| เกรด A -> 9-10 คะแนน (62 คน) |
| เกรด B -> 7-8 คะแนน (20 คน) |
| เกรด C -> 5-6 คะแนน (2 คน) |
| เกรด D -> 3-4 คะแนน (0 คน) |
| เกรด E -> 1-2 คะแนน (0 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 84 คน |
"ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" องค์ประกันหงสา ... จุดเริ่มต้นที่เยิ่นเย้อ แต่สนุก
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&group=2&month=01-2007&date=24&blog=1
ความเดิมจากตอนที่แล้ว... แม้ 'องค์ประกันหงสา' จะมีจุดบกพร่องให้รู้สึกไม่ดีอยู่ก็ตามที แต่สิ่งที่ท่านมุ้ยทำในครั้งก่อน ผมก็ยังรู้สึกสนุก และได้ความบันเทิงเป็นชิ้นเป็นคำ ที่น่าจดจำยิ่งไปกว่า "สุริโยไท"
"ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ตอน 'ประกาศอิสรภาพ' ... ประวัติชีวิตบทต่อมาที่เริ่มต้นขึ้นในวัยพระชนมายุ 15 พรรษา ของ "พระองค์ดำ" บนเส้นทางการปลดปล่อยพันธนาการไร้เอกราชที่ อโยธยาศรีรามเทพนคร ต้องจำทนมาเป็นเวลาสิบกว่าปี ภารกิจอันเข้มข้นแห่งสายเลือดที่ องค์สมเด็จพระนเรศวร ทรงต้องต่อสู้เพื่อการยึดคืนอิสรภาพที่สูญเสีย กลับมาสู่อาณาประชาราษฎร์ไพร่ฟ้า ผู้ที่เหยียบย่ำแผ่นดินสยามแห่งนี้ทุกคน
หลังจากที่ ท่านมุ้ย (ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล) ได้ประเดิมเปิดหน้าประวัติศาสตร์ในช่วงวัยเด็กขององค์ดำเอาไว้ด้วยความเข้มข้น ...การสานต่อในบทที่สองแห่งเรื่องราวมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่อีกหนึ่งในสยาม หนนี้มาพร้อมกับความสนุกที่ผมรอโอกาส อยากจะเรียกคำว่า "ดี" ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ และเหนือไปกว่านั้น ก็ขอต่อท้ายคำว่า ดี อีกทีหนึ่งว่า "...เยี่ยม"
หนังในตอนนี้ มีความไหลลื่น และลงตัว พอดีพอเพียง มากไปกว่าตอนก่อน ...จากที่เคยประสบปัญหาพบความน่าเบื่อ อันมาจากความเยิ่นเย้อ ยืดเยื้อ ท่านมุ้ยได้ทรงทำการบ้านและศึกษาใจคนดู(ในระยะเวลา 1 เดือน) มาเป็นอย่างดี พร้อมปรับจุด แก้แนวเปลี่ยนกลยุทธ์การนำเสนอที่ถึงจุดอิ่มตัว ไม่มากไม่น้อย ไม่ขาดไม่เกิน ทุกๆอย่างได้ใส่เข้ามาเป็นองค์ประกอบด้วยความเหมาะสม และเหมาะเจาะกับความเป็นภาคสอง ...จุดกึ่งกลางของไตรภาค ซึ่งงจะควบเนื้อหาเกริ่นนำเดินทัพหน้า ก่อนจะส่งไม้ต่อเพื่อ
ให้ฉากสงครามเป็นกองสนับสนุน
2 ชั่วโมง 30 นาที ที่ผ่านไปนี้ ไม่มีช่วงไหนที่ผมรู้สึกจะหลับแหล่มิหลับแหล่ แม้กระทั่งช่วงแรกมันจะยังดูเนือยๆ เนืองๆ ไปบ้าง ก็ไม่หวั่นใจจะจำเบื่อ ...ความกระชับของเรื่องราว และความว่องไวของตัวหนัง ผลักดันให้คนดูตามติดชีวิตพระนเรศวรไปในทุกฝีพระบาท ไม่ต้องนั่งทอดม้วยแหนงหน่ายในอารมณ์ ไม่จำ(ต้องทำ)เป็นกระสับกระส่ายโขยกเขยกเก้าอี้ให้ตาและตัวตื่นจนคนอื่น(ที่นั่งข้างๆ)รู้สึกรำคาญในหทัย
เมื่อหนังเดินมาจนถึงครึ่งทาง และก้าวเข้าสู่จุดไคลแม๊กซ์แรก ...ฉากประกาศอิสรภาพ คือจุดเริ่มต้นในการปักธงรบ ไตรภาคนเรศวรพร้อมจะนำคนดูเข้าสู่สมรภูมิแห่งความมันส์ ให้นับถอยหลังจากนี้ไปอีกหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของภาคนี้จะทำให้คุณต้องลืมตาตื่นเต็มชั้นหนึ่งจนสุดๆไปถึงชั้นสอง ...ความตื่นตาตื่นใจในภาพ-เสียง และความตื่นเต้นในอารมณ์ จะเป็น สองความตื่นที่ประคับประคองให้คนดู ลืมถามนาฬิกาว่า 'อีกกี่นาทีหนังจะจบเนี่ย ?'
สิ่งที่เคยโดนตัดคะแนนความดีของภาพรวมในภาคก่อนไปหลายแต้ม มาคราวนี้ ก็สมหวังดังใจประสงค์ผมไม่อยากพบเห็น ...กับเทคนิคที่ขวางตาขวางใจทั้ง การตัดฉากโอโมขาวแวบ (เปลี่ยนไปใช้เป็น เซียงเพียวอิ๊วดับวูบแทน) หรือจะ การสนทนาภาษาแร๊พ ไม่มีอีกแล้วในภาคนี้
หนังตอนนี้ มีความกลมกล่อมของรสสาระและกลิ่นบันเทิง ที่เข้าเนื้อและไปเนียนๆด้วยกันได้ การตัดต่ออารมณ์กลมกลืนไม่มีอันสะดุด ...ประวัติศาสตร์อันเข้มข้นถูกปรับประยุกต์ให้กลมเกลียวกับความเผ็ด(แอ๊คชั่น) ความเปรี้ยว(มุขตลก) ความหวาน(โรแมนติก) และความละมุน(ดรามา) คนกินจะอร่อยได้โดยไม่รู้สึกถึงความประดักประเดิดแบบที่อาจเคยๆฝืดคอกันมาในตอนก่อน
ส่วนของทีมนักแสดงที่ผนึกกำลังความเข้มข้นจากทั่วฟ้าเมืองไทยมาประชันกัน ในภาคนี้ (โดยรวมๆ แล้วทั้งเป็นตัวเอกหรือไม่เอก ต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีทั้งสิ้น) มีหลายบทบาทที่เป็นตัวของตัวละครได้อย่างน่าประทับใจ อาทิ..."พระนเรศวร" ซึ่งสมแล้วกับที่ท่านมุ้ยทรงประธานโอกาสให้ พ.ต.วันชนะ สวัสดี ได้มารับบทราชันย์แห่งไฟ ผู้พันเบิร์ดให้ได้ทั้งความแข็งกร้าว-หวั่นไหว ดุดัน-อ่อนโยน และภาพลักษณ์ผู้นำที่ยิ่งใหญ่-ติดดิน แม้จะเป็นเรื่องแรก ฝีมือยังใหม่สดซิง แต่ความเต็มที่+ตั้งใจที่ใส่ลงไป ตีค่าเป็นคะแนนสอบการแสดงได้เต็มสิบเลยทีเดียว , "พระยาราชมนู (บุญทิ้ง)" ของ คุณนพชัย ชัยนาม เป็นเลิศบู๊สู้ เป็นเอกบู๊รัก เป็นรองที่มีเสน่ห์ประกบพระเอกได้อย่างสูสี , "เลอขิ่น" ของ ทราย เจริญปุระ กับ "มณีจันทร์" ของ แอฟ-ทักษอร มอบลีลาความเป็นหญิงที่งามงดทั้งการรบและการ(น่า)รัก , "พระชัยบุรี" กับ "พระศรีถมอรัตน์" คือผงชูรสชั้นดีที่ช่วยปรุงแต่งความตลก ลดหย่อนความตึงเครียดแทบทุกฉากที่มีเขากับเขาร่วมจอ
เมื่อถามถึงความโดนที่ผมมีต่อภาคนี้ มีหลายสิ่งที่โดน แต่ถ้าเอาเฉพาะโดนใจ ผมคงจะต้องขอยกฉาก "ประกาศอิสรภาพ" มาพูดถึง ... ความโดนในที่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากการแสดงที่เข้าถึงความเป็นพระนเรศวรของผู้พันเบิร์ดเท่านั้น แต่มันยังมาจากความรู้สึกที่สะเทือนใจ อันล้นปรี่ไปด้วยความซาบซึ้ง (ที่อุดมน้ำตาซึ่งไหลพรั่งพรูโดยไม่ต้องหาจังหวะเค้นหาจังหวะบีบเอาเอง)
ซาบซึ้งที่วันนั้นเรายังมีพระนเรศวรทรงกระทำการทุกอย่างเพื่อรักษาไว้ซึ่งผืนแผ่นดินสยาม ...และในวันนี้ เราก็มีองค์ในหลวงภูมิพลที่ทรงกระทำการทุกอย่างเพื่อคืนความสงบสุขสู่จาตุภูมิขวานทอง ...แม้ว่ามันจะยากลำบากซักขนาดไหน พระองค์จะทรงเหน็ดเหนื่อยสักเท่าใด องค์กษัตริย์ผู้เป็นมหาราชทั้งสอง ก็ยินยอมจะสละทุกสิ่ง (กำลังกาย กำลังสมอง กำลังใจ) เพื่อคืนความเป็นดีอยู่ดีให้กับแผ่นดินเราเสมอมา
แม้ยุคสมัยจะต่างพ.ศ. แม้สงครามจะต่างรูปแบบ แต่กษัตริย์ที่ต่างพระองค์ ต่างก็ยินดีจะทำไม่แตกต่างเพื่ออิสรภาพของเราราษฎรเป็นสำคัญ
"ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ตอน 'ประกาศอิสรภาพ' ... สามารถทำตามเป้าประสงค์ความต้องการของผมได้หมดทุกอย่าง ไม่หลงเหลือค้างคาความรู้สึกเก่าๆที่ทำเอาภาคแรกกลายเป็นตอนที่ผมเฉยๆ ...ตอนนี้อาจจะยกภาคนี้ให้เป็นที่หนึ่งก็จริง แต่เมื่อถึงเดือนธันวาเมื่อไร ก็หวังว่าตำแหน่งสุดยอดหนังไทยแห่งปี จะตกไปเป็นของภาคสุดท้ายนะครับ ท่านมุ้ย
ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง...ครับ
เกรด A
สำหรับทุกคนที่ได้เผลอเข้ามาในกระทู้รีวิวนี้ ...อย่าเพิ่งรีบออกไปนะครับ อยากขอให้ช่วยลง ความเห็นของคุณกับความรู้สึกต่อหนังเรื่องนี้ ได้ประทับเก็บไว้ในกระทู้นี้ด้วย ... "1 Comment ของคุณ มีค่าเท่ากับ 1 Happy ของจขกท."
ขอบคุณครับ รักคนอ่าน
ปล. ขอบคุณ คุณ SPEED STAR ที่ทักท้วงชื่อของกรุงอโยธยามาทางหลังไม้ด้วยครับ
แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 50 05:28:31
แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 50 09:34:55
แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 50 09:07:04