เพราะเหตุใดบางท่านแม้จะดูบนจอภาพยนตร์ก็ยังรู้สึกว่าไม่ชัด หัวข้อนี้ถ้าจะอธิบายกันคงต้องย้อนไปถึงความรู้ทั่วไปของกระบวนการผลิตภาพยนตร์ดังนี้ครับ -เอาที่ตัวฟิล์มก่อนนะครับ ฟิล์มที่ใช้สำหรับถ่ายภาพยนตร์ทุกวันนี้มีความสามารถในการแยกรายละเอียดหรือ Resolution ได้ตั้งแต่ 6K ถึง 8K ซึ่งไปจะขอเรียกว่า "ความชัด" เพื่อความสะดวก 6K หรือ 8K ที่ว่าคือ 6000 เส้นถึง 8000 เส้น ซึ่งคุณสมบัติตรงนี้หละครับที่จะมีผลโดยตรงต่อความชัด เพราะเหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น? บางท่านอาจจะบอกว่า 2K ไม่ใช่หรือ? ภาพที่เราเห็นบนจอภาพยนตร์นั้นมันเดินทางมาไกลครับ ในระบบดั้งเดิมที่ยังไม่มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ทำเทคนิคสี กว่าจะเป็นภาพสีบนฟิล์มสำหรับฉาย ภาพที่ถูกบันทึกลงฟิล์มเดินทางผ่านลำดับขั้นตอนของการทำซ้ำ 3 ครั้ง จากฟิล์ม 4 ชนิด ดังนี้ครับ Original Negative => Interpositive => Internegative => Release Print -Original Negative ฟิล์มสำหรับถ่ายมีความชัดอยู่ในระดับ  6K ถึง 8K ความไวแสงสูงเพื่อให้สามารถถ่ายได้ในสปิดปรกติเท่ากับ 24 ภาพต่อวินาที -Interpositive ใช้ในการทำซ้ำครั้งแรก เป็นมาสเตอร์ต้นฉบับของหนังที่ตัดต่อเรียบร้อยแล้ว ความไวแสงต่ำมากจึงมีความละเอียดมากกว่า Original Negative และแพงกว่ามากๆ ด้วย เพราะถ้าน้อยกว่า คุณภาพของต้นฉบับที่เสียไปเพราะการทำซ้ำอยู่แล้วต้องมาเสียไปอีกทอดหนึ่งเพราะตัวฟิล์ม Interpositive ภาพบนฟิล์มในขั้นตอนนี้จะเป็นภาพ positive ฟิล์มชุดนี้อาจจะมีชุดเดียวหรือหลายชุด ตามกำลังทรัพย์ -Internegative ใช้ในการทำซ้ำครั้งที่สอง เพื่อกลับจาก Positive เป็นภาพ Negative อีกครั้ง เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการ Release ต่อไป ฟิล์มชุดนี้ ถ้าหนังต้องฉายทั่วโลกจะต้องทำหลายชุดเพื่อส่งเป็นต้นฉบับไปพิมพ์ในประเทศต่างๆ การทำซ้ำในขั้นตอนนี้ก็จะทำให้ความชัดของภาพลดลงไปอีกส่วนหนึ่ง -Release Print คือฟิล์มที่ได้จากการทำซ้ำครั้งที่สามเพื่อกลับภาพเป็นภาพสี แล้วส่งไปฉายตามโรงภาพยนตร์ การทำซ้ำในขั้นตอนนี้ก็ทำให้ความคมชัดลดลงไปอีกส่วนหนึ่ง เมื่อรวมปัจจัยทุกอย่างที่มีผลต่อความชัดเข้าไป เช่นเลนส์ที่ใช้ถ่าย เลนส์ที่ใช้ฉาย สุดท้ายแล้วภาพที่ฉายบนจอภาพยนตร์จะเหลืออยู่ราวๆ 2K ถึง 4K *** ***ขึ้นอยู่กับระบบภาพที่ใช้ในการถ่ายทำด้วยว่าเป็น Academy 1.85 หรือ Cinemascope 2.35*** การที่จะได้ 2K หรือ 4K นี้ผู้ที่มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่จะทำให้มันเป็นไปตามนั้นคือ "คนฉาย" ถ้าคนฉายละเลยการโฟกัส สิ่งที่ทุกคนเหนื่อยทำมาเป็นแรมปี มีค่าเหลือ "0" แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 50 22:30:20 แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 50 22:29:12 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 13 ก.พ. 50 19:39:29 ]

ความคิดเห็นที่ 17 3.คุณภาพของโรงฉาย "โรงฉาย" ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะกำหนดความชัดและความสว่างของภาพ ที่จะทำให้เรารู้สึกว่าหนังนั้นๆ ชัดและสวยใสมากน้อยเพียงใด ขนาดของจอภาพ กำลังสว่างของหลอดไฟ ความคมชัด+คอนทราสต์ของเลนส์ การติดตั้งเครื่องฉาย ล้วนแล้วแต่มีผลต่อความคมชัดทั้งสิ้น ผมเคยดูโรงที่เซทอัพไม่ดี ด้านซ้านชัด ด้านขวาไม่ชัด โฟกัสยังไงก็ไม่ชัดเพราะมันไม่สามารถโฟกัสได้ชัดทั้งภาพพร้อมกันได้ ดูมา 2 เรื่องก็เป็บแบบนี้ก็เลยเลิกดูโรงนี้ไป โดยส่วนตัวของผม มี Black List ของโรงที่จะไม่มีวันเดินเข้าไปดูเด็ดขาดอยู่มากมาย "โรง" ในที่นี้ มิใช่ว่าเป็นของเจ้าของเดียวกันแล้วจะแย่ไปซะหมด แต่จะพิจารณาเป็นโรงๆ ไป ที่เดียวกัน โรง 4 อาจจะ แย่ แต่โรง 5 อาจจะดีก็ได้ โรงอาศัยความได้เปรียบของทำเล ความหลากหลายของร้านค้าภายใน เข้าชิงคนดู ตกแต่งโรงให้สวยดึงดูดสายตา คุณภาพของภาพและเสียงเป็นเรื่องรองๆ ลงไป แค่ให้มันมีภาพออกมาเป็นใช้ได้ บางครั้งฉายหนังสโคป เฟรมไม่ตรงก็ปล่อยให้ท้องฟ้าแลบมาอยู่ล่างจอไว้งั้น -*- ป้ายทางออก ไฟสีแดง สาดไปโดนจอ  ไฟทางเดิน ไฟประดับแรงจนจอสว่างโร่ สีดำกลายเป็นสีเทา ภาพสีสดใสกลายเป็นสีซีด เหมือนฉายหนังกลางแดด แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 50 02:31:03 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 50 02:09:03 แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 50 21:56:49 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 13 ก.พ. 50 21:36:37 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณมากครับความรู้แน่นปึก จากคุณ : ninjathai - [ 13 ก.พ. 50 22:47:50 ]

ความคิดเห็นที่ 19 4.เทคนิคที่เลือกใช้ในการทำ Postproduction ก็มีผลต่อความคมชัดของภาพ กระบวนการแบบตั้งเดิมในข้อ 2. ที่เรียกกันง่ายๆ ว่า "ตัดเนก" จะไม่มีการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ปัจจุบันได้มีระบบที่เรียกว่า Digital Intermediate เกิดขึ้นมาเพื่อใช้คอมพิวเตอร์ในการแต่งสี ทดแทนวีธีการแต่งสีที่แลป วิธีการก็คือ scan ภาพจาก Original Negative ทีละภาพด้วยสแกนเนอร์เป็นไฟล์ Cineon คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วต้องสแกนที่ความละเอียดเท่าไหร่? ถ้าต้องการ scan ขึ้นมา แล้ว record กลับลงไป เอากล้องจุลทรรศน์มาส่องดูแล้วเท่ากับความชัดของ Original Negative ก็ต้อง scan ที่ 6K ขึ้นไป ปัจจุบันมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะทำหนังที่ความละเอียดนี้ - -" แต่ถ้าต้องการ scan ขึ้นมา แล้ว record กลับลงไป โดยไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้ด้วยตาเปล่า ต้อง scan อย่างน้อยที่ 4K (กระนั้นก็ยังมีคนตาเทพแยกออก - -") อย่างไรก็ตาม ความละเอียดระดับ 4K นี้ยังไม่สามารถนำมาใช้ในการทำงานจริงได้ เพราะไฟล์ของภาพเพียงเฟรมเดียวจะมีขนาดเท่ากับ 49 MBytes !!! นอกจากจะใช้เวลาในการสแกนนานแล้ว ยังก๊อปปี้ผ่านเนทเวิร์คนาน เปลืองที่ในการเก็บ ทำงานลำบาก คนทำ CG ร้องไห้ เสียเวลาในการ record นาน ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ การสแกนที่ 2K ซึ่งมีความคมชัดเพียงครึ่งหนึ่งของฟิล์มต้นฉบับ จึงเป็นหนทางที่ถูกเลือกใช้  โดยไฟล์ภาพจะมีขนาดเล็กลงเหลือ 12 MBytes ต่อ 1 เฟรม ความคมชัดที่ลดลงนี้คนทั่วไปสามารถดูออกได้ แต่ก็สามารถยอมรับได้ (ตอนแรกๆ ที่ทำผมดูไม่นอกนะ ถ้าหนังสนุกก็ลืมมานั่งจับผิดหนะรับ) แล้วเพราะเหตุใดจึงทำที่ 2K ทำไมไม่ใช้วิธีการ "ตัดเนก" ซึ่งเป็นวิธีที่ภาพคมชัดที่สุด ณ เวลาปัจจุบัน ทั้งนี้ก็เพื่อแลกกับความไร้ขีดจำกัดของโลกดิจิตอล -คุณสามารถจะทำสีประหลาดโลก แค่ไหนก็ได้ (พี่วิศิษฎ์ ศาสนะเที่ยงชอบมาก 555) -คุณสามารถใส่ CGI ลงไปได้ -คุณสามารถเล่นเทคนิคที่สามารถทำได้ลำบากด้วยวิธีดั้งเดิม -คุณสามารถลบฝุ่น รอยนิ้วมือ รอยคราบต่างๆ ได้ -คุณสามาถใช้มันเป็นมาสเตอร์ทำ DVD ได้ ตรงๆ (ชัดและสวยโคตรๆ ลองไปเอา DVD ทวาร ของพี่พิ๊งค์มาดูได้ครับ) -คุณสามารถเก็บหนังคุณไว้ได้ชัดแบบนี้จนกว่าโลกนี้จะแตกสลายไป (ถ้าคุณไม่ลืมลงฮาร์ดดิสก์ไว้นะ) -คุณสามารถแก้ cutting ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด แก้ได้แม้ในวินาทีสุดท้าย ^ ^ (รู้สึกอันนี้ ผกก. กับ อดต. จะชอบอยู่สองคนนะ นอกนั้นทุกคนที่เหลือจะไม่ปลื้มเท่าไหร่ 55555 ) -คุณสามารถทำหนังได้หลายเวอร์ชั่น Director cut , Editor cut , Producer cut , Thai version , Inter version , Chinese version ,etc. โดยที่ Original Negative ไม่บุบสลาย ก็แค่เอา EDL ใหม่ใส่เข้าไปแล้วกดปุ่ม ^ ^ (รู้สึกอันนี้ผู้สร้างจะชอบนะ ขายได้หลายที่ดี ) แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 50 02:34:39 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 50 02:11:55 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 50 02:03:45 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 50 01:51:04 แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 50 23:11:34 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 13 ก.พ. 50 23:09:59 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เอาเป็นว่าระบบ 2K รวมค่าตัวของระบบทั้งหมดแล้วยังปาเข้าไปร่วม  100 ล้าน เลยต้องยอมที่ 2K นี่หละครับ มาถึงตอนนี้หลายๆ คนอาจะงงอยู่เพราะได้ยินมาว่า Projector 2K ก็คือเทียบเท่าฟิล์มแล้ว ก็ถูกอีกหละครับเพราะมันฉายแล้วนี่ครับผลลัพธ์มันได้ 2K บนจอ แต่ 2K ที่ผมกำลังพูดถึงนี่มันตอนสแกนนะครับ ยังต้องตกหล่นตามรายทางอีกเยอะ หนังฝรั่งที่ทำ DI เจ๋งๆ เงินเยอะๆ เค้าจะ record ออกมาเป็นมาสเตอร์หลายชุดครับ ฟิล์มที่จะฉายจะถูกพิมพ์จากมาสเตอร์นี้ตรงๆ แล้วส่งโรงฉายเลย ไม่มีการทำซ้ำอีกแล้ว ภาพจึงได้ชัดสวยใสไร้ที่ติ แต่ถ้างบประมาณจำกัดจะทำแค่ 1  ชุดครับ  ใช้เวลา record ประมาณ 1 อาทิตย์ ( แค่ 1 ชุด ก็เหยียบล้านแล้ว ทำอีกชุดขอเพิ่มอีกล้านครับ - -") แต่มาสเตอร์ 1 ชุด เอาไปพิมพ์ส่งโรงสองร้อยก๊อปปี้ กว่าจะเสร็จต้นฉบับคงขาดเละแน่นอน เพื่อความปลอดภัยเลยต้องทำมาสเตอร์เพิ่มโดยการดุ๊ปออกมาหลายๆ ชุดเพื่อใช้พิมพ์ จะได้ release เสร็จเร็วๆ เลยต้องเอามาผ่านขั้นตอน ตามนี้อีกครับ Recorded Negative => Interpositive => Internegative => Release Print กว่าจะเสร็จบางทีความคมชัดมันก็ลดลงไปเยอะครับ ในบางครั้งจึงต้องใช้วิธีการ sharpening เพื่อเพิ่มความคมชัดของภาพซึ่งก็ช่วยได้มาก แต่ถ้าใส่มากไปอาจจะทำให้ภาพดูเป็นอิเล็ดโทรนิค จะแข็งๆ เหมือนถ่ายด้วยกล้อง HD ครับ แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 50 02:37:11 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 50 01:55:16 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 13 ก.พ. 50 23:32:53 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ส่วนเรื่องสีซีดก็เป็นอีกประเด็นนึงครับ มีหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง -การปรับหน้าจอที่ใช้แก้สี -ความแม่นของ LUT (Look Up Table) ที่เลือกใช้ -การควบคุมความเที่ยงตรงของ Film Recorder ด้วยการ calibration -และอื่นๆ อยากจะบอกว่าพอเอาเครื่องคอมพ์เข้าไปเกี่ยวข้องแล้วปัจจัยที่มีผลต่อความคมชัดของหนังมันเยอะจริงๆ ครับ ต้องค่อยๆ หาค่อยๆ แก้ไขกันไปทีละจุดครับ ที่โพสต์มาทั้งหมดนี้เป็นขั้นตอนหลักๆ ทั่วไป ไม่ได้พูดถึงหนังเรื่องใดๆ หรือบริษัทใดๆ ทั้งสิ้นนะครับ เพราะในรายละเอียดแล้ว เครื่องมือและวิธีการยังสามารถปรับแปลงตามความเหมาะสมได้อีกมากครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ สวัสดีครับ ขออนุญาตแก้ไขเนื้อหาที่อาจจะไม่เหมาะไม่ควรครับ แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 50 02:01:45 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 13 ก.พ. 50 23:43:54 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อ้อ...ลืมกราบเรียนท่าน Cinephile ครับว่า Film Recorder ของหน่วยงานผมชัดแน่นอนครับ เพราะเจ้าหน้าที่คุมเครื่องชื่อ "ชัช" ครับท่าน จากคุณ : แมวปากมัน - [ 13 ก.พ. 50 23:48:13 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ดีไม่ชื่อ ชิบ ไม่งั้นยุ่งแน่ครับ จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 14 ก.พ. 50 00:29:17 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เรียนท่าน "อุปนิกขิต" ถ้างั้นสงสัยต้องคอยส่งข้าวส่งน้ำ จะได้ไม่ต้องกลัวว่านายคนนี้จะ หาย ไปไหนครับ ไม่งั้นคงยุ่งแน่ๆ อย่างที่ท่านว่า ปล.ยินดีที่ได้รู้จักครับท่าน จากคุณ : แมวปากมัน - [ 14 ก.พ. 50 02:25:10 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ได้ความรู้มากขึ้นเยอะขนาดเรียน PR ยังรู้สึกอยากไปเรียนกะพวกวิทยุโทรทัศน์เลยจริงๆ ขอบคุณครับ จากคุณ : mukmook - [ 14 ก.พ. 50 05:51:16 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณครับคุณแมวปากมัน ข้อมูลแน่นดีจัง เอ่อ...ว่าแต่ว่าคุณแมวปากมันระวังท่าน cinephile แอบย่องเข้ามาดูข้างหลังอีกนะ อิอิ จากคุณ : ดินสอสีน้ำเงิน (ดินสอสีน้ำเงิน) - [ 14 ก.พ. 50 08:07:00 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อยู่แผนกไหน ของOP ป่าวคับเนี่ย ความรู้แน่นจิงๆ ศึกษาจากไหนอ่ะคับ จากคุณ : QuicK Cut - [ 14 ก.พ. 50 11:02:24 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ได้่ความรู้แน่นปึก แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าโฆษณาใน TV ของหนังทุกเรื่องมันชัดกว่าที่ดูโีรงมานานแล้ว เลยไม่ได้สงสัยอะำไรซะงั้น จากคุณ : TuxedoMan - [ 14 ก.พ. 50 13:02:04 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เข้ามาดูอีกที...โอ้ว ตัวจริงเสียงจริง รวมถึงท่าน Cinephile มาตอบเองด้วย แบบนี้ขอเข้ามาเก็บความรู้อย่างเีดียวเลยครับ ปอลอ เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้บ้านเราเล่น DI กันแล้ว O_o" ไม่น่าเชื่อนะครับ เมื่อ 10-20 ปีก่อนนี้เอง บ้านเรายังเอา neg. ที่มีม้วนเดียวนี่แหละมา print กันจน neg. พัง+หายสาปสูญกันอยู่เลย >.< จากคุณ : ลูกจ้างดีเด่น - [ 14 ก.พ. 50 13:13:46 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ถามนิดนึงคับ DI หมายถึง รูปแบบการทำงานใช่ไหมคับ ไม่ได้เจาะจง ค่ายใดค่ายหนึ่งใช่ไหมคับ เพราะ ได้ยินชื่อ Davinci มาสักระยะนึงแล้วในทำ grading แล้วก็ได้ยินอีกว่ามี Luster ใช้ในเมืองไทยแล้วเหมือนกัน จากคุณ : ตามดู - [ 14 ก.พ. 50 14:42:48 A:125.25.137.9 X: TicketID:138535 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เรียนคุณ "ดินสอสีน้ำเงิน" พักนี้ท่านก็มาบ่อยครับ แต่ไม่แอบมาแล้วครับ เรียกผมซะดังเลย ผมยิ่งโจทก์เยอะๆ อยู่ เสียววูบเลย - -" เมื่อวานท่านก็มานั่งอยู่เครื่องข้างๆ ทำงานของท่านอยู่อ่ะครับ แอบเห็นเข้าพันทิปด้วย เห็นท่านว่าแจกตั๋วฟรีนี่หละครับ ผมก็นั่งตัวแข็งอยู่ข้างๆ ท่านหละครับ เรียนคุณ "QuicK Cut" ครับ ก็อ่านๆ งมๆ ลองๆ มาเรื่อยๆ ครับเพราะตอนนี้ยังไม่มีที่ไหนสอนเป็นทางการหนะครับ ส่วนเรื่อง DI เดี๋ยวมาตอบตอนเย็นนะคร๊าบบบ.. ตอบตอนนี้ เดี๋ยวนายเคือง ไม่ยอมทำการทำงาน 555 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 50 23:21:14 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 50 17:34:39 จากคุณ : แมว (แมวปากมัน) - [ 14 ก.พ. 50 17:33:26 ]

ความคิดเห็นที่ 32 มาแว้วววว...ค๊าบบบบ DI หรือ Digital Intermediate ก็ตรงตัวหละครับ -Digital ประมาณว่าใช้เครื่องมือจำพวก อุปกรณ์อิเลคโทรนิก คอมพิวเตอร์ทำ -Intermediate  อยู่ระดับกลาง อยู่ตรงกลาง ประมาณนี้ สรุปก็คือการบวนการที่ใช้อุปกรณ์อิเลคโทรนิกหรือคอมพิวเตอร์เข้ามาทำในส่วนกลาง Analog => Digital => Analog หรือ Film => Computer files => Film นั่นหละคร๊าบบบบ.... ส่วนรูปแบบทางกายภาพของมันจะเป็นอย่างไรก็สามารถเลือกระบบได้ล้านแปด เหมือนคนเล่นรถ จะใส่เครื่องอะไร ใส่สปอยเลอร์  ใส่สเกิ๊ตสีอะไรนั่นหละคร๊าบ แต่โดยหลักๆ แล้วก็จะมีอุปกรณ์ที่สำคัญดังนี้ครับ 1.Film Scanner 2.Color Grading Suit 3.Film Recorder นอกนั้นก็จะเป็นพวก infrastructure ยกตัวอย่างเช่น -Storage ขนาดบิ๊กบึ้ม หลัก terabytes ครับ -High Speed Network ที่เร็วปรี๊ด ระบบนี้จะเชื่อมต่อกับหน่วยอื่นๆ ด้วย เช่น - Visual Effect Dept. ในกรณีที่มีเทคนิคพิเศษด้านภาพ - Dust / Scratch Removal เพื่อลบฝุ่น ลบรอย ต่างๆ ครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 50 20:19:41 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 14 ก.พ. 50 20:51:45 ]

ความคิดเห็นที่ 33 Film Scanner ทำหน้าที่สำเนาภาพจากฟิล์มต้นฉบับให้อยู่ในรูปแบบของไฟล์คอมพิวเตอร์ โดยส่วนมากแล้วไฟล์ที่ใช้จะเป็น Cineon (*.cin) หรือ DPX  (*.dpx) เครื่องสแกนเนอร์ในปัจจุบันจะสแกนที่ความละเอียด 4K และ 2K ครับ ปัจจุบัน Film scanner มีหลายยี่ห้อ ส่วนใหญ่คุณภาพแทบไม่แตกต่าง แต่จะวัดกันที่ความเร็วเป็นหลัก จากคุณ : แมวปากมัน - [ 14 ก.พ. 50 23:10:08 ]

ความคิดเห็นที่ 34 Color Grading Suit เรียกง่ายๆ ติดปากว่า "เครื่องแก้สี" ก็เอาไว้แก้สีนั่นหละครับ ตรงตัว Davinci กับ Lustre ที่ท่านเอ่ยขึ้นมาเป็นเครื่องหมายการค้าครับ ไหนๆ ก็พูดถึงแล้วเลยขอเพิ่มเติมรายละเอียดของเครื่องแก้สียี่ห้อต่างๆ ดังนี้ครับ -เครื่องแรกชื่อว่า "Resolve" เป็นของบริษัท da Vinci Systems, LLC. เชี่ยวชาญด้านการแก้สีสำหรับวิดีโอมานาน พัฒนาเครื่องแก้สีมาหลายรุ่น ส่วนมากจะใช้กับ ภาพยนตร์โฆษณา ส่วนรุ่น Resolve นี้เพิ่งทำออกมา เพื่อตอบสนองตลาด DI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว http://www.davsys.com/resolve/index.htm -เครื่องที่สองชื่อว่า "Lustre" เป็นของบริษัท Discreet; เดิมทีตัวเอนจินที่ใช้แก้สีนั้น เป็นของบริษัทอื่นมาก่อน แต่ก็โดน Discreet สอยมาเป็นของ Discreet ตามระเบียบ - -" มีดีตรงเอนจินที่แข็งแรงมาก เพราะออกแบบมาสำหรับทำหนังโดยเฉพาะ พัฒนามาแล้วเป็น 10 ปี เรียกว่าเป็นผู้บุกเบิกก็ว่าได้ ดังนั้นภาพยนตร์ฮอลลี่วู๊ดที่สีสวยระเบิด จึงมักจะถูกเกรดโดยเครื่องนี้ครับ ลองไปดูชื่อหนังที่เค้าเคลมว่าใช้เครื่องเค้าเองละกันครับ พูดมากเดี๋ยวผมโดนยิง ^ ^" ( จริงๆ สวยไม่สวย อยู่กับเครื่องที่เซทอัพดี และ Colorist ที่มีตาดี เป็นสำคัญ ) http://usa.autodesk.com/adsk/servlet/index?id=5562789&siteID=123112 - เครื่องที่ 3 ชื่อว่า “Nucoda Film Master” เป็นของบริษัท Digital Vision ถูกผลิตออกมาเพื่อทำ DI หนังโดยเฉพาะ เช่นกันครับ http://www.digitalvision.se/products/nucoda_film_master.htm -เครื่องที่ 4 ชื่อว่า “Baselight”  เป็นของบริษัท FilmLight Ltd. ถูกผลิตออกมาเพื่อทำ DI หนังโดยเฉพาะ อีกเช่นกัน http://www.filmlight.ltd.uk/baselight.html ที่เมืองไทยมีครบทั้ง 4 ยี่ห้อนี้แล้วครับ สุดยอดเลยครับ !!! ส่วนยี่ห้ออื่นๆ ก็มีอีกเยอะครับเช่น -Quantel  iQ http://www.quantel.com/site/en.nsf/html/cs_prodiq?OpenDocument -ASSIMILATE SCRATCH http://www.assimilateinc.com และอื่นๆ ครับ เครื่องต่างๆ ข้างบนที่ผมกล่าวทั้งหมดนี้ผลิตเพื่องานแก้สีโดยเฉพาะ ก็เลยทำ Interface ให้เอาใจ Colorist ให้ใช้งานง่าย เร็ว สะดวก ถ้าจะว่ากันถึงหน้าที่ของมันแล้วเครื่องอะไรที่แต่งสีได้ก็ใช้ได้ทั้งนั้นหละครับ แต่อาจจะช้าไม่ทันใจ ทำงานยาก เพราะไม่ได้ออกแบบมาโดยเฉพาะ เช่น flame, smoke, inferno หรือ  After Effect ก็ทำได้ครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 50 00:06:50 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 50 00:06:20 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 14 ก.พ. 50 23:35:50 ]

ความคิดเห็นที่ 35 Film Recorder คือเครื่องที่จะยิงไฟล์ภาพจากคอมพิวเตอร์กลับลงไปบนฟิล์ม มีมากมายหลายยี่ห้อ ราคาก็จะแตกต่างออกไป ตามความเร็ว และเทคโนโลยีที่ใช้ภายในตัวเครื่อง ตัว Film recorder นี้ ต้องทำงานร่วมกันกับแลปเพื่อควบคุมคุณภาพและความถูกต้องอยู่เสมอ เพื่อให้สีที่ได้ถูกต้อง ตามที่ได้ทำการเกรดไว้ครับ ทำไมต้องยิงกลับลงฟิล์ม ? ทั้งนี้ก็เพราะโรงหนังที่จะฉายส่วนมากยังเป็น เครื่องฉายฟิล์มอยู่ครับ บางท่านกลัว Digital projector เพราะมันต้องส่งเป็นไฟล์ไป กลัวว่า บางคนอาจจะได้นอนดูอยู่ที่บ้านก่อนหนังเข้าโรง ด้วยคุณภาพที่ชัดกว่าในโรง - -“ ก็ดู CD เพลง DVD หนังสิครับ ว่าป้องกันสุดๆ แล้ว ก็ยังเอาไม่อยู่ โรง Digital ยังมีน้อยมากครับ ต้องรออีกสักพัก ถ้าเครื่องฉายเป็น Digital เมื่อไหร่ เราอาจจะไม่ได้เห็นกระทู้ เรื่องความคมชัดแบบนี้อีกเลย นอกซะจากจะมาบ่นว่ามัน “ชัดเกินไป” จากคุณ : แมวปากมัน - [ 14 ก.พ. 50 23:47:01 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ข้างบนนั่นคือเครื่องหลักๆ ที่ต้องใช้ครับ แล้วก็ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับ da Vinci และ Lustre ไปแล้วว่ามันคืออะไร ส่วนรายละเอียดลึกๆ ลงไปยังมีอีกมากมายครับ ที่จะเป็นตัวกำหนดคุณภาพและความคมชัด ของหนังที่จะออกมา ยกตัวอย่างเช่น -การเลือกว่าจะทำในระบบเทป HD การทำในระบบ DATA -การเลือกที่จะทำในระบบ Log Color Space หรือ Linear Color Space -การเลือกใช้ LUT หรือ Look Up Table ว่าจะเป็น แบบ 1D LUT หรือ 3D LUT -การทำ Color Management เพื่อคงความแน่นอน แม่นยำของสี ตลอดกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ -การ Calibration ของอุปกรณ์ทุกชนิดให้อยู่ในมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็น Film Scanner, Film Recorder และ Monitor ที่ใช้ในการแก้สี คนส่วนใหญ่จะคิดว่า “อ้าวมี DI แล้วก็ไม่ต้องถ่ายดีๆ แล้วสิ ไฟไม่ต้องเอาไปเยอะ ถ่ายอันเดอร์ก็ได้  ไม่ต้องคอนทินิวก็ได้ เดี๋ยวค่อยไปแก้เอา“ จริงๆ ผมอยากให้คิดว่า “โห... ทำ DI ถ้าอย่างงั้นต้องถ่ายเนี๊ยบกว่าเดิม” มากกว่าครับ ด้วยความเคารพ สุดท้ายแล้วสิ่งที่มีผลต่อความสวยของหนังมากที่สุดคือ “Cinematography” และคนที่จะทำให้หนังสวยที่สุดคือ “Cinematographer” ครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 50 00:29:21 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 15 ก.พ. 50 00:28:42 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อันนี้สำคัญกว่าครับ ที่ผมออกมากล่าวถึงกระบวนการ DI นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับท่าน Cinephile หรือหนังเรื่องใดๆ แล้วนะครับ กล่าวถึงเฉพาะในตอนแรกๆ ที่เป็นการสนับสนุนสมมุติฐานของท่านในเรื่องความแตกต่างกันของโรงฉาย ส่วนที่ตามมาหลังๆ นี่เป็นการตอบข้อซักถามของเพื่อนๆ สมาชิกที่ถามขึ้นมาครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : แมวปากมัน - [ 15 ก.พ. 50 02:44:05 ]

ความคิดเห็นที่ 38 แหม ฟังคุณ แมวปากมัน มาตั้งนานแล้วแต่ยังงัยผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีแหละครับว่าคุณภาพเรา ยังไม่เท่ากับฝรั่งอยู่ดี จะยกตัวอย่างมาร้อยแปด แต่สรุปสุดท้าย ภาพ สี ความคมชัดก็ยังไม่เทียบเท่าหนังฝรั่งอยู่ดีแหละครับ (เห็นกันชัดๆ)   ยังงัยก็เป็นกะลังใจให้สู้ต่อไปเพื่อคุณภาพของหนังไทยครับ อ้อตอนนี้ถ้าท่าน Cinephile สนใจผมว่าบ้านเราก็มีเครื่องยิงฟิล์มเอ้าท จากดิจิตอลลงฟิล์ม 1 ม้วนไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็มีน่ะครับท่าน จากคุณ : Headskru - [ 15 ก.พ. 50 12:23:58 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ก็นั่นหละครับผมก็ว่างั้น ผมก็ไม่รู้จะบอกยังไงพูดในที่นี้มากไม่ได้ เสียมารยาท เอาเป็นว่า เครื่องไม้เครื่องมือเรา "เท่า" ฝรั่งแล้ว เรียกได้ว่าเกินด้วยซ้ำ เพราะหนังที่สวยๆ หลายๆ เรื่อง เค้าก็ทำเมื่อ 5 ปี ก่อน ตอนที่อุปกรณ์ยังล้าหลังกว่านี้มาก เครื่อง "ถึง" แล้ว แต่อย่างอื่นไม่รู้ครับ ก็เหมือน CG นั่นหละครับใช้มายาเหมือนกัน DI ทำง่ายครับซื้อเครื่องมาก็ทำได้แล้ว ถ้าจะแข่งวัดสเปคเครื่องก็คงไหว แต่จะทำ DI ให้ "ดี" ไม่ง่ายเลยครับ ส่วนเรื่องความเร็วของเครื่องมันก็เป็นธรรมดาหละครับที่เครื่องใหม่ๆ ย่อมจะเร็วกว่าเครื่องเก่า ก็ต้องซื้อมาอัพเกรดระบบของตัวเองกันอยู่เรื่อยๆ หละครับ จากเฟรมละ 10 วิ เหลือ 5 วิ เหลือ 2 วิ ต่อไปก็คงจะเร็วกว่า realtime ก็ต้องหยอดกระปุกรอซื้อกันต่อไป IMAGICA HSR film recorder ลองดูแล้วก็ดีครับเร็วดี แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 50 14:18:03 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 50 14:17:41 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 50 13:38:05 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 15 ก.พ. 50 13:30:42 ]

ความคิดเห็นที่ 40 กระจ่าง ชัดเจนคับ ถามต่อ สไตล์ของสี จะถูกกำหนดทีหลัง หรือ มีการพูดคุยกับ DP ก่อนการถ่ายทำ คับ หมายถึง ฟิลเตอร์สี ต่างๆ หรือถ่ายเป็นกลาง แล้วมาทำทีหลัง แล้ว ถ่ายด้วย HD,HDV สามารถเกรดได้กว้างเท่าฟิล์มหรือเปล่าคับ จากคุณ : ตามดู - [ 15 ก.พ. 50 18:05:57 A:192.168.1.67 X:61.7.150.250, 61.7.150.250, 61.7.150.250 TicketID:138535 ]

ความคิดเห็นที่ 41 จ๊ากกกกกกก..... ถามลึกลงไปเรื่อยยๆๆ แต่ละคำถาม คนตอบก็เสี่ยงต่อการโดนตบกบาลทั้งน๊านนนน.... วันนี้ขอไปดู "ตำนาน ภาค 2" รอบแรก ก่อนนะครับเดี๋ยวดึกๆ มาตอบต่อครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 50 20:17:24 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 50 20:16:57 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 15 ก.พ. 50 18:27:35 ]

ความคิดเห็นที่ 42 DP จะมาดูตอน Grade สีครับ สีเพี้ยนยังไงก็ DP รับเต็มๆ ครับ จากคุณ : Cinephile - [ 15 ก.พ. 50 18:38:12 ]

ความคิดเห็นที่ 43 โอวว...ท่านมาตอบเองเลยครับ กราบสวัสดีท่านครับ จากคุณ : แมวปากมัน - [ 15 ก.พ. 50 20:15:28 ]

ความคิดเห็นที่ 44 สืบเนื่องด้วย คห.ต่างๆ ข้างต้น วันนี้เพลาดี ข้าจึ่งบึ่งรถ ไปพิสูจน์สักครา บัดนี้ได้ประจักษ์แก่สายตาข้าพเจ้าแล้ว ว่าความเบลอที่เกิดขึ้น หาได้เกิดแต่เครื่องจักรดิจิตคณิตกล อันใช้แต่งาน DI ไม่ ฤา จะมีก็แต่เพียงเล็กน้อย หาได้เป็นผลต่อการทรรศนา เหล่าไพร่ฟ้าเต็มโรงถึงแถวหน้า แลดูปิติยินดีเป็นท่วมท้น จากคุณ : แมวปากมัน - [ 16 ก.พ. 50 01:19:25 ]

ความคิดเห็นที่ 45 พอแระ... - -" เหนื่อย 555 น่าจะเกิดจากโรงครับ ฟันธง !!! เพราะวันนี้ไปดูโรงใหม่กิ๊กย่านดัง ทุกอย่างสวยแจ่มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่โฆษณา เสียงก็ไพเราะจับจิต นานเท่าไหร่แล้ว ที่ไม่ได้เห็น DOLBY Digital Sound Check ของแท้ นับว่าเป็นบุญของชาวสยาม ที่ยังมีโรงหนังดีๆ อยู่ แนะนำ คห. ต้นๆ ไปดูใหม่ ที่โรงใหม่ (หมายถึงไม่ใช่โรงเดิมที่ท่านดู แหะ..แหะ..) แล้วท่านจะเห็นความแตกต่างเองครับ ส่วนที่ว่าสีโดดไปโดดมาตาม คห. 5 นั้น บัดนี้ทำให้เราทราบว่าผลของ Global Warming นั้น มีมาแต่ช้านาน ตั้งแต่สมัยแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวร เราจึงได้เห็น Climate Shift อันรุนแรง ประเดี๋ยวเขียว ประเดี๋ยวแดง ประเดี๋ยวฟ้าผ่าวูบ ประเดี๋ยวเมฆครึ้ม ภายในชั่วระยะเวลาเร็วกว่าเคี้ยวหมากแหลก วิธีการแก้คือ ต้องงดใช้สาร CFC งดการเผาผลาญเชื้อเพลิงโดยไม่จำเป็น เพื่อลดปริมาณ Cabon Monoxide และ Cabon Dinoxide ในบรรยากาศ เพื่อให้หนังไทยในรุ่นลูกรุ่นหลาน มีสีที่ต่อเนื่อง สม่ำเสมอสืบไป... จากคุณ : แมวปากมัน - [ 16 ก.พ. 50 01:37:13 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ส่วนคำถามของท่าน คห. 40 ขออนุญาตมาไขพรุ่งนี้นะครับ เพราะวันนี้กว่าโรงจะเลิกก็เที่ยงคืนครึ่งแล้ว - -" คนล้นหลามกว่าจะหลุดออกมาได้เกือบตีหนึ่ง พรุ่งนี้เย็นจะมาถกกันครับ ปล.เหมือนโดนหลอกถามให้บ่นใครป่ะเนี่ย ตะหงิดๆ แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 50 01:40:38 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 16 ก.พ. 50 01:40:25 ]

ความคิดเห็นที่ 47 โอ้โฮ ท่านมาตอบเองเลย ขอบพระคุณครับ ถามท่านบ้างครับ ผมได้ยินมาว่าตอนสุริโยทัย DP เป็นชาวเชค แล้วนเรศวรด้วย หรือเปล่าครับ แล้วท่านไปเจอได้อย่างไร รอคำตอบจากคุณแมวปากมันด้วยนะครับ ไม่ได้หลอกให้ป่นใครนะครับ แค่อยากทราบ ว่าขั้นตอนการทำงานเป็นอย่างไร จากคุณ : ตามดู - [ 16 ก.พ. 50 17:25:48 A:192.168.1.58 X:61.7.161.221, 61.7.161.221 TicketID:138535 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ต่อครับ จากที่ตั้งกระทู้ถามว่า "สไตล์ของสี จะถูกกำหนดทีหลัง หรือ มีการพูดคุยกับ DP ก่อนการถ่ายทำ" สไตล์ของสีหรือ look ของหนังจะถูกกำหนดโดย "story" หรือเนื้อเรื่องครับ หนังคือการเล่าเรื่อง look ของภาพจึงเป็นส่วนประกอบหนึ่ง ที่จะทำให้คนดูเข้าถึงเนื้อเรื่องได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น look ในที่นี้ไม่ใช่แค่สีนะครับ ขนาดความเล็กใหญ่ของเกรน ก็มีผลต่ออารมณ์หนังเหมือนกัน หนังแนว สงครามๆ ทหารๆ ก็จะทำให้ดูซกมกๆ เกรนเยอะๆ หน่อย หนังวัยรุ่นก็ต้องใส ถ้าจะมีเกรนเดือดปุดๆ ก็ใช่ที่ - -" ดังนั้นสีของหนังจะถูกกำหนดตั้งแต่ก่อน Production ไม่งั้นก็คงวางแผนการถ่ายทำไม่ได้ว่าจะเป็นไปในลักษณะไหน ผู้ที่จะรับผิดชอบโดยตรงก็คือ Cinematographer ที่มีผู้นำคือ Director of Photography (DP) (เอ..ทำไมไม่ Director of  Cinematography หว่า  - -a) ถ้าเป็นสมัยก่อนที่ยังไม่มี DI DP ก็จะใช้วิธีการเหล่านี้เพื่อเลือกสร้าง look ให้กับภาพ -เลือกใช้ฟิล์มถ่ายชนิดต่างๆ กันออกไป -เลือกใช้เทคนิคการล้างเนกแบบพิเศษ เช่น Push, Pull, Bleach Bypass -เลือกใช้เทคนิคการล้าง print แบบพิเศษ เช่น Bleach Bypass หรือเลือกใช้ Print film แบบพิเศษ ผมสันนิษฐานว่า หลายๆ คนที่ใช้คำว่า "บิดสี" ที่ใช้ในความหมายว่ามีการทำสีเป็นพิเศษ ใช้รวมไปถึงงานวิดีโอ ที่แก้สีหนักๆ คงมีที่มาจากคำว่า Bleach ในที่นี้หละครับ ทั้งๆ ที่วิธีการไม่ใช่การ Bleach แล้ว - -" จากคุณ : แมวปากมัน - [ 16 ก.พ. 50 18:27:06 ]

ความคิดเห็นที่ 49 และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่มี DI เกิดขึ้น วันที่โลกของอนาลอกมาชนกับโลกของดิจิตอลดังโครม! เครื่องมือสำหรับแก้สีได้ถือกำเนิดขึ้น แต่ DP ใช้เองไม่เป็นทำไงดี? เลยทำให้เกิดอาชีพ Colorist ขึ้น เพื่อทำงานที่เรียกว่า Digital Color timing ถ้าพูดตามหลักที่ว่านี้แล้ว Colorist ต้องทำตามความต้องการของ DP แต่ในความเป็นจริงสามารถยืดหยุ่นได้ Colorist สามารถใส่ input ของตัวเองลงไปได้ ตราบใดที่ DP เห็นดีเห็นงามด้วย หรือแม้กระทั่งมอบให้ Colorist ใส่ได้เต็มที่ ถ้า DP ยอมให้ทำ แต่กระนั้นทุกอย่างก็มีข้อจำกัด ไม่ใช่ว่าจะทำได้ตามที่ DP ต้องการไปได้ซะหมด ดังนั้นขั้นตอนการ "คุยกัน" ก่อนถ่าย จึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง การทำงานแบบมาถึงเอาเนกมาวางแผละ! แล้วบอกจะเอาสีอัศจรรย์แบบนั้น แบบนี้ ก็คงจะเป็นการลำบากที่จะบรรลุถึงเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ ปัจจุบัน DP เข้าใจ DI ขึ้นมาก จึงไม่ต้องประชุมกันมากมาย ประชุมกันก็แค่ในกรณีต้องการใช้เทคนิคที่พิเศษจริงๆ เท่านั้นครับ แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 50 18:44:23 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 16 ก.พ. 50 18:43:08 ]

ความคิดเห็นที่ 50 หิวววว..ไปกินข้าวก่อนครับ เพราะกระทู้ถามต่อมาที่ว่า "ถ่ายด้วย HD,HDV สามารถเกรดได้กว้างเท่าฟิล์มหรือเปล่าคับ" ตอบทั้งวันก็ไม่จบ - -"  ขอไปเติมแรงแล้วจะมาตอบต่อคร๊าบบบบ จากคุณ : แมวปากมัน - [ 16 ก.พ. 50 18:47:00 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณครับ ชัดเจนอีกแล้ว รอคำตอบที่เหลือนะค้าบ จากคุณ : ตามดู - [ 17 ก.พ. 50 22:10:26 A:125.25.195.38 X: TicketID:138535 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณที่ตามอ่านค๊าบบบ..... แต่ยังไม่มีเวลามาตอบที่เหลืออ่า..... งานท่วมท้นขอเลื่อนไปอีกซักวันสองวันนะคร๊าบบบบ.... จากคุณ : แมว (แมวปากมัน) - [ 19 ก.พ. 50 18:54:39 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอถามหน่อยครับ hollywood มีการใช้กล้อง digital บ้างแล้วใช่ไหมครับ อย่างเรื่อง star war episode 3 ถ่ายทำด้วยกล้อง digital จริงใช่ไหมครับ หากว่ามีการใช้จริงแล้ว โอกาสหน้าหนังไทย หากใช้กล้อง digital ในการถ่ายทำ ความคมชัดก็คงเทียบเท่ากันแน่นอนใช่ไหมครับ อยากจะถามว่าแล้วทำไม หนัง ที่ transfer สู่ แผ่นdvd ของไทย มันถึงได้ไม่ชัดหละครับ ไม่ว่าจะเป็นหนังไทย หนังเทศ zone 3 ด้วยกัน ฮ่องกง เกาหลี ชัด แต่ไทยไม่ชัดเลย เป็นเพราะอะไรครับ ขั้นตอนในการทำให้ชัดเท่าเขา มีค่าใช้จ่ายมากกว่าหรือเปล่าครับ ขออีกอันครับ สุดท้ายแล้ว การ record แบบ 2k ถ้าคิดเป็น resolution มันจะเท่ากับเท่าไหร่ครับ แล้ว หนังเรื่องพระนเรศวร มีทางจะเป็น hd-dvd or blu-ray ไหมครับ จากคุณ : ขอบคุณมากครับ (jearjear) - [ 20 ก.พ. 50 16:43:56 ]

ความคิดเห็นที่ 54 โหย... การบ้านอันเก่ายังตอบไม่หมด ได้อันใหม่มาอีก 1 ชุดใหญ่ 555 ขออนุญาตตอบประเด็นที่ค้างไว้ก่อนนะครับ "ถ่ายด้วย HD,HDV สามารถเกรดได้กว้างเท่าฟิล์มหรือเปล่าคับ" ถ้า "กว้าง" ในที่นี้หมายถึงความสามารถในการเก็บรายละเอียดของภาพตั้งแต่มืดสุดถึงสว่างสุด ขอบอกว่าไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นฟิล์มหรือวิดีโอครับ หรือถ้าจะพูดให้ตรงกว่าก็คือ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นระบบอนาลอกหรือดิจิตอลครับ ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจใหม่ดังนี้ครับ คำว่ากว้าง ที่เราพูดถึง หมายถึงความกว้างของ Dymanic Range ซึ่งสามารถแยกออกได้เป็น สองส่วนคือ ของ 1.สื่อที่ใช้บันทึก และของ 2.ระบบที่ใช้เกรดสี ครับ Dynamic Range ยิ่งกว้างเท่าใดก็จะยิ่งเก็บรายละเอียดของความสว่างตั้งแต่น้อยสุดถึงมากสุดได้มากเท่านั้น เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ตาของคนเรามี Dymanic Range ที่กว้างมาก ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราอยู่ในห้องแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง เราสามารถเห็นรายละเอียดของวัตถุต่างๆ ภายในห้องได้ และเราก็สามารถเห็นรายละเอียดของเมฆที่สว่างจ้าบนท้องฟ้าไปได้พร้อมๆกัน ซึ่งเราจะไม่สามารถทำแบบนี้ได้ถ้าถ่ายด้วยกล้อง mini DV หรือ ถ่ายสไลด์ [--->เพิ่มเติม- Dynamic Range เป็นคำที่ใช้ในวงการวิทยาศาสตร์และวงการ CG คนทำ CG คงเคยได้ยินคำว่า HDR หรือ High Dynamic Range นะครับ ในทางฟิล์มจะเรียกว่า ละติจูด คิดเป็น f-stop ตามภาษาฟิล์ม เช่น ฟิล์มเนก สามารถบักทึกได้ 10 สตอป เป็นต้น <---] ผมแยกพูดเป็นสองส่วนนะครับ ได้แก่ 1.Dymanic Range ของ สื่อที่ใช้บันทึก 2.Dynamic Range ของ ระบบแก้สี 1.Dymanic Range ของ สื่อที่ใช้บันทึก Film มีทั้งแบบกว้างและแคบครับ ไม่ใช่ว่าเป็นฟิล์มแล้วจะกว้างเสมอไป -Positive Film ถูกออกแบบมาเพื่อบันทึกภาพแล้วแสดงผลในตัวเอง ฟิล์มชนิดนี้ที่เราคุ้นเคยกันดีก็ "ฟิล์มสไลด์" นั่นหละครับ ดังนั้นฟิล์มชนิดนี้จึงถูกตั้งคอนคราสต์มาให้พร้อมฉายได้เลย กล่าวคือคอนทราสต์ของภาพที่จะฉายจะต้องสูงประมาณนึง เราจึงจะรู้สึกว่าภาพนั้นมีสีที่ถูกต้องตามธรรมชาติ เมื่อเราดูบนจอ ทั้งนี้ก็เพราะภาพจะต้องถูกฉายในที่มืด ด้วยแสงจากหลอดไฟที่ความสว่างจำกัด ผลพวงจากการตั้งคอนทราสต์ให้สูง ทำให้ฟิล์ม มีละติจูดที่แคบมาก ถ้าจุดไหนมืดก็จะดำสนิทไปเลย ถ้าจุดไหนสว่างเกินไปก็จะขาววอกไปเลย ใครเคยถ่ายสไลด์คงทราบดีว่า ถ้าวัดแสงผิดไปนิดเดียว ภาพนั้นๆจะมืดหรือสว่างไปมากมายเพียงใด -Nagative Film ถูกออกแบบมาเพื่อบันทึกภาพแต่ไม่ต้องใช้แสดงผล โดยจะใช้วิธีการพิมพ์ลงบนฟิล์มสีหรือกระดาษอัดอีกทอดหนึ่งเพื่อแสดงผล ฟิล์มเนกาทิฟ ออกแบบมาโดยอาศัยแนวความคิดที่ว่า "สิ่งที่กำลังจะถ่ายนั้นมีค่า ทำอย่างไรจึงจะเก็บรายละเอียดทุกอย่างให้ได้มากที่สุด ชัดที่สุด คุณภาพสูงที่สุด"  คงไม่มีใครอยากจะตั้งกองถ่ายใหญ่โต เสื้อผ้า-หน้า-ผม ฉาก อุปกรณ์ไฟ กริ๊ป หมดวันละหลายล้าน แต่ถ่ายออกมาแล้วเสีย เพราะวัดแสงผิดไปนิดเดียวนะครับ - -" ด้วยเหตุนี้ฟิล์มเนกจึงต้องตั้งให้มีละติจูดกว้างมากๆ เพื่อเก็บรายละเอียดตั้งแต่มืดสุดถึงสว่างสุด และยังใช้รองรับความผิดพลาดของการ ปรับค่า Exposure ได้ด้วย ต่อให้เราถ่าย over หรือ under ไปนิดหน่อย ก็ไม่มีผลต่อภาพที่บันทึก จะยังคงมีเนื้อภาพให้เราไปปรับความสว่างมืดในขั้นตอนการพิมพ์ได้อยู่ อย่างไรก็ตามฟิล์มเนกก็ไม่สามารถใช้แสดงผลได้ เราต้องพิมพ์ลงบนฟิล์มสี หรือกระดาษอัดเสียก่อน จึงจะสามารถเห็นสีจริงได้ และเนื่องด้วยฟิล์มเนกเก็บรายละเอียดความสว่างมาตั้งมากมาย แต่ฟิล์มปรินท์ซึ่งเป็น positive ไม่สามารถรับช่วงความสว่างทั้งหมดนั้นได้ แล้วเนื้อภาพช่วงความสว่างไหนของเนกหละที่จะถูกพิมพ์ลงบนฟิล์มปรินท์? คำตอบก็คือ ส่วนที่พิมพ์ออกมาแล้ว ถูกต้อง สวยที่สุด ตามที่เราอยากเห็น และที่เองจึงเป็นที่มาของกระบวนการ Color Timing ที่ Colorist จะเป็นคนเลือกความสว่างหรือให้สีภาพ ว่าบนปรินท์สีจะออกมาอย่างไร ซึ่งแตกต่างจากสไลด์หรือ Positive Film ที่ล้างมาแล้วได้สีไหนก็สีนั้น Digital ก็มีทั้งแบบกว้างและแบบแคบทำนองเดียวกันกับฟิล์ม แต่หลักๆ แล้วจะแคบ - -" คนจึงเข้าใจว่าเป็นดิจิตอลแล้วจะต้องแคบเสมอไป ความจริงก็คือ Dynamic Range ของ Digital Video ถูกกำหนดจากจอที่จะใช้ดู เพราะ Digital Video เมื่อบันทึกแล้วก็จะถือว่าสีที่บันทึกนั้นคือสีที่พร้อมจะได้ดูแล้ว และเนื่องด้วยจอภาพส่วนใหญ่มี Dymanic Range ที่ต่ำ ดังนั้น กล้องจึงถูกตั้งให้มี Dynamic Range ที่ต่ำตามอุปกรณ์แสดงผล กล้องพวกนี้ก็ได้แก่กล้อง Digital Video ที่เรารู้จักกันทั่วไป ถ้าจะเทียบกับฟิล์ม กล้องชนิดนี้ก็จะเทียบได้กับฟิล์มสไลด์นั่นเอง เราจะเห็นว่าเวลาที่เราถ่าย scene ที่มีคอนทราสต์สูงมากๆ ส่วนที่สว่างก็จะขาววอก (ภาษาฝรั่งเรียก Clipped , Washed out , Burnt out ตามแต่จะเรียก - -") การถ่ายด้วยกล้องประเภทนี้ต้องใช้วิธีการแก้สีที่ต้องทำกันสดๆ ตรงนั้น นั่นก็คือ การจัดแสง หรือ Lighting เพื่อคุมคอนทราสต์ของ scene ให้อยู่ใน Range ที่กล้องสามารถบันทึกได้ ปัจจุบันมีกล้องแบบใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเลียนแบบการทำงานของฟิล์มเนก พูดง่ายๆ ทำมาเพื่อแทนกล้องฟิล์ม แต่ก็นั่นหละ ถ้าเราเอาภาพมาใช้เลยก็ไม่ได้เพราะภาพจะฝ้าๆ แบนๆ ต้องเอามาผ่านกระบวนการแก้สีก่อน แล้วยิงลงฟิล์มหรือแปลงสีเป็นภาพสำหรับ "ดู" เราจึงจะเห็นสีที่ถูกต้องในขั้นตอนสุดท้ายครับ สรุป สื่อบันทึกภาพจะมี Dynamic Range ที่กว้างไม่กว้างไม่เกี่ยวกับว่าเป็น ฟิล์ม หรือ ดิจิตอลครับ และยังไม่ตอบที่ถามว่า "ถ่ายด้วย HD,HDV สามารถเกรดได้กว้างเท่าฟิล์มหรือเปล่าคับ" นะครับ ต้องไปพูดถึงระบบแก้สีร่วมด้วย พักครึ่งครับเดี๋ยวมาตอบต่อ - -" แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 50 21:26:28 แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 50 21:25:48 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 20 ก.พ. 50 21:21:17 ]

ความคิดเห็นที่ 55 โอ้เพิ่งได้มีโอกาสมาอ่านกระทู้นี้ ดีใจกับข้อมูลที่ได้จังค่ะ จากคุณ : ไร้นาม - [ 21 ก.พ. 50 00:31:44 ]

ความคิดเห็นที่ 56 สวัสดีคุณ "ไร้นาม" ครับ กระทู้แบบนี้คนเข้าน้อยครับ ไกลตัวเกินไป แต่พอดีมีเพื่อนๆ สมาชิกถามเข้ามา แล้วผมก็เลาะๆ เล็มๆ วงการนี้เลยเอามาเล่าสู่กันฟังครับ ต่อครับต่อ 2.Dymanic Range ของ ระบบที่ใช้แก้สี ต้องยอมรับว่าตอนนี้เครื่องแก้สีมันมีมากมายหลายยี่ห้อจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ทุกยี่ห้อที่จะสามารถแก้สีเต็ม Dynamic Range ของฟิล์มได้ครับ ผมคงพูดอะไรไม่ได้มากในส่วนนี้ เพราะปากอาจจะแตกได้ - -" เอาเป็นว่าเครื่องสำหรับแก้สี มีทั้งแบบที่เป็น -High Dymanic Range สามารถแก้สีได้เต็มสีฟิล์ม ไม่มีตกหล่น เครื่องพวกนี้ส่วนใหญ่จะใช้ไฟล์ Cineon หรือ DPX ที่ระบบสีเป็นแบบ  Log Color Space แล้วระบบการคำนวณเพื่อให้สีข้างในเครื่องจะเลียนแบบมาจากฟิล์มเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น Primary Color Grading จะให้ผลที่ใกล้เคียงการทำ Color Timing ที่แลปแบบตั้งเดิมมาก การทำงานในลักษณะนี้ เหมาะสำหรับ DP ที่ชอบ look ของฟิล์ม ไม่ต้องการทำสีพิศดาร เพียงแต่ต้องการใช้ DI เพื่อความสะดวกในด้านอื่นๆ เท่านั้น แต่กระนั้นเครื่องพวกนี้ก็ได้ใส่ Secondary Color Grading ไว้มากพอที่จะสร้างสรรค์สีอัศจรรย์ได้อีกมากมายหลายแบบ โดยผลที่ได้เราจะยังได้ภาพที่ยังดูเป็นฟิล์มอยู่ ไม่รู้สึกว่าสีผิด สีเพี้ยน หรือเป็นอิเลคโทรนิคส์มากนัก -อีกแบบไม่รู้ว่าจะเรียกว่าไง เอาเป็นว่า เป็นแบบไม่ High Dynamic Range พอที่จะทำฟิล์มละกันครับ เครื่องพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นระบบ linear เอาไว้สำหรับแก้สีแบบ Tape To Tape มากกว่า สรุปก็คือเอาไว้ใช้แก้สีงานที่ถ่าย HD, HDV หรือสื่อบันทึกอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นแบบ High Dynamic Range นั่นหละครับ การแก้สีในระบบนี้มีข้อจำกัดตรง Dynamic Range ที่แคบกว่าฟิล์มมาก บางทีเราอยากเพิ่มความสว่างให้กับภาพโดยรวมแต่ปรากฏว่าบางส่วนที่สว่างอยู่แล้ว จะสว่างขึ้นไปอีก จน detail หายไปเลยครับ กลายเป็นสีขาวตันๆ ที่เรียกว่าโดน Clipped (Washed out, Burnt out) จากคุณ : แมวปากมัน - [ 21 ก.พ. 50 01:38:54 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ช่องนี้ ขออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Log color space และ Linear color space นิดนึงนะครับ Log Color Space ถูกเสนอโดย Kodak เพื่อใช้เก็บภาพที่ได้จากการสแกนฟิล์มเนกาทิฟต้นฉบับด้วยเหตุผลหลักๆดังนี้ครับ - ค่าตัวเลขของระดับความสว่างในไฟล์จะสัมพันธ์กับค่า Density ของฟิล์ม ดังนั้นมันจึงเป็นสากล ไม่ขึ้นอยู่กับจอภาพที่แสดงผล ไม่ว่าจะส่งไปที่ไหนก็จะเข้าใจตรงกันว่ามันคืออะไร -สามารถ cover  Dynamic Range ของฟิล์มได้ทั้งหมด ตั้งแต่ density ต่ำสุดจนถึงสูงสุด หรือพูดง่ายๆ ว่าสามารถเก็บรายละเอียดของ Original Negative ได้ทั้งหมด ไม่มีตกล่นนั่นเองครับ ถ้าเรา Record ไฟล์นี้กลับลงไปบนฟิล์ม แล้วจับต่อกับของเดิม จะไม่สามารถดูออกได้ว่า อันไหนเป็นอันไหน นิยมใช้มาหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่ Jurassic Park ภาคหนึ่ง เพราะไม่ได้ทำ DI แค่ scan ขึ้นมาเป็นบางช่วง เพื่อใส่ CG element ลงไป แล้วกับไปต่อกับของเดิม -การเก็บเป็น Log Color Space ทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กกว่าการเก็บในระบบ Linear Color Space  ที่คุณภาพเท่ากัน เป็นการประหยัดพื้นที่ฮาร์ดดิสที่แสนแพงในยุคนั้น ขอบอก ยุคนี้ก็ยังแพงอยู่ -*- -สามารถควบคุมคุณภาพในการ  Scanning และ Recording ได้ง่าย สีระบบ Log นี้จะใช้ไฟล์ Cineon หรือ DPX ที่มีขนาด 10bit ในแต่ละ RGB Channel เพื่อให้เหมาะกับ Dynamic Range ของ Negative Film ซึ่งกว้างมากเกินกว่าจะเก็บแบบ 8 bit แต่การใช้ระบบสีนี้ก็มีข้อเสียคือ ขั้นตอนการทำงานค่อนข้างยุ่งยาก คนไม่ค่อยคุ้นเคยจะไม่ชอบ จะงงว่าทำไมต้อง Log ทำไมต้อง convert ไปๆมาๆ เดิมทีใช้อยู่แต่แถวๆ ที่เทพ DI และ VFX สิงสถิตย์อยู่เท่านั้นครับ ก็ Hollywood โน่นแหละ หนังใหญ่ๆ ที่ลงทุนสูง ส่วนมากจะใช้ระบบนี้ครับ ตอนนี้ไฟล์แบบ Log ก็ตามระบบ DI มาอยู่ในเมืองไทยเรียบร้อย..... Linear color space ก็ไม่ใช่ระบบที่ไหนไกลตัวก็ระบบที่เราใช้ๆ กันอยู่ในชีวิตประจำวันนี่หละครับ รูปจากกล้องดิจิตอล, รูปที่ปรากฏอยู่ตาม internet, กล้อง mini DV, กล้อง HDV, กล้อง HD ล้วนแล้วแต่เป็นระบบสีแบบ linear ทั้งนั้น ภาพพวกนี้เมื่อลงคอมพ์ก็จะใช้ฟอร์แมต jpg ดีหน่อยก็เป็น Tif, Tga พวกนี้ การสแกน Original Negative Film เป็นไฟล์ระบบ linear มาสามารถทำได้ แต่เราต้องใช้ไฟล์แบบ 16bit ซึ่งใหญ่กว่าไฟล์ระบบ 10 bit มาก แถมยังต้องเผื่อ Head Room สำหรับ Extra Highlight ที่เกิดจากความเป็น High Dynamic Range ของฟิล์มด้วย การทำแบบนี้จะทำให้ภาพมืดลงเพื่อเก็บรายละเอียดในส่วนสว่างมากๆๆ ไว้ ครั้นพอจะใช้ 8 bit ก็ไม่พอ แก้ไปแก้มา ใส่ CG ลงไป กว่าจะทำเสร็จ lost ไปเยอะ Banding ขึ้นเป็นแถบๆ (Banding Effect มันจะทำให้สีของถาพที่ไล่โทน ไล่ไม่เนียน แยกเป็นชั้นๆครับ) ด้วยเหตุผลหลายอย่างที่ว่า Linear ไฟล์ จึงไม่ค่อยเหมาะกับการแก้สีฟิล์มเท่าใดนัก ถ้าอยากได้ Film Look จริงๆ การใช้ Log Color Space คือคำตอบครับ จากคุณ : แมวปากมัน - [ 21 ก.พ. 50 02:23:01 ]

ความคิดเห็นที่ 58 แล้ว Film Look คืออะไรทำไมจึงอยากได้กันนัก !!!??? เท่าที่ทราบตอนนี้ Film look คือภาพที่มีลักษณะใกล้เคียงกับที่ตามนุษย์เห็นที่สุด กล่าวคือการไล่โทนจากมืดที่สุดไปสว่างที่สุด จะเปลี่ยนแบบค่อยเป็น ค่อยไป เป็นไปอย่างนิ่มนวล หรือถ้าจะ burn ขาว ก็จะเป็นแบบ soft clipping ในขณะที่ Electronic Look ( หรือ VDO Look) เวลามีแสงสว่างมากๆ ก็จะขาวสนิท หายไปเลย เรียกกันว่า hard clipping ลองนึกถึงภาพหน้านางเอกเต็มจอ แล้วแสงแดดส่องลงตรงซีกซ้ายของหน้าเต็มๆ คุณว่าการสว่างแบบนิ่มๆ ยังพอเห็นรายละเอียดอยู่บ้าง กับกลายเป็นสีขาวตันๆ ไปเลย แบบไหนที่มันธรรมชาติ แบบไหนที่มันน่าดูกว่ากัน !!?? ไม่ใช่แค่ด้านสว่าง ด้านมืดก็เกิดเหตการณ์ลักษณะเดียวกัน ฟิล์มจะค่อยมืดลงแต่ยังพอเห็นอะไรอยู่บ้าง เป็นสีดำแบบนิ่มๆ เหมือนตาคนเวลามองในที่มืด ในขณะที่ VDO look จะดำปี๋เป็นก้อนๆ เลย -*- การที่จะทำให้ได้ Film Look บน Print Film เราต้องพยายามทำระบบทั้งระบบ ให้เป็น High Dymanic Range เหมือนกับที่ Original Negative Film เป็น การใช้ระบบ Log Color Space กับเครื่องที่ออกแบบมาที่แก้สีฟิล์มโดยเฉพาะ จึงป็นทางเลือกที่ถูกต้อง เพราะเค้าคิดค้นกันมาเพื่อการนี้ ใครหลายๆ คนอาจจะเถียงว่า ไม่จริง ใช้เครื่องอื่นๆ ใช้ระบบไฟล์อื่นๆ ก็ทำได้ ผมก็ไม่เถียงครับ เพราะผมก็ทำได้ แต่มันจะยุ่งยากหน่อย สู้ของที่ทำมาโดยเฉพาะไม่ได้ครับ จากคุณ : แมวปากมัน - [ 21 ก.พ. 50 02:40:19 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ถึงตอนนี้จากคำถามที่ว่า "ถ่ายด้วย HD,HDV สามารถเกรดได้กว้างเท่าฟิล์มหรือเปล่าคับ" -ขอตอบว่า ทำดีๆ ได้ครับ แต่ต้องใช้คนเก่งจริงๆ ถ้าเอาคนไม่มีความรู้มาทำก็ยากหน่อยครับ (ตรงไปไม๊เนี่ย คงไม่มีใครเอาหินมาเขวี้ยงใส่ผมนะ 555) เพราะว่ากระบวนการถ่ายและการแก้สี Film กับ Digital VDO อาจจะต่างกันก็จริง แต่สุดท้ายแล้วบนจอ Dynamic Range ของจอภาพไม่ต่างกันมากครับ จะต่างกันตรง Look นี่หละครับ ว่าจะเป็น Film Look หรือ VDO Look ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้ามี scene นึงที่เราจัดแสงแล้ว ไม่มีส่วนไหนของภาพ สว่างเกินไปที่ Digital Video จะบันทึกได้ ถ้าเราบันทึก scene ที่ว่านี้ด้วย Film และ Digital Video พร้อมกัน ความเป็น High Dynamic Range ของฟิล์มจะไม่มีความหมายครับ เพราะไม่ได้ใช้ ภาพที่ได้จะไม่ต่างกันมาก ต่างกันบ้างก็คงจะเป็นเพราะ curve ที่ตั้งไว้ในกล้องไม่เหมือนฟิล์มมากกว่า แต่ถ้าสภาพแสงเกินที่ Digital Video จะรับได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นหละต่างแน่ครับ และด้วยข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ ก็จะสามารถตอบคำถามคุณ "jearjear" ได้ดังนี้ครับ "hollywood มีการใช้กล้อง digital บ้างแล้วใช่ไหมครับ อย่างเรื่อง star war episode 3 ถ่ายทำด้วยกล้อง digital จริงใช่ไหมครับ ?" -จากที่อ่านมาและดูเบื้องหลังใน DVD ขอตอบว่าใช่ครับ แต่ไม่ทั้งหมด ในบางครั้งยังต้องใช้ฟิล์มอยู่ เพื่อถ่าย High Speed ซึ่งเป็นข้อจำกัดของกล้อง VDO อยู่ครับ และยังแอบเห็นบาง shot บาง element เป็นฟิล์มอยู่ครับ แล้วทำไมเค้าทำแล้วดูเป็นฟิล์ม ทำไมดูสวย ก็เพราะเค้า "Lighting" ดีครับ ไม่เกินที่กล้องจะแบกรับไว้ได้ มันจึงไม่มี Effect พวก Hard Clipping ให้เห็น บวกกับเทคนิคในการแก้สีดี เลยแจ่มครับ "โอกาสหน้าหนังไทย หากใช้กล้อง digital ในการถ่ายทำ ความคมชัดก็คงเทียบเท่ากันแน่นอนใช่ไหมครับ" -โหยยย... คำถามชวนให้คนตอบโดนตีหัวแบะแท้ๆ แต่ก็ตอบครับ แหะๆๆ เอาเป็นว่า ถ้าบ้านเรายังคิดว่า ซื้อกล้องที่เค้าโฆษณาว่าเหมือนฟิล์มแล้วมาวางแผละลง เสียบสายโน่นเสียบสายนี่ แล้วก็ถ่ายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอบอกว่าลำบากครับ ยังห่างไกลมาก "แล้วทำไม หนัง ที่ transfer สู่ แผ่นdvd ของไทย มันถึงได้ไม่ชัดหละครับ ไม่ว่าจะเป็นหนังไทย หนังเทศ zone 3 ด้วยกัน ฮ่องกง เกาหลี ชัด แต่ไทยไม่ชัดเลย เป็นเพราะอะไรครับ ขั้นตอนในการทำให้ชัดเท่าเขา มีค่าใช้จ่ายมากกว่าหรือเปล่าครับ" -ขอเดาเอาว่าเพราะหนังบางเรื่องได้ลิขสิทธิ์มาทำก็จริง แต่ไม่ได้ฟิล์มหรือไฟล์ต้นฉบับมาด้วย (ใครจะไปให้ เค้าต้องรักษายิ่งชีวิต แล้วยิ่งส่งไฟล์ DI ต้นฉบับมาด้วย ฝันไปเถอะ!!! 555)   เอาง่ายเข้าว่าจะได้วางตลาดเร็วๆ ดังนั้นก็เลย transfer เอาจากฟิล์ม Interpositive หรือ Internegative ที่ส่งมาพิมพ์ฉาย เอาลงเทปคุณภาพธรรมดาแบบเทปเบต้า เสียง stereo ธรรมดา สีก็เดาๆ เอา เพราะตอน transfer ปรับสีได้ร้อยแปด แถมฝุ่นมาเพียบโอกาสที่มันจะดีคงยาก DVD ที่ดีชัดสีสวย จะต้องทำจากไฟล์ DI ต้นฉบับเท่านั้นครับ ลงเทป Master ที่คุณภาพดีหน่อยแบบ HD D5 ประมาณนี้ ลงตรงๆ แล้วส่งทำแผ่นเลยครับ ไม่มี loss แล้ว "ขออีกอันครับ สุดท้ายแล้ว การ record แบบ 2k ถ้าคิดเป็น resolution มันจะเท่ากับเท่าไหร่ครับ" -ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีมาตรฐาน HD 1920x1080 (16:9 = 1.7777) กำเนิดขึ้น 2K หมายถึงขนาดดังนี้ครับ Flat 1.85                  =1828 x 988 Cinemascope 2.35(2x)  =1828 x 1556 ปัจจุบันเพื่อความเข้ากันได้กับระบบ HD จึงปรับเป็นดังนี้ครับ Flat 1.85   = 1920x1080                 (ใช้ 1.7777 แทน 1.85 ไปเลยเพราะต่างกันนิดเดียว) Cinemascope 2.35(2x) ถ้าถ่ายด้วยเลนส์ Scope จริงๆ ยังไม่สามารถทำในระบบ HD ได้ครับ เพราะความสูงของ HD แค่ 1080 ไม่พอ ต้องใช้ 1634   แต่อาจจะลักไก่ scale ความสูงลงครึ่งนึงได้ครับ (ไม่ดีๆๆๆ ห้ามเอาเป็นเยี่ยงอย่าง 5555 เพราะมันจะเบลอลงครึ่งนึง) แต่ปัจจุบันมีระบบที่เรียกว่า Super35 หนังเป็น scope ก็จริงแต่ไม่ได้ใช้เลนส์ scope แท้ๆ ถ่าย ใช้เลนส์ Flat ธรรมดาแล้วครอปบนล่างให้ได้สัดส่วนแทนครับ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ใช้ 1920x1080 นั่นหละครับ แต่บนล่างจะเป็นแถบดำ ไม่ได้ใช้เนื้อตรงส่วนนั้นครับ ส่วนที่ใช้งานจะมีขนาดเท่ากับ 1920x817 ครับ "แล้ว หนังเรื่องพระนเรศวร มีทางจะเป็น hd-dvd or blu-ray ไหมครับ" -โหย...อันนี้ต้องถามท่าน Cinephile เองแล้วครับ แต่ผมเดาว่ามีทางแน่นอน อย่าว่าแต่ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวร" หนังเก่ากว่านั้น 40 50 ปี เค้ายังจะเอากลับมาทำเลยครับ ก็ update ให้มันทันมาตรฐาน DVD ไปเรื่อยๆ อะไรได้ตังก์ ทำหมดหละครับ แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 50 03:32:18 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 21 ก.พ. 50 03:29:25 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เอ่อ.... ใครช่วยเซฟกระทู้นี้ไว้ด้วยนะครับ เผื่อมีคนถามอีกในวันข้างหน้า จะได้ยกมาให้ดูได้เลยครับ - -" ขอบคุณมากครับ จากคุณ : แมวปากมัน - [ 21 ก.พ. 50 03:33:23 ]

ความคิดเห็นที่ 61 สุดยอดจิงๆ คับ ไม่ได้ตามไม่กี่วันมาเป็นชุด ต้องเซพไว้อ่านเลย เพราะต้องอ่านหลายรอบ (555) ถามต่อคับ เดี๋ยวนี้ colorist ยังต้องเป็นชาวต่างด้าว อยู่ไหมคับ มีคนไทยมากน้อยแค่ไหน จากคุณ : ตามดู - [ 21 ก.พ. 50 12:22:00 A:125.25.192.108 X: TicketID:138535 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ... แก้ไขเมื่อ 27 ก.พ. 50 02:54:43 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 21 ก.พ. 50 15:02:43 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณมากๆครับ คุณแมวปากมัน กระจ่างเลยครับ กับทุกความสงสัย อย่างนี้ในทุกวันนี้ หนังไทยนิยม transfer to 2k ก็เพียงพอต่อ hidef แล้ว อีกทั้งโอกาสหน้าหากความละเอียดสูงขึ้นไปถึง 3000 เส้น ก็ไป record original negative ใหม่ก็ได้ มิน่าหนัง hollywood หลายๆเรื่อง ที่ฝรั่งนำกลับมาฉายใหม่ในระบบ hidef ถึงได้มีไว มีเร็ว เพราะเหตุนี้เอง ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ จากคุณ : ศิษย์เก่า mp (jearjear) - [ 21 ก.พ. 50 19:24:18 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ที่ผมเคยเห็นรู้สึกจะไม่ใช่ฝรั่งครับ เห็นผมดำๆ น่าจะมาจากแผ่นดินใหญ่(อิอิ) ครับ ผมก็เชื่อว่าเป็นเรื่องของ "โอกาส" ครับ ถ้าเราไม่ยึดติดกับตัวบุคคล หรือ กลุ่มคนเดิมๆ ที่คุ้นเคยกันเท่านั้น หรือที่เรียกว่า ให้คนอื่นได้"เกิด"บ้าง ไม่แค่วงการหนังครับ วงการอื่นๆด้วย ก็น่าจะไปได้ไกลกว่านี้...อย่าพึงไปไหนนะครับ เดี๋ยวมีปัญหามาถามอีกครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : ตามดู - [ 23 ก.พ. 50 11:29:02 A:125.25.203.223 X: TicketID:138535 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ... แก้ไขเมื่อ 27 ก.พ. 50 02:54:05 จากคุณ : แมวปากมัน - [ 23 ก.พ. 50 14:56:49 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ตาม link ห้อง blue planet มาค่ะ ก็พบว่า อ้าวกระทู้นี้นี่เอง เคยและมาอ่านแล้วนี่นา (ดีจังที่มีคนชอบกระทู้นี้เหมือนกัน) จากคุณ : ไร้นาม - [ 24 ก.พ. 50 00:49:51 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ว่าแล้วว่าต้องเดือดร้อน ขอลบบาง คห. นะครับ เพื่อความสมานฉันท์ - -" จากคุณ : แมวปากมัน - [ 27 ก.พ. 50 02:53:24 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ตามมาดุตามลิงค์ค่ะ จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 8 มี.ค. 50 02:40:21 ]