CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    +++ ดูแล้วมาคุยกัน ... Dreamgirls , วันที่ ธุรกิจ กลืนกิน ศิลปะ +++

      ชอบมาก ห้ามพลาด (10 คน)
      ชอบ (13 คน)
      เฉยๆ (5 คน)
      ไม่ชอบ (2 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (1 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 31 คน

     32.26%
     41.94%
     16.13%
     6.45%
     3.23%


    เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป และ อ่านความเห็นเพื่อนๆคนอื่น และ ชวนมาพูดคุยแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=02-2007&date=18&group=1&blog=1

    ...ผมดูหนังเรื่องนี้ไล่เลี่ยกับได้อ่าน บทสัมภาษณ์นักร้องเสียงใส ศรัณย่า ส่งเสริมสวัสดิ์ ถึงเหตุผลในการตัดสินใจออกจากแกรมมี่หลังจากอยู่มานานนับสิบปี ว่าเป็นเพราะเธอไม่ค่อยมีโอกาสได้ออกอัลบั้มที่สะท้อนตัวตนอย่างที่เธอเป็น เธอเบื่อที่จะต้องเอาเพลงเก่าๆมาร้องใหม่ในสไตล์แกรมมี่ ทางค่ายคงคิดว่า แนวเพลงของเธอนั้นมัน ไม่ขาย แต่ถ้าเอาเพลงเก่ามาร้องใหม่ด้วยเสียงสวรรค์ของเธอมัน ขายได้

    เธอเหมือนกับหลายๆคนในวังวนบันเทิง Dreamgirls

    เหล่าศิลปินที่เริ่มต้นจับมือกันด้วยใจรักในงานดนตรี เริ่มต้นกันอย่างเป็นครอบครัวเช่นในหนังที่ร้องเพลงกันอย่างสวยหรูว่า we are family เป็นครอบครัวเดียวกันของอากู๋และอาเฮีย ก่อนที่คำว่า ศิลปะ นั้น จะถูก ธุรกิจ กลืนกิน ก่อนที่คำว่า ครอบครัว นั้น จะถูกแทนที่ด้วย องค์กร

    และ ศิลปิน ในสังกัดเหล่านั้น ก็จำต้องเปลี่ยนสถานภาพตาม

    เจมส์ เออลี่  เป็น ดาวค้างฟ้าที่กำลังจะร่วงหล่นมา แต่เมื่อโปรดิวเซอร์เปลี่ยนลุคเปลี่ยนแนวดนตรี มันทำให้ตัวเขากลับมาขายได้ แต่นานวัน เขาหลอกตัวเองไม่ได้ว่า เพลงเหล่านั้น ไม่ใช่ตัวตนของเขา เขาอยากจะนำเสนอดนตรีโซลที่สื่อจิตวิญญาณของตัวเอง แต่ นายทุนไม่เห็นด้วย

    ดีน่า โจนส์ เป็นดาวเจิดจรัสแต่ต้องใช้ชีวิตตามเส้นทางของสามีผู้ควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์ เลือกให้เธอร้องในแนวเพลงที่เธอควรร้อง เล่นหนังในบทที่เธอควรเล่น ทั้งที่เธอเองก็รู้แก่ใจว่านั่นไม่ใช่ตัวตนที่เธอต้องการ

    เอฟฟี่ มีพลังเสียงร้องเกินมนุษย์มนา แต่ต้องมาเป็นคอรัสร้องอู้วอ้าวอยู่แถวหลังพร้อมเต้นขยับตัวไปมา ทั้งที่ ก่อนจะเข้าสู่วงการ เธอเป็นนักร้องนำ เมื่อต้องแลกกับการเป็นศิลปิน เธอต้องถอยไปเป็นคอรัสเพราะ โปรดิวเซอร์บอกเสียงเธอเด่นเกินไป แต่เราคนดูก็เดาได้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของโปรดิวเซอร์รายนั้นว่า เพราะ รูปร่างหน้าตาเธอไม่ขาย

    ทั้งสามคน ...เป็นตัวแทนของศิลปิน ที่มาเป็น ลูกจ้าง ก่อนที่จะค่อยๆเปลี่ยนสถานภาพกลายเป็น เหยื่อ ของวงการธุรกิจ ที่ตัวตนของตัวเองไม่มีโอกาสได้แสดงออก ด้วยเหตุผลเดียวคือมัน ไม่ขาย

    ทั้งสามคน ... เป็นบทเรียนให้เราได้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่เราร่วมทำงานกับ ปีศาจหรือคนชั่ว หนทางรอดมีอยู่แค่สองทาง นั่นคือ ต่อต้านจากมา หรือ ยอมเป็นพวกเดียวกับมัน

    ไม่ใช่แค่อาชีพนักร้องเหมือนในหนังเท่านั้น หลายๆอาชีพเกี่ยวข้องแวะเวียนกับศิลปะ ไม่เว้นแม้แต่อาชีพอย่างหมอหรือพยาบาล ซึ่งเวลาทำงานก็ต้องมีใบประกอบโรคศิลป์ นั่นแปลว่า ต้องมี ศิลปะ ในการทำงาน

    ดังนั้น กับอาชีพที่ต้องมีศิลปะควบคุ่ เมื่อใดก็ตามเริ่มปล่อยให้ ธุรกิจ รุกคืบ เข้ามา ก็ย่อมตามมาสู่การพยายามประนีประนอม และ เมื่อเวลาผ่านไป หากเจ้าตัวไม่มีหลักยึดมั่นคง จุดประนีประนอมนั่นก็จะค่อยๆจางลงแล้วหายไป

    เหมือนวงการเพลงบ้านเราที่เจอได้บ่อยไปกับ โปรดิวเซอร์มักง่าย สร้างเพลงของตัวเองแต่แฟนเพลงจับได้ทันทีว่า "เอ๊ะ ไอ้นี่มันเพลงของวง Luna sea นี่หว่า" หรือ "อ๊ะ ไอ้คอนเสิร์ตที่เล่นให้ดูตะกี้มันโชว์ของมาดอนน่าทั้งดุ้น"

    แล้วเราที่จุดประนีประนอมจางหายไป หากถูกคนทักท้วงว่าผลงานของเราก๊อปเขามา เราก็จะเริ่มรู้สึกว่า


    “โอ้ว นี่ไม่ใช่การลอกหรอก มันแค่ ได้แรงบันดาลใจ”


    ถึงชาวบ้านจะบอกว่าก๊อปชัดๆ แต่แล้วเราก็จะเริ่มรับได้ว่า


    “โอ้ว เพลงนี้มันเหมือนกับเพลงต้นฉบับแทบทั้งเพลง ก็เพราะ เพลงมันมีอยู่ไม่กี่โน้ต ต่างหากละ”


    ... และเมื่อถึงจุดนั้น เราก็จะกลายเป็น ปีศาจ หรือ นักธุรกิจ เต็มตัวอย่างที่ เคอร์ติส เทย์เลอร์ เป็น และ เราก็จะมองอะไรเห็นเหมือนนักธุรกิจมอง นั่นคือ เห็นคน เป็นแค่สินค้า ไม่มากไปกว่านั้น เราพร้อมจะบดขยี้ กีดกัน จ้องทำลาย ฝ่ายตรงข้ามกับเรา ทั้งที่เขาหรือเธออาจเป็นเพื่อนหรือคนรัก

    ผลที่จะตามมาก็คือ การทำร้ายใจคนใกล้ตัว ดั่งเช่น เอฟฟี่ ที่เจ็บปวดเพราะถูกทรยศจากคนที่เธอไว้ใจมากที่สุด หรือ ดีน่า ที่เจ็บปวดเมื่อเขาสารภาพในวันหนึ่งว่าเลือกเธอมาร้องเพลงด้วยสาเหตุอะไร


    ...ตัวละครทั้งหลายในหนังล้วนมีความฝัน และ การต้องไปให้ถึงฝันมันก็ต้องแลกกับอะไรหลายอย่างในชิวิต ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย , ศักดิ์ศรี , จิตวิญญาณ ฯลฯ แถมบางคนยังต้องแลกกับชีวิตทั้งชีวิต เช่น ดีน่าที่แม้มีชีวิตก็เหมือนถูกจองจำในคุกแห่งสัญญาที่เซ็นไปกับมือ

    มันทำให้คนดูคงต้องย้อนกลับมาคิด กลับมามองตัวเองว่า เรายอมแค่ไหนเพื่อไปให้ถึงฝัน เราสูญเสีย เราแลกอะไรไปแล้วบ้าง เราประนีประนอมไปแค่ไหน เราสูญเสียตัวตนหรืออุดมคติในตัวไปแล้วหรือยัง และ เราหลวมตัวกลายเป็นปีศาจไปอย่างเต็มตัวไปแล้วหรือยัง

    ... ช่วงหลังผมเริ่มมั่นใจมากขึ้นกับการเลือกหนังที่จะเข้าไปนั่งดูในโรง เริ่มรู้ว่าตัวเองมีแนวโน้มจะเสียดายตังค์กับหนังแบบไหน นอกจากหนังสงครามแล้วหนังเพลงพันธุ์แท้แบบ Chicago ก็ไม่ใช่แนวโปรดปรานของผม เพราะผมไม่สนุกอย่างแรงกับ Phantom of the opera หนังเพลงที่ยกละครเวทีขึ้นจอโดยไม่มีความเป็นหนังในตัวเท่าไรนัก , ไม่ได้ปลื้มมากมายเหมือนคนอื่นๆกับ Chicago แต่ก็ทึ่งและชื่นชมในหลายๆฉากที่ใช้เพลงสื่อสารเนื้อหาและความรู้สึกตัวละครอย่างมีกึ๋น มีเพียง Moulin rouge ที่ผมหลงใหลเป็นพิเศษและจะว่าไป มันก็เป็นหนังเพลงที่แหกขนบหนังเพลงทั่วๆไปกับความโมเดิร์นของการนำเสนอและตัวเพลง

    ผมเลือกไปดู Dreamgirls ด้วยเหตุผลเดียวคือ การยกพลขึ้นชิงรางวัลในที่หลายๆเวที จึงอยากไปพิสูจน์ว่าหนังเพลงเรื่องนี้มีอะไรดี แถมยังแซงตัวเต็งหนังเพลงอีกเรื่องของปีอย่าง Rent ที่ออกฉายแล้วล้มคว่ำไม่เป็นท่า

    จากละครบรอดเวย์ที่โด่งดัง จากเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากศิลปินตัวจริงเสียงจริงกลุ่ม The Supremes ที่นักร้องนำคือ ไดน่า รอสส์ มาสู่ หนังใหญ่ที่เป็นกลุ่มศิลปิน The Dreametts โดยผ่านการคุมทีมจาก บิลล์ คอนดอน คนเขียนบท จาก Chicago และ อดีตผู้กำกับจากหนัง Kinsey และ Gods and Monsters ซึ่งผันตัวมากำกับหนังเพลงของตัวเองเป็นเรื่องแรก จากประสบการณ์ใน Chicago ส่งผลให้เขามีความชำนาญในการนำเสนอ หนังเพลง ออกมาได้มากกว่า การยกละครเวทีมาขึ้นจอโดยไม่ดัดแปลงอะไรเลย

    นั่นจึงทำให้ ผมชอบ Dreamgirls มากกว่าและรู้สึกว่ามันดีกว่า Phantom of the opera แต่ในแง่ชั้นเชิงของการนำเสนอนั้นยังห่างไกลจาก Chicago มีเพียงสามสิ่งที่เป็นเหมือนกุญแจสำคัญ ที่ช่วยผลักดันหนังให้มีความสนุกและความโดดเด่นเพียงพอในการกลบ ตัวบทที่แสนจะธรรมดาและการดำเนินเรื่องเรื่อยๆเปื่อยๆ นั่นคือ

    สิ่งที่ชอบsmile

    1. เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน  ... เธอมาพร้อมการแสดงชั้นเยี่ยม หนังเรื่องนี้คือ โชว์ของเธออย่างแท้จริง ยิ่งในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ยิ่งทำให้รัศมีสาวน้อยจาก American idol คนนี้ดูดีขึ้นไปอีก ถึงการแสดงจะดีมากแต่อาจไม่ได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดองแบบ A++ แต่ คะแนนโบนัสพิเศษของเธอบวกมากับความอลังการงานเสียง ที่โชว์พลังกันไม่เกรงใจลำโพงโรงหนัง จนผมหวั่นๆว่าลำโพงจะแตกไป เธอบีบอารมณ์ของคนผิดหวังไปพร้อมๆกับความเป็นคนที่อีโก้จัด ได้ดี ชนิดที่ว่าในบางมุมเราอาจสงสารกับการถูกหลอกอย่างยาวนาน , เราอาจรู้สึกหมั่นไส้ตอนไม่ยอมร้องเพลงกับนักดนตรีคนใหม่ แต่ ต่อมาเราก็พร้อมเป็นกำลังใจให้เธอกับความมาดมั่น

    2. ทีมนักแสดงในหนัง  ... ใครเคยคิดว่า บียอนเซ่ มีดีแค่ เสื้อผ้าหน้าหุ่น เปลี่ยนใจใหม่ได้ในหนังเรื่องนี้ เธอได้แสดงอารมณ์มากขึ้นหลังจาก โชว์เนื้อโชว์หุ่นอยู่แต่หนังตลกไม่สนทักษะการแสดงอย่าง Austin power หรือ Pink panther / ใครจดจำได้แค่ภาพ เอ็ดดี้ เมอฟี่ย์ เล่นตลกบ้าๆบอๆ เตรียมใจชมฝีมือการแสดงที่ควรค่ากับการเข้าชิงรางวัลออสการ์ได้จากหนังเรื่องนี้ ในบทตัวละครที่เริ่มต้นอย่างลำพองก่อนจะค่อยๆถดถอยจนต้องเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจจนถึงขีดสุด หลายฉากที่แววตาของเขาสะท้อนความผิดหวังกับชีวิตได้ยอดเยี่ยม นี่เป็นการรวมพลนักแสดงผิวสีที่เคยมีฝีมือหรือเกือบได้โชว์ฝีมือ มาปลดปล่อยความสามารถกันเต็มที่ ชนิดทำเอาเจ้าของรางวัลคนล่าสุดอย่าง เจมี่ ฟ็อกซ์ หมองไปเหมือนกัน

    3.เพลงและฉากร้องเพลง  ... ล้วนทรงพลังและสะท้อนอารมณ์ตัวละครได้อย่างเต็มเหนี่ยว ฉากร้องเพลงที่น่าทึ่งสองฉาก คือ And I'm Telling You (I'm Not Going) ที่เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในฉากนี้แต่เพียงผู้เดียว
    และ ฉากการเคลื่อนมุมกล้องตามตัวละครที่พยายามกล่อมให้เชื่อว่า เราคือครอบครัวเดียวกัน ในตอนต้นที่พยายามโน้มน้าว เอฟฟี่ ให้ยอมลดบทบาทมาเป็นคอรัส (จำชื่อเพลงไม่ได้)

    สิ่งที่ไม่ชอบmad

    1.บทหนังและการเล่าเรื่อง  ... ผมรู้สึกว่า ตัว พล็อตหนัง เอื้อให้หนังสามารถเข้มข้นมากกว่านี้ได้ (คนผิวดำที่เป็นพลเมืองชั้นสอง , การต่อสู้ระหว่างความฝันและการสูญเสียตัวตน , ความสัมพันธ์ระหว่างคนรักและมิตรภาพบนผลประโยชน์ทับซ้อน ฯลฯ) แต่ หนังเล่าเรื่องเรียบเรื่อย ไม่มีจุดเน้นหนัก จุดที่จะเน้นก็ไม่ได้อารมณ์ร่วม ก่อนจะจบลงแบบมีกลิ่นน้ำเน่าลอยฟุ้งมาแต่ไกล
    ซึ่งส่วนตัวคิดว่าถ้าจะเน่าทั้งที น่าจะเน่าให้ขยี้อารมณ์คนดูกันไปเลย แต่หนังกลับทำแบบนั้นได้ เฉพาะช่วงที่เป็น “เพลง” เท่านั้น ส่วนที่เหลือ แสนจะธรรมดาสามัญ ชนิดที่ผมคิดว่า ถ้าไม่ได้สามข้อข้างต้น แต่เป็น นักแสดงที่อ่อนกว่านี้ เพลงไม่ทรงพลังเท่านี้ หนังอาจตกฮวบไปมากกว่านี้เยอะ

    สรุป  ... คนรักหนังเพลง ห้ามพลาด คนรักหนังดราม่า ไม่เสียดายตังค์ หนังไม่น่าเบื่ออย่างที่ผมกริ่งเกรง เพลง คือ ปัจจัยหลักๆที่หนังนำเสนอได้อย่างเยี่ยมยอด แต่หากไม่ได้ชอบฟังเพลงแต่อย่างใด ไปดูอาจเบื่อๆได้ เพราะจะรู้สึกว่า จะร้องอะไรกันนักหนา แก้วหูคนดูจะระเบิดมิระเบิดแหล่อยู่แล้ว

    ป.ล. เพิ่งไปดูมา ขอเชียร์ Music & lyrics ครับ อาจไม่ใช่หนังดีมากๆ แต่ หนังน่ารักสุดๆ ขายเสน่ห์นักแสดงนำโดยแท้ และ ทั้งคู่ก็ขายได้เสียด้วย เพลงเพราะอีกต่างหากห้ามพลาดๆๆ

    ป.ล.2 ... เพื่อนๆที่รออ่าน Nada sou sou ต้องขออภัยไปก่อนนะครับ เพราะเรื่องนี้ทางแม็กกาซีน Cream (กำลังจะออกเล่มแรกเดือนมีนา มีบทความ Final score ของข้าพเจ้าด้วยจ้า) จะนำไปลงในฉบับเมษา คงต้องลงหนังสือก่อนแล้วจะเอากลับมาลงในนี้อีกทีครับผม



    haha ดู(อ่าน)หนัง(สือ) ให้ข้อคิด ชวนคุณคลิกไปอ่าน ไปคุย และ ร่วมเป็น 1 ความคิดเห็นในหนังที่คุณเคยดู ที่ http://aorta.bloggang.com

    Babel , เราเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ไปแล้วหรือยัง
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=02-2007&date=12&group=1&blog=1

    Rough , จาก H2 มาสู่ Touch และได้เวลา Rough
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=02-2007&date=09&group=1&blog=1

    Curse of the Golden Flower , ความเน่าหนอนฟอนเฟะของสถาบันครอบครัว
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=02-2007&date=06&group=1&blog=1

    ขอเพียงได้รัก , แค่ได้รักก็สุขใจ
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=02-2007&date=14&group=3&blog=1

    The Devil Wears Prada , (จากหนังสือมาเป็นหนัง) ร้ายก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงhttp://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=10-2006&date=08&blog=1

    The Prestige , คุณตั้งใจดูอย่างใกล้ชิดแล้วจริงๆหรือ ?
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=11-2006&date=13&group=1&blog=1

    The Phantom of the Opera , ภายใต้หน้ากากมีเพียงความว่างเปล่าhttp://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=02-2005&date=02




    รักคุณ ขอฝาก"หนังสือรัก" พ็อกเก็ตบุ้คเล่มแรก ที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม โดย "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" จ้า

     
     

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 20 ก.พ. 50 16:47:05 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com