CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    +++ ดูแล้วมาคุยกัน ... ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 2 , จะสนไปทำไมกับเรื่องอิสรภาพที่ไกลตัว +++

      ชอบมาก ห้ามพลาด (79 คน)
      ชอบ (13 คน)
      เฉยๆ (9 คน)
      ไม่ชอบ (1 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 102 คน

     77.45%
     12.75%
     8.82%
     0.98%
     0.00%


    ideaอ่านบทความภาคที่แล้วก่อนได้ที่

    ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค1 , ไทยจะสิ้นชาติไม่ใช่เพราะใคร หากมิใช่เพราะไทยด้วยกัน
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=01-2007&date=22&group=1&blog=1





    ... เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป + อ่านความเห็นเพื่อนๆคนอื่นๆ และ เชิญชวนมาแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ ข้อเขียนของคุณจะไม่ตกไปตามกาลเวลาที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=02-2007&date=22&group=1&blog=1


    ....ในขณะที่เรานั่งแช่แอร์กินขนม จิ๊จ๊ะกับเพื่อนทางเว็บแคม พลิกตัวไปแอบเปิดแคมฟรอกลุ้นหวิว หรือ นอนเชียร์ลิเวอร์พูลให้ถล่มบาเซโลน่า เราไม่ทันรู้ตัวหรอกว่า โอกาสเหล่านี้ของเรา มีที่มาอย่างไร บรรพบุรุษของเราต้องต่อสู้เลือดตาแทบกระเด็นเพียงใด จึงจะทำให้เรามีกินมีอยู่เช่นทุกวันนี้

    ...หากในอดีต พวกเขาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ชาวบ้านบางระจัน หรือ สมเด็จพระนเรศวร ฯลฯ คิดว่า "อยู่เป็นทาสของเขาก็พอถูไถไม่เห็นจะลำบากอะไรมาก" "อยู่เป็นเชลยของเขาก็แค่โดนดูถูกแต่มันก็พอมีพอกิน จะ ต่อสู้ ไปทำไมให้เปลืองเหงื่อเปลืองเลือด"

    ทุกวันนี้ เราอาจจะยังไม่มีแม้แต่เพลงชาติให้ร้องตอนแปดโมงเช้า หรือ เราอาจต้องร้องเพลงชาติของประเทศอื่นตอนนักบอลเราอยู่ในสนาม

    ...ไม่แปลกอะไร ที่ ผมหรือใครหลายๆคนไม่ค่อยได้กลับมาหวนคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ เพราะ เราเคยชินกับชีวิตสำเร็จรูป เราหมกมุ่นกับวันข้างหน้า เรามัวแต่ห่วงว่าตัวเราจะรวยหรือจน จะได้เลื่อนขั้นหรือถูกเลย์ออฟ เราสนใจแต่ตัวเองจนลืมหันมานึกถึง ประเทศชาติบ้านเมือง แถมหลายคนยังพาลคิดไปถึงกับว่า

    “จะสนใจไปทำไมกับเรื่องในอดีตที่ไม่มีผลกับปัจจุบัน”
    “จะสนไปทำไมเรื่องอิสรภาพให้วุ่นวายมันไม่ใช่ปัญหาในตอนนี้”
    "จะสนไปทำไมกับเรื่องอิสรภาพที่ไกลตัว"



    เข้าใจว่า ตอนเสียอิสรภาพที่ผ่านๆมาทุกครั้งในอดีต คนในชาติส่วนใหญ่ก็คงคิดเช่นนี้ คิดแต่เรื่องของตัวเอง ว่าเราจะอยู่จะกินอย่างไร ใครจะใหญ่ใครจะครองเมือง เรามองแต่ภาพเล็กๆคือภาพตัวเอง พวกพ้องของตัวเอง แต่ไม่เคยมองเห็นภาพของขวานด้ามใหญ่บนแผนที่

    ...ภาคแรกของตำนานสมเด็จพระนเรศวร ชี้ให้เห็นว่า ความพินาศฉิบหายวายป่วงของชาตินั้น สุดท้ายแล้ว ต้นเหตุใหญ่สุดล้วนเกิดขึ้นจากความแตกแยกของคนในชาติด้วยกัน ภาคสองนี้ เราจะได้เห็นว่า หากเราสูญเสียอิสรภาพไปแล้วนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยกว่าจะได้คืนมา บรรพบุรุษของเราต้องแลกอะไรไปบ้างเพื่อทวงเอกราชกลับคืน แล้ว มันก็ชวนให้ได้ฉุกคิดว่า แล้วทุกวันนี้หรือที่ผ่านมา เราเคยทำอะไรเพื่อชาติไทยบ้างแล้วหรือยัง

    เราคือส่วนหนึ่งที่นั่งดูประเทศไทยค่อยๆสูญสิ้นความเป็นไทยด้วยการเห็นคนโกงกินก็นิ่งเฉย หรือ แอบเอาใต้โต๊ะโกงกินภาษีประชน หรือ วันๆทำงานมุ่งแต่ผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง หรือ เอาระเบิดมาบึ้มใส่คนไทยด้วยกัน ฯลฯ เราเป็นหนึ่งในนั้นหรือเปล่า หนึ่งในคนไทยที่ไม่เคยคิดไม่เคยทำอะไรเพื่อชาติเราเอง


    ...ความขัดตาขัดใจจาก หนังภาคหนึ่ง คือ หนังมีจุดสะดุดเล็กๆน้อยๆมากไปหน่อย จนทำให้ หนังฟอร์มยักษ์เรื่องนี้เป็นได้แค่ หนังพีเรียดที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ที่คนไทยภาคภูมิใจ ตัวหนังนั้นสอบผ่านได้คะแนนดีแต่ยังไปได้ไม่ถึงระดับยอดเยี่ยม หลังจากจบภาคที่แล้ว ผมสงสัยว่า ภาคสองที่ฉายกระชั้นกันแบบนี้ ท่านมุ้ยจะกลบจุดอ่อนจากของเดิมได้ทันหรือไม่ จะมีการปรับปรุงอะไรที่ต่างไปจากภาคแรก

    แล้วผมก็พบว่า

    ไม่มีอีกแล้ว ... ความไม่เป็นธรรมชาติในหนังภาคแรก เช่น บทสนทนาโต้ตอบกันเร็วๆเหมือนคนท่องบทต่อๆกันทีละคน , ฉากแสดงอารมณ์หลุดยุค อย่าง ท่าแอ๊บแบ๊วของพระสุพรรณกัลยา หรือ ฉากแอคชั่นตลกๆ อย่าง พระองค์ดำเวอร์ชั่นกระโดดเตะจาพนมฮ่าฮ่าฮ่า

    ไม่มีอีกแล้ว... แสงวูบขาวเปลี่ยนฉากให้ชวนรำคาญ(ถ้าสังเกตไม่ผิดเหมือนจะมีโผล่มาตอนเดียว)

    ไม่มีอีกแล้ว... ปัญหาอายุที่เหลื่อมล้ำขัดความเป็นจริงในภาคแรก

    ไม่มีอีกแล้ว... เพลงฝรั่งตอนจบให้ต้องสงสัยว่าที่เราดูจบไปเป็นหนังไทยหรือลอร์ด ออฟ เดอะ ริง

    ...หนังภาคสอง ลบ จุดสะดุดในหลายๆอย่างของภาคแรกออกไปมาก ส่งผลให้เกิดสิ่งที่ดีกว่าชัดเจน คือ การเล่าเรื่องที่ราบรื่นมากขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ

    เรื่องราวในภาคนี้ ดำเนินเรื่องตั้งต้นที่การเสียชีวิตของบุเรงนอง ต่อด้วยจุดสำคัญนั่นคือ การประกาศอิสรภาพของสมเด็จพระนเรศวร แล้วไปสิ้นสุดที่ฉากรบริมแม่น้ำสะโตง ซึ่งคนดูหลายคนคุ้นตาจากโปสเตอร์ที่เห็นพระองค์ทรงประทับปืนยาวเล็งมาแต่ไกล ก่อนที่เราคนดูจะต้องรอลุ้นการปิดฉากตำนานหนังเรื่องนี้ ในอีก สิบเดือนข้างหน้า

    สำหรับคนไม่ดูภาคแรกมาก่อนก็สามารถดูต่อเนื่องในภาคนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่า อาจจะไม่อินหรือรู้สึกตะขิดตะขวงใน ความสัมพันธ์ของตัวละคร เช่น ระหว่าง พระยาราชมนู กับ สมเด็จพระนเรศวร ทำไมถึงดูสนิทกันจัง หรือ สมเด็จพระนเรศวร และ มณีจันทร์ ทำไมรักกันแล้วแค่เจอหน้ากัน หรือ บทมหาเถรคันฉ่องที่คนดูอาจสงสัยว่าทำไมในภาคนี้จึงดูสลักสำคัญมากนักแถมยังมาช่วยคนไทยซะงั้น

    ...ภาคสองเริ่มต้นแบบไม่รีรออ้อยอิ่ง หนังกระโดดจากวัยเด็กของตัวละครในภาคแรกมาเป็นวัยผู้ใหญ่เต็มตัว จนอาจทำให้หลายคนนึกเสียดาย ยังอยากเห็นบทบาทน่ารักน่าชังของเด็กๆกลุ่มเดิม กระนั้นก็ตามแม้ว่าภาคนี้ นักแสดงเด็กๆที่น่ารักกับบุเรงนองสุดจ๊าบ หมดบทบาทลง แต่ก็แทนที่ด้วยตัวละครรุ่นผู้ใหญ่ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน อย่าง

    ...บุญทิ้งเวอร์ชั่นผู้ใหญ่ หรือ พระราชมนู อาจจะดูover-actingไปบ้างในตอนแรก แต่เมื่อดูไปเรื่อยๆ กลับกลายเป็นรู้สึกว่า นี่คือ ตัวละครที่ทำให้ หนังภาคสองนี้ มีชีวิตมีเลือดเนื้อมีอารมณ์มากขึ้นอักโข เขาทำให้หนังที่ดูแข็งๆ มีมิติทางอารมณ์หลากหลาย เช่น อารมณ์ขึงขังทั้งตอนรบ อารมณ์หื่น(ไม่)น้อยตอนรัก อารมณ์อาลัยอาวรณ์ตอนจาก ยิ่งมาเข้าคู่กับ เลอขิ่น ที่อาบน้ำได้ดีhahaและมีความเท่เคียงคู่ความเข้มแข็ง ยิ่งทำให้หนังชวนดูมากยิ่งขึ้น ต้องชมคนคัดตัวนักแสดงและตัวนักแสดง ทราย เจริญปุระ เธอมีบุคลิกบวกการแสดงที่สอดร้บกับบทนี้ได้อย่างน่าประทับใจ

    ไม่ใช่แค่นั้น ภาคสองนี้เราจะยังได้พบกับตัวละครทีน่าประทับใจอีก เช่น บท พระไชยบุรีกับพระศรีถมอรัตน์ จัดได้ว่าเป็นสองตัวละครสมทบที่ขโมยซีนน่าจะเป็น คู่หูคู่เท่คู่ฮา ที่เราพบเสมอในหนังมหากาพย์ใหญ่ๆที่มาช่วยสร้างสีสันและลดความตึงเครียด อย่าง คู่ซีทรีพีโอ กับ อาร์ทูดีทู หรือ กิมลี กับ อารากอร์น และ นางเอกของเรื่อง มณีจันทร์ ที่เล่นดีหรือเปล่าไม่ทันสนใจเพราะ คุณเธองามจับตาจับใจเหลือเกิน

    คนสำคัญที่สุดในหนังอย่าง พ.ต. วันชนะ สวัสดี สอบผ่านได้ยอดเยี่ยมในบท สมเด็จพระนเรศวร ที่มีรัศมีความเป็นผู้นำ ห้าวหาญเอาจริง อย่างฉากที่ตัดสินใจกลับไปช่วยพระยาราชมนู เท่ระเบิดมาก แต่ในตอนอื่นๆที่ไม่ใช่ฉากรบหรือฉากบัญชาการ เช่น ฉากเข้าพระเข้านาง หรือ ฉากสนทนาพาทีกับคนอื่นๆ ตัวเขายังดูแข็งๆไปนิดทั้งคำพูดและการเคลื่อนไหว

    ... หนังประวัติศาสตร์เช่นนี้ ย่อมมีตัวละครจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาที่ตามมาตั้งแต่เรื่องก่อนๆของท่านมุ้ย ไม่ว่าจะเป็นสุริโยไท หรือ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรภาคแรก คือ พอตัวละครมาก หนังเกลี่ยน้ำหนักให้ความสำคัญตัวละครไม่ดี จน บทบาทของตัวละครดูกลืนๆไปด้วยกัน ไม่มีใครสำคัญกว่าใคร ดูมั่วๆ คนดูจำไม่ได้ว่าบทบาทตัวละครนี้คือใคร ต้องอาศัยจำจากชื่อนักแสดงเอาเอง

    ช่วงแรกของหนังภาคนี้ก็เกือบๆไปเหมือนกัน ครั้นพอตัวละครมาก หนังก็เข้าทางเดิมนั่นคือ หนังตั้งใจจะให้ความสำคัญกับตัวละครให้ครบมากที่สุด จน การตัดต่อลำดับเรื่องราวของหนังก็ดูสะดุดๆ ไม่ต่อเนื่อง และทำให้ช่วงแรกยาวๆและเบื่อๆนิดหน่อย รู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่า เท่าที่เคยดูหนังของท่านมุ้ยเรื่องเก่าๆที่ไม่ใช่หนังฟอร์มยักษ์ ท่านกำกับนักแสดงให้ฉายความสามารถออกมาเต็มศักยภาพและเป็นธรรมชาติ แต่ทั้งสุริโยไท และ สมเด็จพระนเรศวร ฉากที่ขัดความรู้สึกกับไม่เป็นธรรมชาติส่วนใหญ่ เป็นฉากตัวละครมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน พูดคุยสนทนากัน พลอดรักกัน (เช่น เวลาเจอกันของคู่เอกที่ดูแข็งๆก้ๆกังๆขัดๆเขินๆ หรือ คู่รองที่บางตอนก็จูบกันดูดดื่มนัวเนียถึงพริกถึงขิงเกินความจำเป็น)

    นั่นจึงทำให้รู้สึกว่า ช่วงครึ่งหลังที่เต็มไปด้วยฉากรบ หนังทำได้ราบรื่นดีกว่าช่วงต้นมาก เพราะไม่ต้องใส่ใจกับตัวละครที่ไม่สำคัญ ไม่ต้องมีฉากพูดคุยให้มากความ และการกำกับฉากรบ ฉากสงคราม นั้นหนังก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม เนียนต่อเนื่องไม่แพ้หนังฝรั่งมังค่าชนิดที่เรียกว่า ไม่ใช่แค่ทุนมากถึงทำได้ แต่ จังหวะและคิวต่างๆนั้น โกอินเตอได้ไม่อายใคร ขอยกนิ้วให้จริงๆ




    (มีต่อ)

    แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 50 07:40:14

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 23 ก.พ. 50 07:30:44 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com