| 10 - 9.5 / 10 (7 คน) |
| 9 - 8.5 / 10 (9 คน) |
| 8 - 7.5 / 10 (5 คน) |
| 7 - 6.5 / 10 (0 คน) |
| 6 - 5.5 / 10 (0 คน) |
| 5 - 4.5 / 10 (0 คน) |
| 4 - 3.5 / 10 (0 คน) |
| 3 - 2.5 / 10 (0 คน) |
| 2 - 1.5 / 10 (0 คน) |
| 1 - 0 / 10 (0 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 21 คน |
(SPOIL จิ๊ดซ์ๆ)
ชีวิตคนเรามีทั้งพบกับความสุขและความทุกข์ในเวลาที่แตกต่างกัน คนเราเมื่อโตขึ้นมาก็ต้องหางานทำ แต่เมื่อช่วงเวลาที่คนต้องหางานทำ ช่วงนั้นคนเรามักจะพบว่ารสชาติมีรูปแบบจริงๆ คุณจะพบความรัก คุณจะพบความสุข คุณจะพบความหวัง ขณะเดียวกัน คุณเองจะต้องท้อแท้ สิ้นหวัง และจนตรอก จนหมดทางสู้ แต่ชีวิตเราจะมาหยุดง่ายๆเพราะเรื่องแบบนี้เหรอ ถ้าคุณคิดอย่างงั้นล่ะก็ คนแบบ Chris Gardner จะให้คุณได้รู้ว่า ถึงแม้คุณสิ้นหวังชีวิตและเบื่อหน่ายที่จะต่อสู้แล้ว คุณยังสานต่อชีวิตและหาทางสู้ชีวิตได้อีก
ในยุค 80's แน่นอนช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมากๆ และคนในยุคนั้น ถ้าไม่รวยหรือมีฐานะดี ก็จนไปเลย แน่นอนช่วงนั้นคนตกงานก็ค่อนข้างจะเยอะ และก็ต้องดิ้นรนทุรนทุรายเพื่อที่จะได้งานดีๆให้ได้ ซึ่งในยุคนั้นชายที่กำลังจะสิ้นหวังในชีวิตอย่าง Chris Gardner ได้พยายามถึงที่สุดแล้ว ที่พยายามจะทำให้ครอบครัวเขามีความสุขให้ได้ แต่ในตอนที่เขาเริ่มสร้างครอบครัวใหม่ๆ กับตอนที่เขาเป็นเซลล์แมนไปเรื่อยๆ ชีวิตมันต่างกันยังกะฟ้าและเหว ในช่วงแรกๆ มันก็คงแน่นอนที่กำลังจะตั้งชีวิตให้มันดีได้ แต่มันก็คงต้องใช้เวลาหน่อย เพราะในระยะหลังๆ Chris ขายของได้ไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้เริ่มที่จะหมดที่จะขายเต็มที ยิ่งภรรยาเขาที่แรกๆน่ารักอยู่พอควร แต่เมื่อ Chris เริ่มไม่มีใครซื้อของเขา ภรรยาสุดที่รักและน่ารัก ก็รู้สึกเอียนกับข้ออ้างเขาอยู่พอควร ทำให้รู้สึกว่า ชีวิตยังไม่พบความสุขอย่างที่ตัวเองอย่างที่ตัวเองหวัง ยิ่งตัวเขามีลูกชายสุดที่รักเขาก็ต้องพยายามให้ได้เพื่อให้ชีวิตเขาได้พบกับความสุขที่แท้จริง แต่ตอนนี้ภรรยาเขาไม่สามารถทนเขาได้แล้ว จึงต้องการที่จะหนีไปจาก Chris และพาลูกไปด้วย แต่เขาเองก็รู้ว่ายังไงก็ต้องมาถึงวันนี้ จึงบอกให้ภรรยาเขาไปได้ แต่อย่ามาพรากลูกชายเขาไปจากเขา
ในช่วงเวลาที่ Chris หมดหวัง เขาเองก็ได้เห็นชายคนนึงฐานะก็ไม่ได้รวยอะไรมาก แต่ได้ของที่เขาเองไม่คิดว่าจะมีได้ เขาก็เลยรู้สึกตลึงกับชายคนนี้ จึงขอถามชายคนนี้ประมาณว่า ทำอาชีพอะไรทำไมถึงซื้อของแบบนี้ได้ ชายคนนั้นก็ตอบประมาณว่า เขาทำงานเป็น โบรคเกอร์ ให้กับบริษัทค้าหุ้นที่ Chris เดินผ่านๆอยู่บ่อยๆ นั่นจึงเป็นการเปลี่ยนความคิดที่อยากจะลองวิถีชีวิตแบบใหม่ที่จะทำให้เขาและลูกชายได้พบกับความสุขที่แท้จริงซะที ถึงแม้ว่าเขาจะต้องขายของที่ยังเหลืออยู่หมดก็ตาม แต่ชีวิตของเขาพยายามจะเปลี่ยนให้มันดีขึ้นให้ได้
หนังเปิดเรื่องดีมากๆครับ ให้เห็นสภาวะแวดล้อมในสังคมยุคนั้น ตัดกับคนยากไร้ในสมัยนั้นได้อย่างดี เมื่อสถานการณ์ ยังไม่มีอะไรดีขึ้น เราก็คงยังเห็นคนยากไร้ที่ยังขอทานแถวถนนนั้นอยู่เสมอไป เมื่อในได้เล่าถึงชีวิตของ Chris Gardner เขาเองเป็นผู้ชายที่ขอสู้ชีวิตไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าฐานะเขาจะไม่ใช่คนธรรมดา หรือคนร่ำรวยก็ตาม แต่เขาเองพยายามจะอดทนเพื่อให้ได้พบกับความหวังใหม่ ที่จะทำให้เขาและลูกชายได้พบกับความสุขที่แท้จริง
เมื่อการที่ Chris ได้เข้ามาสอบเพื่อจะได้งานนักค้าหุ้นนี้ เขาก็ต้องมุ่งมั่นพยายามที่จะตั้งใจเพื่อให้ได้งานนี้ เพื่อที่เขาเองจะไม่ต้องขายของที่เหลือไปอีกนาน แต่ในเมื่อเขาเองยังอยู่ในช่วงที่ต้องสอบตัวเขาก็ต้องขายของไปเรื่อยๆ เมื่อชีวิตถึงทางตันเพราะมีเงินไม่กี่เหรียญในกระเป๋า เขาจึงต้องโดนไล่ออกจากที่พักเขา ย้ายไปอยู่อีกที่ที่ถูกกว่าที่เก่า แต่เมื่อเขาอยู่ไปก็ยาวนานเพราะปัญหาก็มาจากพวกเก็บภาษีที่ตามจองล้างจองขวาญอย่างเวรกรรม ทำให้เขาเองไม่มีทางเลือก เมื่อไม่มีที่ไหนรับเขาและลูกชายพักอยู่อาศัย เขาก็ต้องหาทางออกไม่ว่าจะต้องไปนอนในห้องน้ำ ที่ต้องแกล้งให้ลูกชายว่าห้องน้ำคือถ้ำที่จะเข้าไปหลบไดโนเสาร์ หรือบางทีก็ต้องไปนอนอยู่ในรถไฟฟ้ที่แล่นอยู่ตลอดทั้งคืน แต่เขาก็หาทางออกที่จะยอมนอนอยู่ในบ้านคนยากไร้ ที่ใครไปก่อนก็ได้ก่อน ซึ่งเป็นที่แห่งเดียวที่เขาและลูกชายเขาจะพักอยู่อาศัยได้
แต่ว่าตัวเขาก็เอาชนะใจ นักบริหารในบริษัทที่เขาสมัครงานอยู่พอสมควร เพราะว่า Chris ได้แสดงให้พวกเขาเห็นว่า Chris ฉลากมากมายเพียงใดกับการไขลูกบิก (ซึ่งในช่วงนั้นลูกบิกยังเป็นของที่ยังใหม่อยู่ และก็หลายๆคนชอบบ่นว่ามันเป็นของเล่นที่เล่นได้ยาก) แต่ด้วยการมานะและรอบรู้ของ Chris ทำให้นักบริหารคนนั้นก็ถึงกับอึ้งไปเลยว่า เขาทำได้จริงๆ
ผมเองก็ไม่เคยได้อ่านหนังสือเรื่อง The Pursuit of Happyness ที่ Chris Gardner ได้เขียนเองเลย แต่เมื่อได้อ่านประวัติของชายคนนี้ และได้มาดูชีวิตในช่วงนั้นของเขาในหนังเรื่อง ก็ทำให้ผมเห็นว่าชีวิตเรามันมี Painful (ความขมขื่น) และ Happyness (ความสุข) อย่างเห็นได้ชัดจริงๆ ผมว่าตัวหนังค่อนข้างดีที่หนังไม่โชว์ในช่วงเวลาที่ Chris Gardner อยู่ในช่วงประสบความสำเร็จ หรือช่วงเวลาที่ Chris นั้นรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจัดๆกับสิ่งภาวะพิษร้ายที่เขาเจอมา แต่หนังกลับโชว์ Chris ในส่วนที่เขาสิ้นหวัง มานะพยายามเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่เขาหวังไว้ และความหวังที่เขาจะหลับมาเป็นคนธรรมดาอีกครั้ง ซึ่งหนังที่เกี่ยวกับคนสู้ชีวิตส่วนใหญ่ ก็จะขอนำเสนอเรื่องของการสู้ชีวิตจนจบลงด้วยความความสำเร็จของบุคคลคนนั้น เช่น Cinderella Man เป็นต้น แต่เรื่องนี้ หนังขอไม่พูดถึงจุดนั้น แต่หนังเลือกที่จะจบลงความมานะที่มุ่งแต่จะพยายามให้ได้ ท้ายที่สุดก็ได้พบความหวังและโอกาสใหม่ ที่จะทำให้เราได้กลับมามีความสุขและมีชีวิตที่ดีอีกครั้งนึง
หากเปรียบชีวิตของ Chris ตอนในยุคที่เขาตกต่ำ กับในยุคปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่าแตกต่างกันเป็นคนละคนไปเลย เพราะว่า เขารู้ที่จะพัฒนาตนเอง เขารู้ว่าเขาต้องะเยอทะยานในสิ่งไหน และเขารู้ว่าถ้าเขาหมดไฟก็อย่ายอมเป็นอันขาด หากดูลำดับชีวิตของ Chris พยายามจะก้าวไป ก็จะพบว่า เขาสู้ชีวิตจนได้โอกาสใหม่ที่ทำให้ปัจจุบันในตัวเขา กลายเป็นบุคคลในสัมคมอีกคน ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
ฉนั้นด้วยหนังหรือหนังสือเรื่อง "The Pursuit of Happyness" ที่เป็นเรื่องราวชีวิตของ Chris Gardner ก็ไม่ต่างกับหนังสือสอนชีวิตเหมือนหนังสือเรื่อง "Rich Kid Smart Kid" ที่สอนให้คนเราเริ่มจากการที่อดออมตั้งแต่วัยเด็กแล้วก็ทำไปเรื่อยๆจนวันนึงชีวิตก็จะพบกับความสุขที่แม้จริง ซึ่งมันก็เป็นหนังสือสอนชีวิตคนที่ดีอีกเล่มนึงที่ควรอ่าน ใน The Pursuit of Happyness ก็ไม่ได้บอกเรื่องราวให้ทำอะไรแบบนั้น แต่มันสอนชีวิตว่า ถ้าถึงในช่วงที่เราจนตรอกแบบสุดขีดแล้วก็อย่าหมดหวัง เราต้องหาทางเอาตัวเองและคนที่เรารักให้รอดสภาวะที่เราเจอให้ได้ แล้วต้องทำใจกับมัน พร้อมกับมุ่งสู้เพื่อโอกาสของตัวเราเอง เมื่อถึงแสงสว่างนั้น เราก็ลุยไปกับมันจนพบกับความสุขที่แท้จริง ที่เราใฝ่ฝันมาตลอด
ผมคิดว่าไม่ใช่แค่คนตกงาน คนที่สิ้นหวัง หมดหวัง หรือพวกที่ยังทำงานควรดูหนังเรื่องนี้เท่านั้น แต่ผมคิดว่า คน 2 กลุ่มนี้ ก็ควรจะมาดูหนังเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน นั่นคือ คนที่แพ้ในความรัก (อกหัก) และคนที่มหา'ลัยไหนยังไม่รับ (เอนต์ไม่ติด) เพราะผมคิดว่าชีวิตของ Chris Gardner มันมีความทุกข์ใจมากกว่าคน 2 กลุ่มนี้เยอะ แล้วทำไมเราจะมาอมทุกข์เราแบบนี้ไปนานๆล่ะ เราควรจะมีแรงใจเพื่อสู้ชีวิตและพบกับความสุขของเรา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม เราก็จะพบกับสิ่งที่ค่าที่สุดในชีวิตเรา จากการที่เราได้พบกับความสุขแล้ว
ซึ่งผมก็คิดว่า คุณไม่ต้องอายถ้าคุณจะร้องไห้กับหนังเรื่องนี้ เพราะว่าถ้าคุณเคยพบอาการสิ้นหวังแบบไหนก็ตาม คุณจะรู้สึกอินกับหนังเรื่องนี้ไปตามๆกับตัวละคร Chris Gardner เลยทันที ที่จริงมันเป็นเรื่องที่ดีหากคุณจะร้องไห้ให้กับหนังเรื่องนี้จริงๆ
นี่เป็นหนังเรื่องแรกที่ Will Smith พยายามไม่แสดงออกในแนวทางที่ออกไปแบบกวนๆ หรือชวนให้ขำๆ เหมือนกับหนังเรื่องก่อนๆของเขา แต่นี่เป็นหนังที่แสดงความเป็นนักแสดงของ Will Smith ทันทีเลยว่า เขาสามารถที่จะแสดงออกด้วยความหนักแน่นมากพอกับดาราคุณภาพทั่วไป จนเขาอาจเป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่สมควรได้เรียกว่าเป็น นักแสดงคุณภาพจริงๆ ผมไม่คาดคิดว่า Will Smith จะแสดงอารมณ์แบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในหนังเขา ผมก็ได้แต่เคยเห็น Will Smith จะต้องออกแนวระห่ำแบบ Ali เกินไป ถึงจะเป็นการแสดงที่มีระดับ แต่มาพบบท Chris Gardner มันกลับมีอารมณ์บางอย่างที่เราไม่เคยเห็นในหนังของเขาแม้แต่นิดเดียว นั่นคือ ความทะเยอทะยาน,ความพยายาม และการเอาจริง ทั้งการแสดงและในบทที่เขาเล่น แสดงไฟตัวนี้ออกมาชัดๆในบท Chris Gardner ที่สามารถทำให้เรารู้สึกสงสาร และน้ำตาล้น เพื่อเทใจให้กับตัวละครของเขาจริงๆ ผมไม่รู้ว่าถ้าผมได้อ่านหนังสือของ Chris Gardner จริงๆ ผมจะน้ำตาล้นไปกับหนังเรื่องนี้มั๊ย แต่ Will Smith ในหนังเรื่องนี้ เสร็จผมตั้งแต่ตัวอย่างหนังแล้วล่ะครับ!
ฉนั้นผมไม่ว่าหรอกที่ Will Smith ไม่ได้ Oscar จากเรื่องนี้ (เพราะ Forrest Withanker และ Ryan Gosling ออกแนวสดมากๆ) แต่ผมอยากบอกว่าถ้าไม่มี 2 คนนั้นจริงๆ ผมว่า Smith คงเสร็จ Oscar ไปกับหนังเรื่องนี้แน่ๆ และอยากจะบอกกับคนที่ชอบพูดว่า Will Smith เป็นนักแสดงที่ไร้สาระมากๆ อยากบอกคนเหล่านั้นมากๆว่า ถ้าได้ดูเรื่องนี้ จะเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับ Smith ใหม่หมดจดไปเลย
หวานมันส์ ที่มีรสชาติ
- Will Smith อย่างที่กล่าวไว้
- ผกก. Gabriele Muccino ที่ทำให้ผมหลงรักกับผลงานของเขาเรื่อง The Last Kiss มาแล้ว มาคราวนี้เป็นการประกาศตัวเองว่ามาทำหนัง Hollywood ก็ไม่เลวเหมือนกัน
- บทหนังโดย Steve Conrad ที่ทำขึ้นมาเพื่อให้กำลังคนจริงๆ
- Jaden Smith ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ Will Smith ทั้งในเรื่องและนอกจอ ที่แสดงได้เป็นธรรมชาติได้ดีมาก และก็น่าจับตามองเป็นพิเศษ (แบบเดียวกับน้องหนู Abigail Blesing)
- Voice Over ของเรื่องให้ประโยชน์กับหนังมากๆ
- ตั้งแต่ฉากถ้ำไดโนเสาร์ (ที่หลอกลูกชายให้ไปนอนในห้องน้ำ) จนถึงฉากที่บ้านยากไร้เต็ม แถมเพลงประกอบในฉากนั้นที่ออกไปทางเห็นใจ จนถึงตอนที่ทางพวกผู้ใหญ่เสนองานโบร๊กเกอร์ให้ แล้วเขาออกไปปรบมือข้างนอกพร้อมพรากน้ำตา แล้วก็รีบไปกอดลูกชายเขาจนน้ำตาล้น เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมน้ำตาล้นแบบพูดไม่ออกจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่เขาออกไปปรบมือข้างนอกเนี๊ย นั่นเป็นช่วงเวลาที่ผมเองก็ห้ามใจตัวเองไม่อยู่จริง เพราะเกินคำบรรยายจริงๆ ยิ่งช่วงหลังจากนั้นที่เขาไปกอดลูกชายเขาไม่ต้องพูดถึงเลย (อย่าว่าแต่ผมเลย แฟนผมก็น้ำตานองตั้งแต่เมียหนีเขาไปแล้วล่ะครับ )
- ดนตรีประกอบโดย Andrea Guerra เพราะดี และเป็นแนว Friendly ดี (ยิ่งช่วงท้ายๆเรื่องดนตรีเป็นส่วนให้อารมณ์กับคนดูอย่างแท้จริง)
- บทบรรยายโทยโดย จิรนันท์ พิตรปรีชา ไม่ได้เห็นนักแปลคนนี้ แปลหนังมานานมากๆแล้ว ตั้งแต่ Perhaps Love และก็ Memoir of A Geisha ก็หายไปเลย ชอบมากๆครับ ผมว่าเธอแปลเรื่องนี้ได้ลงตัวมากๆ บางครั้งฉากที่ Chris คุยกับลูก แทนที่จะแปลสรรพนามเรียกลูกที่ควรจะเรียกว่า "ลูก" แปลไปอีกสรรพนามนึงที่เรียกว่า "นาย" แทน ผมคิดว่าเธอเข้าใจความหมาย Chris พยายามจะบอกกับลูกจริงๆ
สรุปแล้ว: เราอาจจะเคยได้เห็น Will Smith ในแนว Drama กวนๆ ระห่ำเกินเหตุ (Ali) เราอาจจะเคยเห็นเขาหวานๆน่ารัก (Hitch) เราอาจจะเคยเห็นเขาบู๊ระห่ำหยาบคายไปพอควร (Bad Boy, I'Robot) หรือเราอาจเคยเห็นเขาบ้าๆบอๆในแบบหนัง Animation (Shark Tale) แต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นเขา ขำไม่ออกเลยแม้แต่นิด และโชว์ความเป็นนักแสดงคุณภาพอย่างแท้จริง จนสามารถเรียกน้ำตาจากคนดูได้อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ฉนั้นถึงเขาจะไม่ได้ Oscar จากเรื่องนี้ แต่นี่คือหนังที่โชว์ความสามารถจากตัวเขาอย่างแท้จริง และสามารถทะลุกำแพงของตัวเองที่กั้นอยู่ไว้ได้อย่างไม่น่าสงสัย ฉนั้น The Pursuit of Happyness เป็นการเปิดแนวทางการแสดงของเขาให้ก้าวไกลมากกว่าเดิม จนวันนึงเขาคงจะรับการนับถือในที่สุด คงให้เรื่อง 10/10 อีกแหละ เป็นอีกเรื่องนึงแล้วที่ให้คะแนนนี้ต่อจาก Blood Diamond/ Children of Men/ Babel/ Pan's Labyrinth และก็มาเรื่องนี้ รอเรื่อง 300 ไม่ไหวจริงๆ ว่าผมจะให้คะแนนเท่าไหร่???
เมื่ออ่านแล้วก็ช่วยลงความเห็นกันหน่อยนะครับ ลงก็ได้ไม่ลงก็ได้ครับ แล้วแต่ผู้อ่านครับ
แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 50 00:08:05
แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 23:03:31
แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 22:59:55
จากคุณ :
billy bob
- [
7 มี.ค. 50 22:58:43
]