ความคิดเห็นที่ 1 เคยมีการถกกันแล้วครับในคลังกระทู้เก่าตามลิ้งค์นี้  http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2006/02/A4094077/A4094077.html เพื่อปรับให้เหมาะสมกับภาพยนตร์  บางครั้งอาจจะไม่ตรงกับบทประพันธ์เสมอไป  ลองอ่านดูได้ครับ จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 19 มี.ค. 50 18:54:10 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Okies สรุปก็คือ เลือกที่จะเปลี่ยน พ.ศ. แทนท่จะเปลี่ยนประวัติแงซาย... ผมว่า ถ้าเปลี่ยน พ.ศ. หลายอย่างในเรื่องต้องเปลี่ยนไปเลยนะ เอ่อ...ตามกระทู้นั้น อนุมานว่าแงซายเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่ออายุ ๑๖ แต่...ในเล่มแรก รพินทร์บอกว่า เคยคุยกับหนานไพรเรื่อง พิษสงของลูกระเบิดจากเครื่องบินที่เคยเห็น ในสมัยเด็กๆ ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง รพินทร์ต้องมีอายุมากกว่าแงซายแน่นอน อันนี้เลี่ยงไม่ได้ และถ้านับเฉพาะมหาเอเชียบูรพาที่พี่ไทยมีเอี่ยว กินเวลาร่วม ๔ ปีเศษเท่านั้น เริ่มปี ๒๔๘๔ ถ้าจำไม่ผิดนะ แต่แงซายต้องโดดร่มก่อน ๒๔๘๖ (ตามกระทู้นั้น) เด็กของรพินทร์เนี่ย เป็นแบบไหน ? เรื่องเปลี่ยนน่ะ ต้องเปลี่ยนแน่ แต่จะเปลี่ยนตรงไหนเนี่ยสิ ความเห็นของผม ไม่อยากให้เปลี่ยนที่ปี พ.ศ. แค่ความเห็นน่ะ ขอโทษที่เอาเรื่องที่จบไปแล้วขึ้นมาถกอีก เอ้า! เอาไงก็เอา แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 50 19:41:47 จากคุณ : สลัดดำ - [ 19 มี.ค. 50 19:34:57 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้ามีข้อมูลมาแย้งใหม่ ก็ยังถกกันได้ครับ สนุกดี อันนี้เป็นข้อมูลที่ผมไปค้นมาได้ครับ ถ้าเป็นปี 2500 วางให้แงซายอายุ 30 ปี  แงซายก็จะโดดร่มตอนสงครามมหาเอเชียบูรพา อายุ 16 ปีพอดีครับ แต่ถ้าเป็นปี 2502 แงซายก็จะอายุ 18 ในตอนนั้นครับ ตามลิงค์นี้ http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2006/03/A4215856/A4215856.html เป็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นครับ ฝ่ายพม่า ค.ศ. 1886 (พ.ศ. 2429) พม่าตกเป็นอาณานิคมอังกฤษ สมัยพระเจ้าธีบอร์ กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่า ค.ศ. 1915 (พ.ศ.2458) ปีเกิดของนายพลออง ซาน ( 13 กุมภาพันธ์ ) ผู้นำการปลดแอกพม่าจากอาณานิคมอังกฤษ ค.ศ. 1942 (พ.ศ.2485)กองทัพญี่ปุ่นเข้ามายึดประเทศพม่าและอาณาจักรไทยใหญ่ 3 ปี ค.ศ. 1945 (พ.ศ.2488) อังกฤษกลับเข้ามายึดประเทศพม่าเป็นครั้งที่สอง สงครามมหาเอเชียบูรพา ปีที่แงซายกระโดดร่มเข้ายึดพม่าร่วมกองทหารอังกฤษ ค.ศ. 1947 (พ.ศ.2490) นายพลออง ซาน และสมาชิกรัฐบาลถูกสังหาร ขณะประชุมคณะ รัฐมนตรี ( 19 กรกฎาคม ) ค.ศ. 1948 (พ.ศ.2491)พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ ( 4 มกราคม ) หลังจากช่วงเวลานี้ พม่าได้มีโอกาส ปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมีการเลือกตั้ง และมีนายอูนุ เป็นนายก รัฐมนตรี ค.ศ. 1958 (พ.ศ.2501)เนื่องจากการบริหารรัฐบาลของนายอูนุประสบปัญหาความขัดแย้งอย่างหนัก นายกรัฐมนตรีอูนุ จึงได้เชิญให้นายพลเนวินมาเป็นรัฐบาลชั่วคราว ค.ศ. 1960 (พ.ศ.2503)มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่สอง นายอูนุได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ค.ศ. 1962 (พ.ศ.2505)นายพลเนวิน กระทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากนายกอูนุ ฝ่ายกะเหรี่ยง (มีหลายชนเผ่า แต่จะยกเอาชนเผ่ากะเหรี่ยง KNU เป็นตัวอย่าง เพราะใกล้เคียงกับบทประพันธ์ มากที่สุด) ก่อน ค.ศ. 1886 (พ.ศ. 2429) พรานชาวกะเหรี่ยง นำทางทหารอังกฤษ มาตีกองทัพพม่า จึงเป็นต้นเหตุให้ชาวพม่าโกรธแค้นกะเหรี่ยงเป็นอย่างมาก ค.ศ. 1947 (พ.ศ.2490) ชาวกะเหรี่ยงรวมตัวกันตั้ง องค์กรดูแลประชาชน ของตนเองขึ้นในปี ๒๔๙๐ ในนามองค์กรสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ KNU (Karen National Union) ค.ศ.1949 (พ.ศ.2492) KNU ประกาศปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระ โดยต่อสู้แบ่งแยกดินแดนซีกตะวันออก ของพม่า ตลอดฝั่งน้ำเมย และลุ่มน้ำสาละวิน บริเวณชายแดนไทย - พม่า เป็นเขตปกครองตนเอง ฝ่ายไทย ค.ศ.1941 (พ.ศ.2484) ประเทศไทยถูกรุกรานโดยญี่ปุ่น เพื่อต่อทางรถไฟเป็นทางผ่านไปพม่าและมาลายู และทหารญี่ปุ่นได้สู้รบกับทหารไทย ภายหลังการสู้รบ ฝ่ายทหารญี่ปุ่นซึ่งมีกำลังมากกว่าถึง ๑๐ เท่า เสียชีวิต ๔๑๗ คน ในขณะที่ฝ่ายไทยเสียชีวิต ๔๑ คน ถึงการรบครั้งนี้ไทยจะชนะ แต่ในระยะยาวแล้วฝ่ายไทยเสียเปรียบแน่ รัฐบาลไทยในขณะนั้น จึงมีมติให้ยุติการสู้รบและยินยอม(จำยอม)ให้ญี่ปุ่นเคลื่อนทัพผ่านประเทศไทยได้ ค.ศ.1941 (พ.ศ.2484) ขบวนการเสรีไทยก่อกำเนิดแบบลับๆร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธ์มิตร(สหรัฐอเมริกา) ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) รัฐบาลสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลอังกฤษประกาศรับรองการประกาศสันติภาพของไทย หลังจากสงครามมหาเอเซียบูรพายุติลง โดยการยอมจำนนของญี่ปุ่นต่อฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อ ๑๔ สิงหาคม ๒๔๘๘ และรัฐบาลไทยได้ประกาศ เมื่อ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๘ ค.ศ.1946 (พ.ศ.2489) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชย์ (ปีปัจจุบันจะมีการเฉลิมฉลองครองราชย์ครบ 60 พรรษาอย่างยิ่งใหญ่.......(ถ้าการเมืองไทยไม่เป็นอย่างนี้นะ.......แฮะๆนอกเรื่อง) ค.ศ.1952 (พ.ศ.2495) รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติป้องกัน การกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ เนื่องจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้เริ่มมีบทบาทเด่นชัดขึ้น ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง ค.ศ. 1957 รัฐประหาร 16 กันยายน 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้าคณะนายทหารนำกำลังเข้ายึดอำนาจของรัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ค.ศ. 1958 รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2501 เป็นการปฏิวัติเงียบอีกครั้งหนึ่ง โดยจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้น ลากออกจากตำแหน่ง ในขณะเดียวกันจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น ได้ประกาศยึดอำนาจการปกครอง ค.ศ. 1960 (พ.ศ.2503) รัฐบาลได้ประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2503 จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo)  - [ 27 มี.ค. 49 22:03:35 ] แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 50 20:29:50 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 50 20:27:18 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 50 20:18:58 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 50 20:13:12 จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 19 มี.ค. 50 20:12:31 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าจะกังวลว่า การที่รัฐบาลออกกฎอะไรมาในปี ๒๕๐๓ จะส่งผลต่อการเข้าป่าล่าสัตว์หลังจากนั้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเมื่อตอนที่คุณลุงพนมเทียนเริ่มเขียนเรื่องนี้เมื่อ ๒๕๐๗ ก็ยังปรากฏว่าคุณลุงแกยังเข้าป่าล่าสัตว์ได้อยู่ (พึ่งจะมาเลิกเมื่อ ๒๕๑๖ ที่ลุงแกล้มป่วยนั่นแหละ) ผมไม่ทราบรายละเอียดของ พ.ร.บ. หรือ พ.ร.ก. ฉบับนั้น แต่เข้าใจว่า คงยังไม่เข้มงวด และหรือยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ป่าทั้งหมดในประเทศ (ไม่งั้นคุณลุงพนมเทียนคงไม่สามารถเข้าป่าได้หรอก) แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 50 21:02:13 จากคุณ : สลัดดำ - [ 19 มี.ค. 50 20:57:57 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สำหรับเรื่องรพินทร์ตอนเด็กๆ ก็คงต้องเปลี่ยนเป็นคำเป็นวัยสะรุ่นล่ะกระมัง คืออย่างนี้ครับคุณสลักดำ   อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลย  ต้องยอมรับกันล่ะครับว่า  เรื่องเวลาตามบทประพันธ์นั้นเป็นอะไรที่ขัดกับความจริงกับเรื่องประวัติศาสตร์อยู่พอสมควร(อันนี้ไม่ได้ตำหนิผู้ประพันธ์นะ ต้องเข้าใจว่าเรื่องนี้ใช้เวลาแต่งนานมาก) ก็อยู่ที่ว่าเราจะยอมรับระหว่างประวัติศาสตร์จริงหรือตามบทประพันธ์ ถ้าสมมุติยึดเอาปี พ.ศ.2513   การผูกเรื่องก็จะไม่ตรงกับประวัติศาสตร์จริงอีกนั่นแหละ จึงมองที่ความเหมาะสมมากกว่า  อะไรที่แก้ได้ก็แก้  อะไรที่แก้ไม่ได้ ก็จะต้องมีจุดบอดบ้าง  อันนี้ต้องยอมรับกันบ้างล่ะ...แต่ยังไงทางทีมงานก็จะพยายามให้ผิดพลาดน้อยที่สุด ถ้ามีอะไรที่ควรแย้ง ก็แย้งได้เลยครับ  เพื่อช่วยกันให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 50 21:08:36 จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 19 มี.ค. 50 21:04:33 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ก็จริงครับสำหรับเรื่องเข้าป่านั้น เราก็ไม่กังวลในจุดนั้นมากเท่าไหร่นัก  เพราะสมัยนั้นยังเข้าป่ากันได้ตามปกติ ยิ่งรพินทร์ด้วยแล้วเหมือนได้รับอภิสิทธ์ล่าสัตว์ป่าได้โดยเฉพาะอยู่แล้ว เพราะบริษัทไทยไวด์ไลฟ์ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอยู่แล้ว ข้อนี้จึงไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด แต่ที่กังวลก็หนีไม่พ้นเรื่องแงซายโดดร่มนี้แหละ ถ้าเป็น พ.ศ.2513 มันก็จะไม่ตรงกับประวัติศาสตร์จริง เพราะแงซายจะแก่ไป หรือถ้าจะให้แงซายเป็นทหารช่วยอังกฤษรบก็จะหนีไม่พ้นสงครามเอเชียมหาบูรพาอีกแหละ   เพราะถ้าหลังจากนั้นสงครามยุติ  ญี่ปุ่นที่ยึดพม่าอยู่ยอมพ่ายแพ้ไป แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 09:42:47 จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 19 มี.ค. 50 21:20:10 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เดี๋ยวนะครับ ถ้าจะเปลี่ยนว่าเป็นช่วงวัยรุ่นแล้วล่ะก็ คิดว่าตอนที่รพินทร์เล่าเรื่องนี้ให้หนานไพรฟัง รพินทร์ควรจะอายุเท่าไหร่ ? แน่นอนว่าต้องเป็นพรานฝึกหัด และต้องเป็นช่วงที่ยังไม่บินไปเรียนวิชาทหารต่างประเทศ เพราะหลังจากนั้น ต้องถือว่ารพินทร์ปีกกล้าขาแข็งแล้ว เพียบพร้อมไปด้วยวิชาของโลกมืดและโลกสว่าง ดังนั้น ช่วงที่รพินทร์เป็นลูกศิษย์กลายๆ ของหนานไพร ก็ต้องเป็นช่วงวัยรุ่นนั่นแหละ แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 50 21:26:01 จากคุณ : สลัดดำ - [ 19 มี.ค. 50 21:24:22 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าไม่เปลี่ยนพ.ศ. มันก็แย้งอยู่ดีล่ะครับ เช่นที่แน่ๆ บันทึกของแจน เครเมอร์ ระบุปีค.ศ.ไว้ชัดเจน แถมในคณะยังคำนวณกันอีกว่าเป็น 42 ปีที่แล้ว ซึ่งก็จะไม่ใช่ปี 2513 อีก ครั้นผมจะขอเรียนว่า เรื่องเหตุการณ์เกิดขึ้นในปี 2513 น่ะ ผมเองเป็นคนแรกที่ระบุลงไป โดยอ้างจากเหตุการณ์ปิ่นพระศิวะ สลัดดำก็คงจะไม่เชื่อ นอกจากประวัติแงซาย ยังมีประวัติการรบกับกระเหรี่ยงอีกครับ ที่ถ้ายืดเวลาเข้ามาอีกมันจะมีปัญหา ยิ่งมาภาคจบสมบูรณ์ คี๊ธ เป็นทหารผ่านสมรภูมิเวียดนาม ยิ่งไปกันใหญ่ ทั้งนี้ต้องบอกก่อนนะครับ ว่าเราเคารพบทประพันธ์เสมอ แต่ในแง่ของหนังซึ่งทุกอย่างจะต้องออกมาเป็นภาพ เราก็ต้องเลือกครับ จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 19 มี.ค. 50 21:30:18 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เอาที่ปู่อุปฯ(อุปนิกขิต)ตั้งประเด็นเรื่องนี้มาแปะให้  ก่อนที่จะมีการถกเรื่องนี้เมื่อต้นปีที่แล้ว จากหลากหลายความคิดเห็น   คณะคุณชายเชษฐาเริ่มออกเดินทางตั้งแต่เมื่อไร   ตอนนี้เราลองมาสรุปกันดูครับว่า คณะคุณชายเชษฐาเริ่มออกเดินทางจากหนองน้ำแห้งเพื่อตามคุณชายอนุชาในปีพ.ศ. อะไร จากข้อมูลสิ่งที่เราทราบคือ - 'พนมเทียน' ท่านเริ่มเขียนเรื่องนี้เมื่อปลายปี 2507 - ในเนื้อเรื่อง ช่วงที่ระบุออกมาถึงเป็นวัน เดือน ปี ได้เลยคือช่วงเข้าสู่เนินพระจันทร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 12 ถอดออกมาได้ว่าเป็น วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน 2513 แต่ วัน เดือน ปี นี้ ถ้าวิเคราะห์การเขียนของคุณลุงพนมเทียน เกิดขึ้นเพราะท่านเขียนเรื่องนี้ยาวนานมาก ช่วงที่ท่านเขียนตอนนี้ก็เป็นปีประมาณ 2513 ท่านก็น่าจะอ้างอิงจากปฏิทินในปีนั้นเลย เราจึงน่าจะมาพิจารณาต่อไปว่า วัน เดือน ปี นี้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องส่วนอื่นหรือไม่ จากคุณ : อุปนิกขิต  - [ 10 ก.พ. 49 01:34:34 ] จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 19 มี.ค. 50 21:41:12 ]

ความคิดเห็นที่ 10 อ่านเจอมาน่ะค่ะ  ในเพชรฯตอนจอมผีดิบมันตรัย หน้า 858 ค่ะ ที่พวกคณะไปเจอบันทึกของชาวเดนนิชอ่ะค่ะ เมย์บอกว่า " ในบันทึกนี่  เอ่ยอ้างถึงวันเวลาที่เขาเขียนข้อความไว้ด้วย มันเป็นวันที่ 13 เดือนธันวาคม คริสตศักราช 1926  นับย้อนหลังจากนี่ไปเป็นเวลา 42 ปี ตรงกันเผ่งกับที่เธอกะไว้ " เอา 1926 มาบวกกับ 42 แล้วแปลงเป็นพุธศักราช ได้เท่ากับ 2511 พอดีค่ะ แต่.... ดูอายุตัวละครกันแล้วมันแก่ไปหน่อยไม๊อ่ะค่ะ จากคุณ : เก๋ไก๋เจ้าค่ะ - [ 19 มี.ค. 50 21:43:48 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผมกำลังคิดว่า ถ้าจะเปลี่ยนประวัติของแงซายไป จะส่งผลต่อเรื่องมากหรือเปล่า ผมว่ามันแค่เป็นเหตุผลรองรับในการพูดภาษาอังกฤษไฟแล่บในครั้งแรกกับคณะนายจ้าง (เพราะตอนนั้นยังไม่อวดดีกรีตัวเอง) แต่ว่า...ถ้าเปลี่ยนที่ปี พ.ศ. แล้ว ก็จะยิ่งขัดแย้งกันมากกว่า ถึงมันจะเป็นรายละเอียดปลีกย่อย (เป็นต้นว่า เพลงนิ้งหน่อง หรือวันอังคารที่ ๓ พ.ย. ตรงกับวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ (ผมเขียนผิดเป็นเดือน ๑๑ ตรงหัวข้อ...ขออภัย)) แต่เผอิญว่ารายละเอียดนั้นมันมากมายเหลือเกิน นี้รวมถึงในภาคสองด้วย (ถึงแม้จะไม่มีแผนที่จะทำภาคสอง แต่ก็น่าจะให้สอดคล้องกันน่า) ดังนั้นประเด็นคือ มีความจำเป็นอย่างใดที่แงซายต้องโดดร่มยึดพม่ากับกองทัพอังกฤษ ? ผมว่ามันไม่จำเป็นขนาดนั้น จะเห็นว่า ตอนที่แงซายเปิดเผยชีวิตของตัวเองที่มรกตนคร ก็ไม่ได้กล่าวถึงว่าตนเคยเข้าร่วมสงครามโลกแต่อย่างใด จากคุณ : สลัดดำ - [ 19 มี.ค. 50 21:49:30 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ประเด็นยึดแงซายหนีเรียนนี่คิดรอบคอบแล้วครับ แต่ซวยจริงเขียนไว้กระทู้ไหนหว่า ต้องขอเรียนด้วยว่า ช่วงแรกน่ะผมค้านท่าน Cinephile เรื่องพ.ศ. เหมือนกันครับ ตอนนั้นผมก็ว่า 2513 นี่แหละเหมาะ แต่หลังจากดูเหตุผลกันอย่างถี่ถ้วน ซ้ำไปซ้ำมา คิดว่า 2502 นี่เหมาะหลายๆด้านครับ จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 19 มี.ค. 50 21:56:44 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เอ่อ เรื่องบันทึกของเครเมอร์น่ะ ไม่เป็นปัญหาเลยครับ แค่เปลี่ยนปีที่บันทึกก็พอ เพราะมันแค่ส่วนปลีกย่อยมากๆ เอ้อ แล้วก็ สงครามเวียดนามน่ะ มันเกิดเมื่อ ๒๕๐๐ นี่ครับ ก็ไม่เห็นจะมีปัญหานี่ ? ผมว่า หากจำเป็นต้องเปลี่ยน ก็ขอให้เปลี่ยนให้น้อยที่สุดในส่วนย่อยที่สุดนะคับ ^ ^ จากคุณ : สลัดดำ - [ 19 มี.ค. 50 21:59:23 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่มีความเห็นไรมากครับ  แต่แค่คิดว่าเวลาคนที่อายุเกินกว่าสามสิบไปแล้วเวลาย้อนกลับมาคิดถึงช่วงเวลาเด็กเนี่ยมันกินเวลาตั้งแต่เด็กมากๆ ไปจนถึงเด็กที่เป็นวัยรุ่น และวัยรุ่นตอนปลายๆเลยซะด้วยนะครับ  จะว่าไปถ้าเป็นคำพูดที่ออกมาจากความรู้สึกว่าตอนเด็กๆ ผมว่ามันก็ฟันธงไม่ได้ว่าเด็กของรพินทร์นะเด็กตอนใหน  อาจจะเป็นตอนวัยรุ่นปลายๆก็ได้นิ   อีกอย่างเด็กมากๆ  จะจำได้มากขนาดใหน  ขนาดผมนี่ย้อนกลับไปตอนสักสิบห้าสิบหก ยังเลือนๆ น่าจะพอกล้อมแกล้มกันได้  นะกะคำว่าตอนเด็กๆเนี่ย จากคุณ : นาครียะ - [ 19 มี.ค. 50 22:00:21 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สงครามเวียดนาม 2500-2518 ไอ้คี๊ธมันทหารปลดประจำการ ปสด.จากสงครามมา มันก็น่าจะอยู่หลายปีอยู่นะ ยังมีสงครามเกาหลีอีกนะ ในเรื่องน่ะ ผมว่าสลัดดำอ่านกระทู้เก่าก่อนแล้วตั้งประเด็นแย้งดีมั๊ยครับ ไม่งั้นมันจะเป็นการย้อนซ้ำไปนิด จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 19 มี.ค. 50 22:05:34 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ก็อย่างที่กล่าวไป ผมไม่มีปัญหาเรื่องปี พ.ศ. จะเลือกแบบไหนก็ได้ เพียงแต่สงสัย(ว่ามันดีกว่ายังไง)ก็เลยถามไป เพราะไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ต้องเปลี่ยนบทประพันธ์ทั้งนั้น เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว (ถ้าจะให้มันออกมา Perfect ล่ะก็นะ) จากคุณ : สลัดดำ - [ 19 มี.ค. 50 22:16:28 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เอ่อ ผมอ่านกระทู้เก่าแล้วครับ ที่แย้งนี่ก็นอกเหนือจากที่ได้ถกไปในกระทู้เก่า (ที่โอจิคุงให้ไว้) หรืออาจจะมีแต่ไม่เห็นเอง ถ้าเป็นกรณีนี้ก็ขออภัยในความถั่วของตาผมด้วยครับ อิอิ จากคุณ : สลัดดำ - [ 19 มี.ค. 50 22:43:28 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คืองี้ครับคุณนาครียะ ตามที่คุณว่า ก็หมายถึงรพินทร์เล่าให้หนานไพรฟัง ย้อนไปในช่วงที่ตนยังวัยรุ่น (งงป่าว) ก็มาถึงปัญหาที่ว่า ขณะที่เล่าให้หนานไพรฟังน่ะ รพินทร์อายุเท่าไหร่ คือตามบทประพันธ์บอกไว้ชัดเจนว่า ตอนที่รพินทร์เล่าเรื่องดังกล่าวให้หนานไพรฟัง รพินทร์ยังเป็นเพียงพรานฝึกหัด ซึ่งช่วงที่รพินทร์เป็นพรานฝึกหัดก็น่าจะเป็นช่วงวัยรุ่นไม่ใช่หรือครับ หลายประเด็นจริงวุ้ย - -" จากคุณ : สลัดดำ - [ 19 มี.ค. 50 22:55:42 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เช็คแล้วครับ กระทู้ต่อมาที่เป็นการแตกกระทู้เพื่อสรุปว่าทำไมถึงต้อง 2502 หายไปกระทู้ครับ แต่ไม่เป็นไร เอายังงี้ดีกว่าครับ ดีเหมือนกันกระทู้นี้จะได้ทบทวนว่าทำไมถึงใช้ปี 2502 แงซายคือพระเอกคนหนึ่งในเรื่อง แกเก่งทั้งบู๊และบุ๋น เพราะฉะนั้นประวัติของแงซายต้องแน่นพอๆกับประวัติของรพินทร์ คาแรคเตอร์ของการเก่งทั้งบู๊และบุ๋น ลำพังเรียนจากพระธุดงค์คงไม่พอ ซึ่งคาแรคเตอร์ตรงนี้ทุกคนคงเห็นพ้องกันว่าจะไม่เปลี่ยน เพราะจะต้องสัมพันธ์กับทั้งระบบ สลัดดำช่วยผมหน่อยครับว่า ประวัติของแงซายนั้น 1) ตอนเด็กอยู่ที่ไหน เรียนที่ไหน (อ้างอิงจาก) 2) ตอนโตเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยอะไร ประเทศอะไร สาขาอะไร (อ้างอิงจาก) 3) ยุทธวิธีการรบแงซายเรียนรู้จากที่ใดบ้าง ด้วยเหตุผลอะไร (อ้างอิงจาก) 4) น่าจะเรียนรู้อะไรจากพระธุดงค์ (อ้างอิงจาก) 5) แงซายในเรื่องจะต้องอายุประมาณ 32-33 ปี อ้อ ทำไมต้อง 32-33 ปี? (อ้างอิงจาก) 6) ด้วยเหตุผลที่อายุเท่านี้ น่าจะประมวลข้อมูลจากข้อ 1-4 ว่าแงซายควรเกิดปีอะไร (คำนวณจาก) 7) แล้วเหตุการณ์ในเรื่องเมื่อต้องยึดคาแรคเตอร์ของแงซายนี้ไว้ ควรเกิดในปีอะไร (คำนวณจาก) 8) ถ้าจะเลื่อนเหตุการณ์ในเรื่องมาปี 2513 ควรเปลี่ยนประวัติของแงซายอย่างไร ขอให้ลงเลข 9 ครับ 9) ดังนั้น ในทัศนะของคุณ เหตุการณ์ในเรื่องเมื่อปรากฏเป็นภาพยนตร์ (เพราะมันมีผลโดยภาพรวมต่องานสร้างภาพทั้งหมด) ควรเกิดขึ้นในปีอะไร จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 19 มี.ค. 50 23:00:30 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ข้อ 3.5 ครับ แงซายกลับมาเป็นทหารของประเทศอะไร ยศอะไร หน่วยอะไร ผู้บังคับบัญชาคือใคร (อ้างอิงจาก) ข้อ 3.6 ยศนี้จะต้องทราบหลักการทหารอะไรบ้าง จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 19 มี.ค. 50 23:06:05 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ชักเริ่มเข้มข้นแล้วซิค่ะเนี่ย   ขอ Par ฟังผู้รู้ถกกันหน่อย จากคุณ : Par&Par - [ 20 มี.ค. 50 00:06:07 ]

ความคิดเห็นที่ 22 3) ชั้นต้นในเมืองมัณฑะเลย์    ...ชั้นกลางในไฮสกูล  เมืองแรงกูน      ...ปริญญาตรีในบอมเบย์ยูนิเวอร์ซิตี้  แบเชลเลอร์ดีกรี  ในแขนงอาร์ตส์ (เล่ม 14 หน้า 5760) แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 00:22:24 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 00:19:36 จากคุณ : Par&Par - [ 20 มี.ค. 50 00:16:53 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เอ  ผมเองก็ไม่แม่นข้อมูล แต่จะลองเทียบประเด็น เป็นความเห็นผมล้วนๆนะครับถกกันเล่นๆไม่ต้องเถียงกัน ถือว่าแก้ข้อสงสัยกัน มันมีสักเล่มที่บอกว่ารพินทร์มาเป็นพรานสักประมาณ10 ปีที่ผ่านมา และพอภาคสองเนี่ย  เชิดวุธ บอกกะคริส รึเบลว่าอายุ 36  แล้วเรียกรพินทร์ว่าพี่ เพราะงั้น อายุรพินทร์ก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 36 ถ้าเริ่มเป็นพรานเมื่อสิบปีมาแล้ว  ก็จะอยู่ใจช่วง 24-26 ปีที่เป็นพรานฝึกหัด   คิดเหตุการย้อนหลังไปสังกเจ็ดแปดปี  ก็พอรับได้มังครับ นี่เป็นความเห็นที่ไม่ได้  ยกข้อมูลใดๆมาเลยครับ  ถ้าหากว่าผิดก็ขออำพล  เอ้ยยยย อำภัย  เย่ยยย อภัยไว้ด้วยครับ จากคุณ : นาครียะ - [ 20 มี.ค. 50 00:16:55 ]

ความคิดเห็นที่ 24 2) ปริญญาตรีทางด้านอักษรศาสตร์  มหาวิทยาลัยบอมเบย์ ประเทศอินเดีย   (เล่ม 14  หน้า 5760) แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 00:25:02 จากคุณ : Par&Par - [ 20 มี.ค. 50 00:18:14 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ๑.) ไพรมาหากาฬ #๑ - ตอนที่มาสมัครเป็นคนใช้: ตอนเด็ก เรียนอยู่ในเมืองมัณฑะเลย์ ๘ ปี แล้วถูกส่งไปรบแบบกองโจร ซึ่งถ้ากล่าวถึงเมืองมัณฑะเลย์ ก็ควรจะอยู่ในพม่า - ณ เขาโล้น ได้กล่าวกับดารินว่า อยู่กับพระธุดงค์ตั้งแต่ ๕ ขวบ จนอายุ ๘ ปี ไปเป็นเด็กวัดที่เมาะลำเลิง จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเมาะลำเลิงเป็นรัฐมอญ ผมเลยไม่แน่ใจว่าสมัยก่อนมันที่เดียวกันรึเปล่า นิทรานคร #๒ บอกมาเรียว่า เรียนที่วัดมัณฑะเลย์ และไฮสคูลที่เมืองแรงกูน ปกติน่าจะเรียนกันไม่เกิน ๑๒ ปี (มั้ง) ถ้าแงซายจะเรียนแค่ ๘ ปี (นับรวมชั้นต้น-ชั้นกลาง) ก็ไม่แปลก เพราะที่มรกตนครแงซายก็บอกแล้วว่าใช้เวลาครึ่งเดียว อยู่กับพระธุดงค์ถึงอายุ ๑๐ ขวบ (ซึ่งท่านธุดงค์ต่อ) แงซายจอมจักรา #๔ กลับบอกว่าอยู่กับพระธุดงค์จนท่านนิพพานเมื่อแงซายอายุ ๑๔ จึงไปเป็นเด็กวัดที่พม่า (ควรจะเป็นมัณฑะเลย์ & แรงกูน) แต่ถ้ายึดว่าแงซายต้องร่วมกระโดดร่ม ควรจะเป็น...เรียนที่มัณฑะเลย์และแรงกูน รวม ๘ ปี ตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ ๒.) คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยบอมเบย์ ประเทศอินเดีย ก็ที่เดียวกับคุณลุงพนมเทียนล่ะ (อันนี้จำได้ ไม่น่าพลาด) ๓.) ฝึกการรบแบบกองโจรที่จุงกิง ๒ ปี เพื่อให้มากระโดดร่มเข้ายึดพม่าร่วมกับกองทหารอังกฤษ (ไพรมหากาฬ #๑) แล้วก็น่าจะเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงนะครับ จากการที่เข้าเป็นสมาชิกกองโจรกะเหรี่ยง...อันนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว ส่วนหลวงตาที่วัดในพม่าคงไม่สอนไปถึงยุทธวิธีกระมัง อย่างมากก็คงจะแค่เพลงดาบเพลงทวน ๓.๕) ไพรมหากาฬ #๑: ร้อยโทกองโจรกะเหรี่ยง หน่วยเสือดาว ภายใต้ผู้บังคับกองยินตอง ของนายพลอองซาน นิทรานคร #๒: ร้อยโทแงซาย ผู้บังคับหมวดสี่ กองร้อยเสือดาว ขึ้นตรงต่อศูนย์บัญชาการลับแห่งเมียวดี ๓.๖) แหม...มาถามแบบนี้กับคนที่มีความรู้เพียงระดับ ร.ด. เช่นผม ซึ่งสมัยเรียนก็เรียนๆ หลับๆ (บางทีก็โดด) รู้แต่ว่าเป็นผู้บังคับหมวดครับ...แต่ละกองร้อยก็จะแบ่งย่อยเป็นหมวดๆ แต่และหมวดก็มีหมู่. . . ส่วนหลักการอะไรผมไม่ทราบจริงๆ (ทั้งที่เคยเรียนมาก่อน) ยอมรับว่าเป็น นศท. ที่แย่มาก - -" ๔.) คาถาอาคมแบบอรัญวาสี (แงซายจอมจักรา #๔) และสรรพวิชาเล็กๆ น้อยๆ ที่ปรากฏระหว่างเรื่อง ๕.) ทำไมต้อง ๓๒-๓๓? อันนี้ไม่ทราบ เพราะในบทประพันธ์บอกว่า ๒๘-๓๐ ปีเป็นอย่างสูง ๖.) เมื่อแงซายอายุ ๘ ปี ก็มาเป็นเด็กอีกวัด ๘ ปี จากนั้นถูกส่งไปฝึก ๒ ปี แสดงว่าไปรบเมื่ออายุ ๑๘ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๖ (จากกระทู้เก่า) ถ้าเรื่องนี้เกิด ๒๕๐๒ (ผ่านมา ๑๖ ปี) ก็อายุ ๓๔ (เอ๊ะ ยังไง) ๗.) ขอโทษครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจคำถาม...แต่ถ้าหมายถึงว่าแงซายจะต้องเป็นผู้บังคับหมวดกองโจรกะเหรี่ยง ผมว่าก็ไม่จำเป็นต้องไปฝึกการรบแบบกองโจรที่จุงกิง (อันจะนำไปสู่การเข้าร่วมรบในสงครามโลก) นะครับ อาจฝึกเอาตอนที่เข้าเป็นทหารกะเหรี่ยงก็ได้ ๘, ๙ ขอผลัดไว้กระทู้หน้าครับ ขอโทษที่ตอบช้า เพราะประวัติของแงซายในข้อแรกๆ ค่อนข้างจะดูขัดแย้งระหว่างเล่มแรกกับเล่มหลังๆ เลยต้องมาประมวลหน่อย แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 02:53:00 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 01:53:21 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 01:38:10 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 00:36:22 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 00:32:09 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 00:29:00 จากคุณ : สลัดดำ - [ 20 มี.ค. 50 00:24:33 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอเสริมในข้อ 3 ค่ะ แงซายเคยเป็น   -ทหารแห่งกองโจรกะเหรี่ยงอิสระ 3 ปี (เนื่องจากเกิดความหยุ่งเหยิงทางการเมืองของสหภาพพม่า  รัฐกะเหรี่ยงต้องการอธิปไตยของตนเอง  โดยแยกเป็นรัฐอิสระไม่ขึ้นต่อรัฐบาลกลางของพม่าจึงโดนเรียกตัวกลับมาพร้อมทั้งต่อต้านนโยบาย  เพื่อเรียกร้องเอกราชอันเป็นข้อผูกพันชิ้นสุดท้ายของหลวงตาก่อนมรณภาพ) -นักล่าสัตว์พเนจร -เคยเรียนยุทธวิธีการบแบบกองโจร ที่กองบัญชาการคุนมิง -กระโดดร่มยึดพม่าร่วมกับอังกฤษ (เล่ม 14 หน้า 5766) จากคุณ : Par&Par - [ 20 มี.ค. 50 00:40:50 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ๘.) แงซายจะต้องไม่เกี่ยวข้องกับสงครามโลก กองโจรกะเหรี่ยงต้องรบด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่การแยกตัวเองเป็นอิสระ อาจจะเป็นเพื่อปกป้องรัฐกะเหรี่ยงที่สถาปนามาแล้วจากการรังควานของพม่าอะไรทำนองนั้น รวมทั้งนายพลอาจจะต้องมาตรวจสอบอีกครั้งว่าเป็นใครแน่ และรายละเอียดอื่นๆ เช่น บันทึกของเครเมอร์ (อันนี้ไม่ว่าเลือกปีไหนก็ต้องเปลี่ยน) อ้อ แล้วก็ต้องหาเหตุผลในการที่แงซายพูดภาษาอังกฤษได้ดีให้คณะนายจ้างเชื่อได้โดยที่ต้องไม่แย้มเรื่องที่ตนเคยเรียนในอินเดีย (งงมั้ยนั่น) ๙.) ทัศนะของผมนะครับ ผมคิดว่านี่เป็นการเลือกระหว่าง เปลี่ยนจุดใหญ่ๆ ไม่กี่จุด (๒๕๑๓) กับเปลี่ยนรายละเอียดปลีกย่อยหลายๆ จุด (๒๕๐๒) เพราะผมคิดว่าถ้าเป็น ๒๕๑๓ จะมีส่วนปลีกย่อยที่ขัดแย้งกันน้อยกว่า และแก้ไม่ยาก ส่วนจุดใหญ่ที่ว่าคือ ประวัติแงซาย ประมาณครึ่ง-ครึ่งเลย บอกตามตรงผมลังเลเหมือนกัน เพราะถ้าเลือกปี ๒๕๑๓ หวุดหวิดจะเปลี่ยนคาแรคเตอร์ของแงซายไปเลย ที่ผมมาแย้งนี่ก็ไม่ใช่ว่าต้องการให้เรื่องราวในภาพยนตร์เกิดในปี ๒๕๑๓ แต่อยากรู้ว่าถ้าเป็น ๒๕๐๒ มันจะดีกว่ายังไง แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 03:02:48 จากคุณ : สลัดดำ - [ 20 มี.ค. 50 00:50:28 ]

ความคิดเห็นที่ 28 -พบกับพระธุดงค์ตอน 5 ขวบ -นำตัวไปฝากเอาไว้กับท่านสมภารที่วัแห่งหนึ่งเมาะลำเลิง -พอประมาณ 10 ขวบถูกส่งไปเรียนที่เมืองมัณฑะเลย์ -เรียนอยู่ 8 ปีก็กลับมาเป็นโจรกะเหรี่ยงอิสระ (ตอนนั่ง 18) -เป็นโจรกระเหรี่ยงอยู่ 3 ปีแล้วก็เจอกับรพินทร์แล้วก็หนีออกมา(ตอนนั่นอายุ 21) จากคุณ : Par&Par - [ 20 มี.ค. 50 00:53:05 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เสริมตามประวัติศาสตร์ก่อนแล้วกัน  ส่วนเรื่องเปลี่ยน พ.ศ.ค่อยถกกันอีกที ตามบทประพันธ์ เมื่อตอนเป็นเด็กหนุ่มแงซายเป็นนายทหารของนายพลอองซาน ภายใต้บังคับบัญชาของผู้บังคับกองยินตอง ตั้งแต่สมัยสงครามเอเชียบูรพา และได้ร่วมรบกับกองกำลังทหารอังกฤษเพื่อบุกยึดพม่า(ซึ่งญี่ปุ่นยึดครองอยู่)ได้สำเร็จ   อันนี้ตามประวัติศาสตร์จริง นายพลอองซาน (บิดาของนางอองซาน ซูจี) ในปี พ.ศ.2490 วีรบุรุษของพม่า ซึ่งเป็นผู้นำการปลดแอกพม่าจากอาณานิคมอังกฤษ“ผู้ถูกยกให้เป็นบิดา แห่งอิสรภาพ” ในปี 2489 แกนนำประชาชน ฝ่ายพะซะปะละ ได้เสนอข้อเรียกร้องต่าง ๆ เช่น การเรียกประชุมสภาสร้างชาติ และการเรียกร้องอิสรภาพ ในการปกครองตนเองอย่างสมบูรณ์ ซึ่งอังกฤษนั้นไม่สามารถที่จะต้านพลังเรียกร้อง ที่เกิดขึ้นทั้งในพื้นที่เมืองและชนบท จึงจำต้อง มอบอำนาจการปกครองคืนให้กับพม่า พร้อมกับสัญญาว่า จะให้อิสรภาพแก่พม่าโดยสมบูรณ์ หลังจากนั้นผู้นำประเทศพม่า ได้ทราบข่าวการประกาศของชนชาติรัฐฉาน(ไทยใหญ่)จะประกาศเอกราช  ก็ได้แสดงความเห็นชอบด้วย ต่อมาในวันที่ 8 ก.พ. 2490 เขาได้เดินทางไปร่วมประชุมกับเจ้าฟ้าไทใหญ่ที่เมืองปางโหลงทันที และเขาได้กล่าวในที่ประชุมว่า ทางอังกฤษพร้อมที่จะให้เอกราชแก่พม่าและรัฐต่างๆ ภายในปี 2491 ทว่าอังกฤษเกรงว่าจะเกิดปัญหาในการปกครอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เรียกร้องให้ชนชาติรัฐฉานและชนชาติรัฐต่างๆ ร่วมเป็นแรงสนับสนุนด้วย จากนั้นในวันที่ 12 ก.พ. 2490 จึงได้มีการทำสัญญาข้อตกลงในการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษร่วมกัน และมีข้อตกลงร่วมกันว่าหากได้รับเอกราชจากอังกฤษแล้ว จะร่วมกันปกครองเป็นระยะเวลา 10 ปี จากนั้นทุกรัฐมีสิทธิที่จะปกครองตนเอง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน เพื่อให้เกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน จึงได้ทำข้อตกลงระหว่างกันขึ้น และได้กำหนดข้อตกลงดังกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญหลังการประชุมแล้วเสร็จ ซึ่งระบุว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงให้ถือว่าเป็นผู้ละเมิดกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงเป็นที่มาของ “สนธิสัญญาปางโหลง” พร้อมกับรัฐธรรมนูญอันเป็นกำเนิดวันสหภาพพม่านับแต่นั้นเป็นต้นมา แต่ยังไม่ทันจะได้รับเอกราชจากอังกฤษ นายพลอองซาน (ผู้นำฝ่ายพะซะปะละ) และผู้นำบางคน ผู้ร่วมลงนามสนธิสัญญาฝ่ายพม่ากลับถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2490 รองประธานพะซะปะละในขณะนั้น คือ ตะขิ่นนุ ได้เป็นประธานในการร่างรัฐธรรมนูญต่อจนสำเร็จ จากนั้นก็ได้เจรจากับรัฐบาลอังกฤษ และลงนามเพื่อการมอบเอกราชให้กับพม่า โดยกำหนดไว้เป็นวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 พม่าจึงได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์มานับแต่นั้นและภายหลังจากที่ได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2491 ความหวังที่รัฐต่างๆ จะแยกออกปกครองตนเองหลังปกครองร่วมกันครบ 10 ปีก็ริบหรี่ ซึ่งพม่าได้ส่งกำลังทหารเข้าครอบครองทั่วพื้นทุกรัฐจนถึงทุกวันนี้ เพราะภายหลังจากรัฐบาลของ ฯพณฯ อูนุ ที่ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯพม่าต่อจาก นายพลอองซาน ที่ถูกลอบสังหารได้เพิกเฉยต่อการปฏิบัติตามข้อตกลงในสนธิสัญญาปางโหลงเมื่อปี พ.ศ. 2491 แล้ว ความขัดแย้งระหว่างชนพื้นเมืองในรัฐต่างๆกับรัฐบาลพม่าที่มีอยู่ก่อนแล้วมันก็ได้เพิ่มดีกรีความรุนแรงและกระจายตัวไปทั่วทั้งประเทศ   ไม่เว้นแม้กระทั่งหมู่บ้านเล็กๆ เป็นเหตุผลให้ชายฉกรรจ์จำนวนมากได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับกองกำลังกู้ชาติของ "องค์กรสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง"(KNU) ซึ่งกองกำลังนี้ได้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2471 เพื่อเรียกร้องสิทธิในการหยัดยืนอยู่บนผืนแผ่นดินฐานะของพลเมืองชั้น 1 หาใช่พลเมืองชั้น 2 เหมือนเช่นที่เคยเป็นมา จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 20 มี.ค. 50 01:04:35 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวที่เคยเสนอไปแล้ว ร.ท.แงซาย  ผู้บังคับหมวดสี่ ยศร้อยโท ใต้สังกัดกองทหารอิสระของนายพลอองซาน หน่วยวินาศกรรมของกองโจรกะเหรี่ยงประจำกองร้อยค่ายเสือดาว เมื่อตอนเป็นเด็กหนุ่มแงซายเป็นนายทหารของนายพลอองซาน ภายใต้บังคับบัญชาของผู้บังคับกองยินตอง ตั้งแต่สมัยสงครามเอเชียบูรพา และได้ร่วมรบกับกองกำลังทหารอังกฤษเพื่อบุกยึดพม่าได้สำเร็จ  ต่อมานายพลอองซานได้เป็นผู้นำในคณะรัฐบาลพม่า และ ถูกยกให้เป็นบิดา แห่งอิสรภาพ  แต่กลับถูกลอบสังหาร ในปี พ.ศ.2490 ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้บังคับกองยินตองหัวหน้าของแงซาย อยู่ไม่ได้ จึงได้นำแงซายกับกำลังส่วนหนึ่งเข้าป่าเพื่อหนีจากรัฐบาลทหารพม่ามาสมทบเข้ากับพวกกะเหรี่ยง(อาจเป็น KNU) ของนายพลโบเมี๊ยะซึ่งภายหลังได้ประกาศปลดปล่อยรัฐกะเหรี่ยงเป็นอิสระ ในปี พ.ศ.2492  และแงซายได้ร่วมสู้รบกับกองโจรกะเหรี่ยง(ตามที่รพินทร์เรียก)  และรับหน้าที่เป็นหน่วยวินาศกรรมของกองโจรกะเหรี่ยงเพื่อทำลายคลังแสงของพม่า โดยใช้อาวุธ “ศรพระราม” เข้าโจมตี อย่างสุดความสามารถ แต่ด้วยความเบื่อหน่ายในหลายสิ่งหลายอย่างในระหว่างการสู้รบที่โหดร้าย ป่าเถื่อน ทั้งการทรยศหักหลัง ผลประโยชน์ การเอารัดเอาเปรียบจากนายทหารระดับผู้นำประกอบกับคิดว่าได้ตอบแทนบุญคุณให้กับหลวงตา วัดในเมืองมัณฑะเลย์ ที่ได้อุปการะเลี้ยงดูมามากเพียงพอแล้ว และที่สำคัญแงซายยังมีภารกิจสำคัญยิ่งที่จะกอบกู้เอกราชแก้แค้นให้กับบิดามารดาที่เมืองมรกตนคร ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แงซายหนีออกจากกองโจรกะหรี่ยงเพื่อเป็นกรรมกรเหมืองแร่,พรานนักล่าสัตว์พเนจร เพื่อใช้เวลาในการฝึกฝน ใช้ชีวิตในป่า และรอเวลาสะสมตบะ,บารมี,คาถาอาคม,ความรู้ความสามารถและดีกรีทางปริญา เพื่อรอเวลาในการกอบกู้เอกราช อันนี้ผมมั่วเอง ผิดถูกค่อยว่ากัน จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 20 มี.ค. 50 01:07:53 ]

ความคิดเห็นที่ 31 อันนี้เป็นความคิดเห็นของคุณโดมิงโก้ (ขออภัยที่ต้องเอ่ยนาม) ซึ่งก็น่าสนใจดี ประวัติของแงซาย ผมขอเพิ่มเติมนิดนึงครับ จากคำพูดของแงซายในภาคแรกเล่ม 24 ตอนที่คณะเดินทางหลบหนีอกจากคุกใต้ดินเข้าพบจักราชเป็นครั้งแรก - แม่พาแงซายหลบหนีออกจากมารกตนครตอนแงซายอายุได้ 5 ขวบกว่า ลุงหนานอินพบแงซายกับแม่ตอนแงซายอายุ 6 ขวบ แม่ตาย ลุงอินเอาแงซายไปฝากพระธุดงค์ พระธุดงค์จับแงซายบวชเณรแล้วรับแงซายเป็นลูกศิษย์พาออกธุดงค์ด้วยและช่วยสั่งสอนศิลปวิทยาคมให้ - แงซายบวชอยู่กี่ปีกันแน่ก็ยังงงอยู่ เพราะในหนังสือบอกว่า 5 ปีเอง แต่พระธุดงค์เอาแงซายไปฝากให้ศิษย์ของท่านที่เป็นเจ้าอาวาสวัดเล็กๆในพม่าให้แงซายได้เข้าโรงเรียนปกติและสอนวิชาการต่อสู้ให้ตอนที่แงซายอายุ 14 ปี แงซายก็ต้องเป็นเณร 8 ปีสิ ช่างมันก็แล้วกัน เอาเป็นว่าแงซายเรียนเก่งมาก สามารถเรียนรู้วิชาการศึกษาเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว เรียนจบประถมปลายได้ในเวลาสั้นๆ - ปี พ.ศ.2488 แงซายอายุประมาณ 18 ปี เข้าเป็นทหารอาสาอังกฤษร่วมโดดร่มเข้ายึดพม่าได้ หลังสงครามโลกสงบเจ้าอาวาสส่งเสียให้แงซายเรียนต่อในขั้นมัธยม เรียนได้ดีมากจนข้ามชั้นจบได้ในเวลาอันรวดเร็ว และได้เรียนต่อในคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยบอมเบย์จนจบด้วยดีกรีเกียรตินิยม - หลังจบปริญญาตรี แงซายถูกเรียกตัวกลับให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกองกำลังกู้ชาติกะเหรี่ยง ทำหน้าที่อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นแงซายก็หนีทัพแล้วไปเป็นคนงานเหมืองและมาเป็นพรานป่าพเนจร จนสุดท้ายก็มาสมัครเป็นลูกหาบให้คณะเดินทางของรพินทร์ - ช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ.2488-2502 แงซายทำหลายอย่างมาก คงต้องลองจัดลำดับประวัติให้ดีๆ สมมติแงซายสอบเทียบจบชั้นมัธยมต้น ต่อด้วยมัธยมปลายได้ในเวลา 2 ปี จากนั้นปี 2490 เข้าเรียนปริญญาตรีจบใน 3-4 ปี ปี 2493-94 เข้าร่วมกองโจรกะเหรี่ยง 3-4 ปี ปี 2497 หนีทัพไปเป็นคนงานเหมืองและสุกท้ายเป็นพรานป่าพเนจร จัดแบบนี้ก็คงจะได้กระมังครับ จากคุณ : Domingo   - [ 28 มี.ค. 49 15:18:33 ] แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 09:28:25 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 09:25:52 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 09:17:39 จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 20 มี.ค. 50 01:10:16 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ในไพรมหากาฬ ที่แงซายแนะนำตัวเองกับคณะนายจ้าง เขียนไว้ว่าแงซายอายุ 28-30 ดังนั้นนับจากเหตุการณ์ที่ค่ายของรพินทร์แตกจนถึงวันที่แงซายเข้ามาสมัครขอร่วมเดินทางด้วย ก็ห่างกัน 7-9 ปี หรือ นับจากวันที่กลับพม่ามาเป็นกองโจรกะเหรี่ยงจนถึงวันที่สมัครขอร่วมเดินทางด้วย ก็ห่างกัน 10-12 ปี ถ้าแงซายอายุ 18 ปี อยู่ในปีพ.ศ.2488  แล้ววันที่วันที่สมัครขอร่วมเดินทางด้วย ก็อายุ 28-30ปี ดังนั้นจะเป็นปีพ.ศ. 2498-2500 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 01:21:48 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 01:20:07 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 01:17:10 จากคุณ : Par&Par - [ 20 มี.ค. 50 01:15:45 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ส่วนสงครามเอเชียมหาบูรพา ยุติปี 2488 ญี่ปุ่นประกาศพ่ายแพ้สงคราม ซึ่งก่อนหน้านั้นญี่ปุ่นยังยึดพม่าอยู่ สมมุติว่า ปีที่แงซายโดดร่มให้ทหารอังกฤษยึดพม่า ถ้ากำหนดให้เป็นปี 2488 นะ ถ้ากำหนดให้แงซายโดดร่มตอนนั้นอายุ 16 ปี  ในปี 2488   ก็หมายความว่า พ.ศ.2502  แงซายจะมีอายุ 30 ปี แต่ถ้ากำหนดให้แงซายโดดร่มตอน อายุ 18 ในปี 2488 แงซายก็จะมีอายุ 32 ปี แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 01:45:31 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 01:42:41 จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 20 มี.ค. 50 01:41:40 ]

ความคิดเห็นที่ 34 โอ้ย  คิดไม่ตกค่ะคุณปู่ จากคุณ : Par&Par - [ 20 มี.ค. 50 01:42:28 ]

ความคิดเห็นที่ 35 โอจิคุงครับ ผมว่านะครับ ถ้าตามบทประพันธ์แล้ว เลือกเอาเฉพาะส่วนที่จะทำให้เหตุและผลสอดคล้องกัน ไงๆ แงซายต้องโดดร่มอย่างเร็วที่สุดเมื่ออายุ ๑๘ ปีครับ เพราะเข้ามาเรียนในพม่าเมื่ออายุ ๘ ปี และใช้เวลาเรียนหนังสือ(และวิทยายุทธ์)อีก ๘ ปี นี่ก็ ๑๖ เข้าไปแล้ว ยังมีฝึกการรบแบบกองโจร ๒ ปีอีก อย่างเร็วสุดก็ต้อง ๑๘ ปี นอกจากว่าจะปรับเปลี่ยนประวัติในวัยเด็กเพื่อความเหมาะสม แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 50 02:02:34 จากคุณ : สลัดดำ - [ 20 มี.ค. 50 02:01:24 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คุณนาครียะครับ ช่วงที่รพินทร์เป็นพรานฝึกหัด ไม่น่าจะหลังจากออกจากราชการหรอกครับ ที่ว่าเป็นพรานมาสิบปีเนี่ย หมายถึงออกจากราชการมาเป็นพรานอาชีพนะครับ ซึ่งรพินทร์ก็เคยกล่าวไว้ว่า สมัยเด็กก็อยู่กับป่า เข้าป่ากับพ่อ และออกสู่โลกภายนอกเพียงระยะสั้นๆ (๖ ปี) กลับมาก็เป็นตำรวจป่า พอออกจากตำรวจป่าก็เป็นพรานป่า อีกทั้งเมื่อมาเป็นพรานอาชีพใหม่ๆ ก็ช่วยชีวิตพรานใหญ่อย่างบุญคำไว้ได้ จนได้รับการนับถือ (ตามที่บุญคำเล่า) แสดงว่าฝีไม้ลายมือตอนนั้นเนี่ยคงไม่ใช่ขี้ๆ แล้ว ฉะนั้น ช่วงที่รพินทร์เป็นพรานฝึกหัดน่าจะเป็นช่วงวัยรุ่น แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ถ้าจะเอากันจริงๆ ก็คงต้องตัดตรงนี้(ที่ว่ารพินทร์เล่าเรื่องระเบิดจากเครื่องบินสมัยสงครามโลกให้หนานไพรฟัง) ออกไป ส่วนตัวผมก็เห็นว่าในบทประพันธ์ รพินทร์ออกจะเล่าเยิ่นเย้อไปหรือเปล่า ? ที่จริงก็เล่าไปเลยก็ได้ว่าหนานไพรพูดเรื่องขุมเพชรพระอุมาให้ฟังยังไงบ้าง จากคุณ : สลัดดำ - [ 20 มี.ค. 50 02:38:43 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ผมนึกว่าจบกันไปแล้วนะครับ ถ้าเปลี่ยนปีอะไรอีกหลายๆ อย่างที่จะต้องเปลี่ยนจะตามมากันไม่จบสิ้น จากคุณ : MERRISS - [ 20 มี.ค. 50 05:35:16 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ด้วยความเคารพครับคุณสลักดำ  บางครั้งต้องเข้าใจว่าการทำภาพยนตร์กับในบทประพันธ์นั้นอาจแตกต่างกัน   อย่างที่ผมได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเราจะเลือกการปูคาแรกเตอร์ตามประวัติศาสตร์จริง กับ ปี พ.ศ.ตามบทประพันธ์  เราจะเลือกในสิ่งไหนเป็นหลัก   นั่นล่ะครับมันยากตรงนี้แหละ ในภาพยนตร์นั้นสิ่งที่สำคัญอยู่ที่การปูคาแรกเตอร์หลักของเรื่อง  ว่ามีความเป็นมายังไง  เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้มากที่สุด มีน้ำหนักอ้างอิงได้ชัดเจนว่าใครผ่านอะไร ตรงไหน จุดไหน และเวลาไหนมาบ้าง จะได้อธิบายกับคนดูได้ และเพื่อความเข้มข้นในการเชือดเฉือนกันชนิดมีดจ่อคอหอยของแต่ละฝ่ายระหว่างรพินทร์กับแงซาย ผู้ผ่านสงครามกันมาอย่างโชกโชน นี่ก็คือเหตุผลหลักที่ทางทีมงานเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงปี พ.ศ.จากปี 2513 มาเป็น 2502 อีกอย่างในภาพยนตร์วันที่พระจันทร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 12 ถอดออกมาได้ว่าเป็น วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน 2513 ในภาพยนตร์เราก็ไม่จำเป็นต้องระบุ ปี พ.ศ.2513 ก็ได้  พูดแค่วันที่และเดือนก็น่าจะเพียงพอ   เพื่อตัดปัญหาที่จะทักท้วงขึ้นในภายหลัง(แต่ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเลือกทางไหน) หวังว่าคุณสลักดำคงพอจะเข้าใจในสิ่งที่ทีมงานได้เลือกไว้แล้วนะครับ จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 20 มี.ค. 50 10:15:03 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ึมึนค่ะ มึน อิอิ ตอนคุณพนมเทียนเขียนจะคิดไว้หรือเปล่าหนอว่า แฟน ๆ จะมาเปิดประเด็นกันเรื่องนี้ แต่ที่แน่ ๆ เจ้าของกระทู้และผู้ตอบคงได้รู้เรื่องประวิติศาสตร์อย่างกับเรียนเอกด้านนี้เลยค่ะ แวะมาแซวและคำนับอีก 1 จอกค่ะ จากคุณ : jittra - [ 20 มี.ค. 50 10:36:48 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ไปๆมาๆ เรื่อง เพชรพระอุมา จะอิงประวัติศาสตร์ ใกล้ๆ หนังสมเด็จฯเลยนะเนี่ย .... ชักจะทวีความมันขึ้นไปทุกขณะ แต่ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคุณ โอจิ ที่ว่า "ในภาพยนตร์นั้นสิ่งที่สำคัญอยู่ที่การปูคาแรกเตอร์หลักของเรื่อง " จะมีคนดูหนังสักกี่คนที่จะรู้ลึกถึง ปี พ.ศ. เช่น เราๆ จากคุณ : หงส์เมืองเหนือ - [ 20 มี.ค. 50 14:26:30 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมก็เห็นด้วยว่า ถ้าแงซายไม่เคยผ่านสงครามโลกมาแล้ว อาจไม่ดูขลังเท่านี้ เป็นอันว่าต้องเป็นปี พ.ศ. ๒๕๐๒ แน่ๆ แต่แหม...ผมเองก็ไม่อยากจะให้ตรงบทประพันธ์เป๊ะหรอก ก็บทประพันธ์มีจุดพลาดนี่นะ จากคุณ : สลัดดำ - [ 20 มี.ค. 50 15:33:48 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ดีครับคุณสลัดดำ  ทีนี้เห็นจะเข้าใจตรงกันแล้วนะครับ ดูแล้วคุณเป็นแฟนพันธ์แท้เพชรพระอุมาระดับจอมพรานเลยทีเดียว  การอธิบายและยอมรับกันด้วยเหตุผลเช่นนี้ สามารถเป็นกองสนับสนุนได้อย่างดีเลยทีเดียว ถ้ายังไง มีความคิดเห็นในเรื่องต่างๆก็ช่วยกันเป็นแนวร่วมกันได้นะครับ เพื่อความสมบูรณ์ที่สุดของหนังเรื่องนี้ ใช่ไหมครับปู่อุปฯ จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 20 มี.ค. 50 16:18:25 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เฮ่ออออออ ลงเอยกันด้วยดี ปรบมือให้ในความใจกว้าง และน้ำใจนักกีฬาของท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่านค่ะ จากคุณ : Nymph~* - [ 20 มี.ค. 50 18:43:29 ]

ความคิดเห็นที่ 44 เอ๊ะ!!!! คุณ โอจิ (Oji_yoyo) รู้สึกว่าจะว่ากระทบผมนะ ^_^. อยู่ๆ ก็ร้อนตัวขึ้นมาเฉยๆ จากคุณ : MERRISS - [ 20 มี.ค. 50 21:54:58 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ใช่ครับ เยี่ยมครับ ยินดีต้อนรับสู่การผจญภัยครับ จากคุณ : อุปนิกขิต - [ 20 มี.ค. 50 22:05:39 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ง่ะ มีอ้างชื่อเราด้วย โผล่เข้ามาดูซะหน่อย อิอิอิ จากคุณ : Domingo - [ 22 มี.ค. 50 00:56:37 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เรื่องเวลา... กองพลเสือดำของพรานใหญ่จัดตั้งปี 2511 และปลดประจำการปี 2514 ดังนั้นเนื้อเรื่องจะเริ่มก่อนปี 2511 ไม่ได้เป็นอันขาด ข้อนี้ค่อนข้างสำคัญ เพราะถ้าเหตุการณ์เกิดก่อนมีกองพลเสือดำ 1. จะอธิบายเรื่องยศผู้กองยังไง 2. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กองกับแงซาย ...............ในวันที่ 26 สิงหาคม 2506 เอกอัครราชฑูตสาธารณรัฐเวียดนามประจำกรุงเทพ ฯได้มีหนังสือแจ้งความประสงค์ของรัฐบาลสาธารณรัฐเวียดนาม ซึ่งมีประธานาธิบดี เหงียน วัน เทียว เป็นผู้นำขอรับการช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติมจากรัฐบาลไทยซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ ลงมติ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2510 อนุมัติหลักการให้ความช่วยเหลือทางทหาร แก่รัฐบาลสาธารณรัฐเวียดนามจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้น เรียกว่า “กรมทหารอาสาสมัคร” ( กรม อสส.) มีขนาดใหญ่กว่ากองพัน แต่เล็กกว่ากรมผสม มีภารกิจในการรบเป็นหลัก และปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนเป็นรอง เป็นกองกำลังทหารไทยหน่วยแรก ที่ปฏิบัติการรบในเวียดนาม ได้สมญานามว่า “ จงอางศึก” หลังจากที่กรมทหารอาสาสมัคร เดินทางไปปฏิบัติการรบในสาธารณรัฐเวียดนามเป็นเวลา 1 ปี กองทัพบกได้มอบให้คณะกรรมการพิจารณาเตรียมการส่งกำลังไปผลัดเปลี่ยน กรมทหารอาสาสมัคร โดยให้เพิ่มเติมเป็น 1 กองพล เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2511 จึงมีคำสั่งจัดตั้ง “กองพลทหารอาสาสมัคร ” บรรจุมอบเป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก มีที่ตั้งปกติ ณ ค่ายกาญจนบุรี ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และเดินทางไปปฏิบัติการรบในสาธารณรัฐเวียดนาม มีสมญานามเป็นที่รู้จักกันในนาม “กองพลเสือดำ” เป็นเวลา 4 ปี จนถึงเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2514 กองกำลังทหารไทย ได้ถอนกำลังออกจากเวียดนามใต้กลับที่ตั้งปกติ ค่ายกาญจนบุรี การปฏิบัติการรบของทหารไทย ที่ไปร่วมรบในครั้งนั้น ได้เป็นที่ประจักษ์ แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นอย่างดี และได้รับคำสรรเสริญถึงวีรกรรมการสู้รบของทหารไทย ซึ่งสู้รบอย่างกล้าหาญ ความมีวินัย จิตใจที่เข้มแข็ง แสดงถึงความเป็นชาตินักรบ ยอมเสียสละแม้กระทั่งเลือดเนื้อ ชีวิต เพื่อส่วนรวมและประเทศชาติเป็นอันมาก ซึ่งสอดคล้องกับประวัติคุณดาริน ซึ่งเป็นสมาชิดกิติมศักดิ์สมาคมเป้าบินแห่งประเทศไทยที่จัดตั้งในปี 2510 (ข้อนี้ไม่ซีเรียสเหมือนประวัติผู้กอง) ....และต่อมาคณะกรรมการฯ ซึ่งนำโดย พลตำรวจเอกหลวงชาติ ตระการโกศล นายกสมาคมฯ ก็ได้ทำหนังสือขอจดทะเบียนเป็นสมาคมโดยใช้ชื่อว่า “สมาคมยิงเป้าบินแห่งประเทศไทย” เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2510 จากคุณ : PUFF - [ 4 เม.ย. 50 11:46:50 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เรื่องเวลา... กองพลเสือดำของพรานใหญ่จัดตั้งปี 2511 และปลดประจำการปี 2514 ดังนั้นเนื้อเรื่องจะเริ่มก่อนปี 2511 ไม่ได้เป็นอันขาด ข้อนี้ค่อนข้างสำคัญ เพราะถ้าเหตุการณ์เกิดก่อนมีกองพลเสือดำ 1. จะอธิบายเรื่องยศผู้กองยังไง 2. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กองกับแงซาย ...............ในวันที่ 26 สิงหาคม 2506 เอกอัครราชฑูตสาธารณรัฐเวียดนามประจำกรุงเทพ ฯได้มีหนังสือแจ้งความประสงค์ของรัฐบาลสาธารณรัฐเวียดนาม ซึ่งมีประธานาธิบดี เหงียน วัน เทียว เป็นผู้นำขอรับการช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติมจากรัฐบาลไทยซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ ลงมติ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2510 อนุมัติหลักการให้ความช่วยเหลือทางทหาร แก่รัฐบาลสาธารณรัฐเวียดนามจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้น เรียกว่า “กรมทหารอาสาสมัคร” ( กรม อสส.) มีขนาดใหญ่กว่ากองพัน แต่เล็กกว่ากรมผสม มีภารกิจในการรบเป็นหลัก และปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนเป็นรอง เป็นกองกำลังทหารไทยหน่วยแรก ที่ปฏิบัติการรบในเวียดนาม ได้สมญานามว่า “ จงอางศึก” หลังจากที่กรมทหารอาสาสมัคร เดินทางไปปฏิบัติการรบในสาธารณรัฐเวียดนามเป็นเวลา 1 ปี กองทัพบกได้มอบให้คณะกรรมการพิจารณาเตรียมการส่งกำลังไปผลัดเปลี่ยน กรมทหารอาสาสมัคร โดยให้เพิ่มเติมเป็น 1 กองพล เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2511 จึงมีคำสั่งจัดตั้ง “กองพลทหารอาสาสมัคร ” บรรจุมอบเป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก มีที่ตั้งปกติ ณ ค่ายกาญจนบุรี ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และเดินทางไปปฏิบัติการรบในสาธารณรัฐเวียดนาม มีสมญานามเป็นที่รู้จักกันในนาม “กองพลเสือดำ” เป็นเวลา 4 ปี จนถึงเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2514 กองกำลังทหารไทย ได้ถอนกำลังออกจากเวียดนามใต้กลับที่ตั้งปกติ ค่ายกาญจนบุรี การปฏิบัติการรบของทหารไทย ที่ไปร่วมรบในครั้งนั้น ได้เป็นที่ประจักษ์ แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นอย่างดี และได้รับคำสรรเสริญถึงวีรกรรมการสู้รบของทหารไทย ซึ่งสู้รบอย่างกล้าหาญ ความมีวินัย จิตใจที่เข้มแข็ง แสดงถึงความเป็นชาตินักรบ ยอมเสียสละแม้กระทั่งเลือดเนื้อ ชีวิต เพื่อส่วนรวมและประเทศชาติเป็นอันมาก ซึ่งสอดคล้องกับประวัติคุณดาริน ซึ่งเป็นสมาชิดกิติมศักดิ์สมาคมเป้าบินแห่งประเทศไทยที่จัดตั้งในปี 2510 (ข้อนี้ไม่ซีเรียสเหมือนประวัติผู้กอง) ....และต่อมาคณะกรรมการฯ ซึ่งนำโดย พลตำรวจเอกหลวงชาติ ตระการโกศล นายกสมาคมฯ ก็ได้ทำหนังสือขอจดทะเบียนเป็นสมาคมโดยใช้ชื่อว่า “สมาคมยิงเป้าบินแห่งประเทศไทย” เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2510 จากคุณ : PUFF - [ 4 เม.ย. 50 11:48:13 ]

ความคิดเห็นที่ 49 คุณ PUFF โปรดลองอ่านกระทู้นี้ในความคิดเห็นต่างๆให้ดีๆครับว่าเหตุใดถึงต้องเปลี่ยนระยะเวลา ให้ออกเดินทางในปี พ.ศ.2502 อีกอย่างค่ายรพินทร์ไม่ใช่กองร้อยเสือดำครับ  แต่เป็นกองร้อยหมีดำครับ  ซึ่งในจุดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีในประวัติศาสตร์จริงซะทีเดียว อาจเป็นการอุปโลกขึ้นมาจากบทประพันทร์ก็เป็นได้  เพราะจุดนี้ไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญอะไรมากมายนัก...สามารถแก้ไขไปตามบทภาพยนตร์ได้... สำหรับ สมาคมยิงเป้าบินแห่งประเทศไทย ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงในภาพยนตร์ก็ได้นี่ครับ แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 50 10:21:03 จากคุณ : โอจิ (Oji_yoyo) - [ 5 เม.ย. 50 23:12:49 ]

ความคิดเห็นที่ 50 จริงด้วยครับ รพินทร์เป็น ตชด ไม่ได้เกี่ยวกับกองพลเสือดำ งั้นก้อไม่น่ามีปัญหาครับ ส่วนเรื่องสมาคมอะไรนั่นเรื่องเล็กครับ ถ้าไม่ได้มีบทพูดถึงก็ไม่เกิดปัญหา จากคุณ : PUFF - [ วันจักรี 17:04:04 ]