CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    หวานมันส์ .... ชำแหละหนัง: 300, A Digital Epic

      10 - 9.5 / 10 (22 คน)
      9 - 8.5 / 10 (9 คน)
      8 - 7.5 / 10 (4 คน)
      7 - 6.5 / 10 (0 คน)
      6 - 5.5 / 10 (2 คน)
      5 - 4.5 / 10 (1 คน)
      4 - 3.5 / 10 (0 คน)
      3 - 2.5 / 10 (0 คน)
      2 - 1.5 / 10 (0 คน)
      1 - 0 / 10 (2 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 40 คน

     55.00%
     22.50%
     10.00%
     0.00%
     5.00%
     2.50%
     0.00%
     0.00%
     0.00%
     5.00%


    [แหงล่ะ งานนี้ Spoil อยู่แล้ว!]



    Frank Miller .... เป็นอีกหนึ่งฮีโร่ในดวงใจของผม จากการที่เขียนเรื่องราวในนิยายภาพและหนังสือการ์ตูนหลายต่อหลายเรื่อง และก็ยังเป็นศิลปินที่มีความคิดได้สุดบรรเจิดสุดๆ เปรียบเหมือนนักสร้างคนนึง ผลงานที่เราเห็นๆก็คงมี Daredevil, Elektra, Robocop แต่ผลงานที่แจ้งชื่อให้เขาจริงๆก็คงจะเป็น Sin City ที่เมื่อเรื่องนี้ถูกนำมาสร้างเป็นหนังอีกที ชื่อของเขาก็เป็นที่ถูกรู้จักในวงกว้าง จนทุกๆคนได้รู้จัก Frank Miller อย่างจริงๆจัง แล้วก็การทีความ Batman ในรูปแบบของเขา ก็ได้ถูกเป็นแรงบันดาลใจให้เกิด Batman Begins ด้วย ฉนั้นเขาจึงได้มีผลงานอีกเรื่องตามมาแบบไม่ขาดสาย ไหนจะ Sin City 2 แล้ว ตอนนี้ผลงานนิยายภาพของเขาอีกเรื่องนึงก็ถูกดัดแปลงเป็นหนังในที่สุด นั่นคือ 300

    ใน 300 .... คือเรื่องราวที่มีเค้าโครงจากประวัติศาสตร์จริงๆ แต่ว่าเมื่อถูกมาตีความใหม่ในนิยายภาพของ Frank Miller ทุกๆอย่าง ทุกๆอย่างจะเป็นเหมือนเรื่องตำนานผสมกับเรื่อง Fiction ทันที! เนื่องจากว่า 300 เป็นผลงานของ Miller ต่อจาก Sin City: A Dame To Kill For โดยทันที ฉนั้นความเป็น Sin City มันยังคงจะมีอยู่กับ 300 นิดๆ ฉนั้นฉบับหนังที่เราได้ดูนั้นคือ ไม่ใช่ผลงาน Remake เรื่อง 300 Spartans ที่อิงประวัติศาสตร์อย่างสุดๆ แต่เรื่องนี้คืองานที่ถอดภาพจากนิยายภาพของ Frank Miller จริง

    ใน 300 .... ใช้เทคนิคไม่ต่างจาก Sin City แถมทุนก็ไม่สูงมากเสียด้วย จึงเป็นหนังที่ใช้เทคนิคใหม่ๆเกือบ 100% แบบทันใจเลย! ขณะที่หนังเรื่องนี้จะต่างกับ Sin City ตรงที่ เรื่องนี้จะมีบทหนัง ซึ่งใน Sin City จะเป็นหนังที่ถอดจากหนังสือการ์ตูนโดยตรง แต่กับ 300 ถูกแปลงจากนิยายภาพ มาเป็นบทหนัง มาเป็นหนังอีกทีนึง ฉนั้นเรื่องนี้ถือว่ายากกว่า Sin City ตรงบทหนังเนี๊ยแหละ เพราะมันต้องถูกแปลงมาอีกหลายๆครั้ง กว่าจะสมบูรณ์แบบให้เราได้ดู

    ใน 300 .... มีเรื่องที่ไม่ใหญ่เท่ากับหนังมหากาพย์อย่าง Gladiator หรือ Braveheart นักเท่าไหร่ เพราะเรื่องราวมันดูจะสั้นมากๆ ซึ่งเป็นเรื่องราวของเศษเสี้ยวเดียวเกี่ยวกับพวกชาวกรีก ว่าอะไรทำให้พวกเขารู้จักฮึกเหิมที่จะสู้กับพวกเปอร์เซี่ยนในที่สุด และอะไรที่ทำให้ชาวสปาร์ตันผงาดที่จะบ้าเลือดเพื่อชาติ! ฉนั้น 300 คือหนังของลูกผู้ชายของจริง และไม่จะเป็นที่จะต้องไปอ่านนิยายภาพเรื่องนี้ก่อนมาดูหนังเรื่องนี้ เพราะนิยายภาพกับหนังไม่ได้ต่างอะไรนักเท่าไหร่ แล้วหนังก็ทำให้เรารู้สึกว่าได้อ่านนิยายดีๆเรื่องนึงอยู่!

    ใน 300 .... เน้นความมันส์แบบบ้าเลือดลูกเดียว ประมาณแบบที่เราลุ้นดูฟุตบอลรอบนัดชิง หรือไม่ก็ดูมวยปล้ำแบบ Hardcore สดๆมันส์ๆ ซึ่งเพราะความมันส์แบบซาดิซจนเลือดกระจายของหนังเรื่องนี้นั้น คือศิลปะที่บ่งบอกได้ว่า เรื่องนี้มีความเน้นอาร์ตอยู่พอควร เลือดในหนังหรือฉากคอหลุด-ขาขาด ถูกเนรมิตให้เป็น CG ซะมากกว่าจะให้เป็นเลือดจริง (เช่นเดียวกับใน Sin City เลือดในเรื่องนั้นจะใช้สีขาวแทนเลือดจริงๆ) แล้วด้วยที่เลือดหนังเป็น CG หมด เราจึงเหมือนได้ดูหนังเรื่องนี้ แบบได้อ่านนิยายดีๆเรื่องนึง!

    ใน 300 .... เป็นผลงานแจ้งเกิดของผกก.นามว่า Zack Snyder ที่เคยทำ MV หรือ โฆษณา มาต่อหลายๆตัวแล้ว แล้วก็ยังได้กำกับ Dawn of The Dead (Remake) ที่เป็นหนังลูกบ้าสมใจคอซอมบี้ มาถึงงานที่ 2 ของเขาในเรื่องนี้ เขาก็ได้โชว์ฝีมือได้สุดฝีมืออีกครั้ง โดยคราวนี้ระบบ Digital แบบเพียวร์ๆ ซึ่งคราวนี้เขาได้เกิดสมชื่อ เพราะผลงานเรื่องนี้เราเหมือนได้ดู ภาพอาร์ต/นิยายภาพ/หนังมหากาพย์ และ ความมันส์ซาดิซลูกบ้า ในงานเดียว แล้วเราก็คงเห็นว่าเขาเหมาะกับหนังในรูปแบบ Digital จริงๆ เพราะผลงานเรื่องต่อไปของเขาก็จะเป็น Digital เหมือนกัน นั่นคือ Watchmen หนังดีดัดแปลงจากนิยายดีๆอีกเรื่องนึง แถมเรื่องนี้จะเป็นหนัง Rate R เรื่องที่ 3 ของเขาด้วย

    ใน 300 .... ไม่ได้เน้นแค่ พวกทหาร Spartan ที่ไปออกรบอย่างเดียว แต่ยังเล่าถึงความเข้มแข็งของราชินี ที่ก็ต้องทำใจว่า อาจจะไม่ได้เจอสามีสุดที่รักอีก แล้วก็คงจะมีทางน้อยมากๆ ที่กษัตริย์ที่ตัวเองรัก จะได้กลับมาหาตัวเอง ซึ่งเรื่องราวของราชินีในเรื่องถูกเล่ามาในแบบภรรยายผู้ที่มีความรักให้กับพระสวามีจริงๆ เธอรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกอยู่ก็จริง แต่เธอก็ยอมทุกๆอย่างเพื่ออาณาจักรและกษัตริย์ที่รักของตัวเอง สู่เกียรติศักดิ์ที่ไม่มีวันลืม

    ใน 300 .... เป็นหนังอีก 1 เรื่องที่จะใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบ Voice-Over นั่นคือตัวละครเอกมาเล่าเรื่องย้อนหลัง แล้วก็เรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆในปัจจุบัน(ในเรื่อง)กว่าถูกจะพูดถึงหนังก็จบแล้ว แต่ตัวละครที่ถูกมาทำหน้าที่นี้กลับไม่ใช่ กษัตริย์ Leonidas หรือ ราชินี Gorgo แต่เป็น ทหารที่ถูกให้ออกจากการรบไปก่อน เมื่อนำสารไปบอกกับสภากรีกนั่นคือ Dilios ซึ่งตัวละครนี้ จริงๆแล้วบทบางเรื่องราวการรบ เรื่องราวของเขาจะไม่ได้พูดถึงมากเท่าไหร่ แต่ด้วยหน้าที่ของเขาที่จะต้องเล่าเรื่องให้คนดูเข้าใจฟัง มันทำให้รู้สึกว่าตัวละครมีบารมีมากมายกับคนดูในช่วงเวลาที่เล่าเรื่อง แล้วก็เสียงของเขาที่เล่าออกมานั้นเหมือนกับชายแก่คนนึงเล่าเรื่องของกษัตริย์ที่บ้าเลือดและไม่เคยยอมแพ้ใคร ได้อย่างมีพลังและน่าเชื่อถือได้อย่างอศัจรรย์ใจ!

    ใน 300 .... กษัตริย์ Leonidas ในหนังก็เหมือนถอดแบบมาจากนิยายภาพโดยตรง! ไม่ว่าจะหน้าตา และรูปร่างลักษณะของเขา ที่ถอดแบบได้เหมือนมากๆ แต่มันไม่ใช่เหมือนเท่านั้น ทักศนคติจากนิยายภาพและหนังเองก็ไม่ได้ต่างกันนักเท่าไหร่ เพียงแค่ว่าตัวหนังเองต้องการจะให้มันมีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่ได้ต้องการให้ถูกคิดไปว่าในหนังนั้นดูถื้อๆแบบแปลก แต่แท้ที่จริงทั้งในหนังและนิยายภาพมันมีความสดไม่ต่างนัดเท่าไหร่! และด้วยบทพูดเดียวกันของตัวละครทั้งนิยายภาพและหนัง ทำให้รู้สึกว่า ช่วงเวลาในหนังมันสามารถทำให้เราคนลุกจนเหนือคำบรรยายจริงๆ ฉนั้นตัวละครนี้สร้างขึ้นเพื่อให้บรรดาชาติชายทั้งหลายรู้จักที่จะฮึกเหิมพร้อมลุยในสถานการณ์ต่างๆที่เป็นมรสุมชีวิตที่เกิดขึ้นให้เราเห็นบ่อยๆ จงรับมือกับมัน

    ใน 300 .... พวกกองทัพกรีกที่ถูกคัดไปรบส่วนใหญ่แล้ว ก็มีบทบาทไม่ต่างกับหนังสงครามอย่าง Saving Private Ryan, The Thin Red Line และ Windtalker เท่าไหร่ เพราะว่าบทบาทของพวกเขา ก็แค่ถูกให้ไปรบเคียงข้างกับกษัตริย์ที่โหยหาเกียรติศักดิ์ผู้นี้ แต่บทบาทของพวกเขาถูกพูดถึงโดยรวม ประมาณว่าก็ไม่อุดมคติไม่ต่างกับ Leonidas นัก เพราะพวกเขาก็มาเพื่อสู้ตายจนลมหายใจสุดท้ายเหมือนกัน เราจะเห็นว่ามีทหารเตรียมใจมาสู้แล้วว่า จะลุยตายไปข้างนึง และ อาจจะไม่ได้กลับไปที่บ้านของพวกเขา ซึ่งในความรู้สึกผมทัศนคติระหว่าง Leonidas กับพวกทหารของเขา ไม่ได้ต่างอะไรกับ ทัศนคติของ นายพล Tadamichi Kuribayashi กับพวกทหารของเขาในเรื่อง Letters from Iwo Jima เพราะว่าตะโกนดังๆให้กับพวกทหารประมาณว่า "หนุ่มๆขอให้กินอาหารเช้าสบายใจ เพราะคืนนี้เราจะกินข้าวในนรก" กับ "พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้กลับบ้านอีก" มันเป็นคำพูดที่รู้สึกได้เลย ควรเตรียมใจและปรงซะ เพราะยังไงนี่คงเป็นวีรกรรมครั้งสุดท้าย ที่เราจะได้ทำแล้ว ถึงแม้จะไม่รอดแน่ๆ แต่เราต้องบ้าเลือดให้หนักสุดๆ ซึ่งหนังบรรยายตรงนี้ได้ดีมากๆ ด้วยการใช้ส่วนการตะโกนดังๆของ Leonidas ก่อนที่จะปาหอกใส่ Xerxes มาเป็นตัวบอกให้เห็นว่า "เนี๊ยแหละ ตูบ้าเลือดสุดได้แค่นี้แหละ!" มันเป็นเกียติศักดิ์ที่บอกไม่ถูกจริงๆ

    ใน 300 .... นักแสดงแต่ละคนในเรื่องทำหน้าที่แทบจะดีทั้งนั้นซึ่งตั้งขอชื่นชมเป็นอย่างสูงว่า ถ้าไม่ใช่เพราะนักแสดงเหล่านี้ บทบาทเรื่องราวในหนังคงไม่หนักแน่นเท่ากับในนิยายภาพหรอก ซึ่งไม่ว่าจะเป็น

    Gerard Butler .... ที่ถูกมองข้ามหลายต่อหลายครั้ง และก็ถูกอคติมาพอสมควรแล้วจาก The Phantom of The Opera ที่ถูกประเมิณเล่นไม่ได้เรื่อง แถมการแสดงที่เราเห็นเขาบ่อยๆนั้น ก็เป็นบทพระเอกซะส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้รับการนับถือซักเท่าไหร่! พอใน 300 บท Leonidas เป็นบทที่โชว์หลังสุดๆกว่าบทที่ผ่านมาที่เขาได้โชว์การแสดงมา เขาได้แสดงสุดๆมาก แล้วใส่พลังให้ดูหน้าเกรงขามและดูแล้วให้รู้สึกให้คนดูเชื่อถือเขา ถึงขนาดไปยอมตายด้วย ไม่ต่างกับในนิยายภาพซักเท่าไหร่ ซึ่งผมว่าบทนี้ถ้าไม่ได้เขาคนนี้เล่น ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครเหมาะสมเท่ากับเขาอีกแล้ว! และบท Leonidas ก็มีบทพูดที่น่าตรึงใจหลายต่อหลายตอน แต่มีบทพูดที่ชวนรู้สึกเจ็บหนักสุดๆก็คือ " Ephialtes ขอให้เจ้ามีชีวิตต่อไปในแบบขมขื่น "

    Lena Headey .... อย่างที่ผมบอกไป ราชินีในเรื่องนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับกษัติรย์ที่ออกไปรบ ถึงแม้ว่าบทเธอเองจะอยู่แต่ในเมืองก็ตาม แต่ถ้าพูดแกร่งแล้วเธอก็ไม่แพ้กับ Leonidas ซักเท่าไหร่ ซึ่ง Lena ก็รับหน้าที่นี้ได้ดีมากๆ ไม่ใช่แค่เธอจะแสดงความสง่าได้ดีอย่างเดียว แต่เธอมีเย็นชาและแข็งแกร่งอยู่ในตัว เธอมีความรักกับกษัตริย์ที่เป็นที่รักของเธออย่างแท้จริง จนทำให้เรารู้สึกบทราชีนีในเรื่อง มีความแกร่งไม่ต่างกับกษัตริย์ Leonidas เลย

    Dominic West .... นักแสดงคนนี้อาจจะเคยเล่นเป็นพระเอกหรือเป็นตัวร้ายมาหลายต่อหลายเรื่องแล้ว แต่เรื่องนี้เขาก็เล่ห์ได้ร้ายกาจจริงๆ จนรู้สึกว่าเกลียดเขาเข้ากระดูกดำเลย

    David Wenham .... ผมว่านักแสดงคนนี้สวมบทเป็น Dilos ได้ดีมากๆ ด้วยเสียงที่อันเป็นทรงพลังที่ใช้ในการเล่าเรื่องตลอดทั้งเรื่อง และสามารถปลุกใจให้รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาในตอนจบขึ้นได้ คงรู้สึกได้เลยว่า นักแสดงคนนี้มีความสามารถมากๆที่จะแสดงพลังให้ออกมาคล้ายๆกับ Leonidas เหมือนกัน ซึ่งบทบาทเขาในเรื่องก่อนๆอย่าง The Two Tower และ Return of The King กับบท Faramir ก็ไม่ได้บิ๊กอะไรมากเท่าไหร่ ขนาดว่ามีบทบาทอยู่พอควรแล้ว และก็บท Carl ใน Van Halsing ที่เรื่องนั้นเขาแทบจะไม่มีอะไรน่าจดจำเลย แต่ใน 300 เขาโชว์ศักดิ์ศรีของเขาได้อย่างเต็มที่จนน่าประทับใจจริงๆ เป็นบทที่น่าจดจำอีกบทนึงในหนัง ซึ่งผมรู้สึกตัวเขาเองถูกเอามาใช้ประโยชน์ได้ดีมากๆในหนังเรื่องนี้

    Andrew Tiernan .... บทของนักแสดงคนนี้ดูเหมือนว่า เมื่อได้รับการสอนของ Leonidas ครั้งแรกก็เหมือนกับว่า ความเชื่อที่เขามีต่อ Leonidas จะแตกสลายไม่เหลือสิ้นดี จนต้องเป็นทรยศในที่สุด แต่เมื่อคำพูดที่ Leonidas พูดไปในตอนท้ายๆว่า " Ephialtes ขอให้เจ้ามีชีวิตต่อไปในแบบขมขื่น " มันก็ทำให้ตัวละครนี้รู้สึกว่าเขารู้สึกสำนึกผิดที่ทรยศต่อกษัตริย์ของเขาเอง และมันก็คงทำให้เขารู้สึกเจ็บไปจนถึงตอนสุดท้ายได้เลย! นักแสดงคนนี้ถูกเมคอัพมาได้ดีมากๆ จนเชื่อว่าเขาอัปลักษณ์แบบนิยายภาพอธิบายได้เลย

    Rodrigo Santoro .... ผมว่า Rodrigo ในหนังเรื่องนี้ฝากฝีมือได้ดีเท่าที่ควร ตอนแรกๆผมไม่คิดว่าเขาจะเล่นเป็น Xerxes เลยนะนั่น แต่พอมารู้อีกทีตกใจแบบสุดขีดเลย ก็เรื่องนี้ผมว่าเขาชั่วร้ายได้ที่มากๆ ไม่ใช่ชั่วร้ายในแบบโหดร้าย หรือเย็นชา แต่ชั่วร้ายในที่นี้ผมหมายถึงทำให้คนหลงได้ เพราะตัวละครนี้อ้างว่ามีความเมตตาและสามารถมอบอะไรให้ก็ได้ถ้าเข้าร่วมพวกเดียวกับเขา เขาก็ให้ได้หมด ซึ่งในความรู้สึกผมว่าเป็นตัวละครที่ชั่วร้ายในการหลอกให้คนหลงอยู่หมัดได้ ผมว่าสาวๆเมื่อได้ดู 300 คงจะหลงรักตัวร้ายเรื่องนี้แน่ๆครับ ถือว่าน่าจะเป็นบทดีที่สุดของพี่ Rodrigo เขา เพราะว่าบทบาที่ผ่านมาที่เขาได้ฝากฝีมือไว้ ก็ไม่ค่อยเป็นที่น่าจดจำเลย (ขณะ Lost Season 3 ที่เขามาเป็นตัวละครใหม่ ยังดูแล้วเขาไม่ได้แสดงอะไรให้เราได้ดูเลยครับ)

    หวานมันส์ ที่มีรสชาติ คลั่งสิงโตคำราม
    - Gerard Butler กับการแจ้งเป็นนักแสดง Action แบบเต็มรูปแบบ
    - Zack Snyder ฝากฝีมือเรื่องนี้ได้ดีมากๆ คงต้องรอดู Watchmen จะออกมาเป็นยังไง!
    - นักแสดงคนอื่นๆก็ฝากฝีมือได้น่าประทับใจดี
    - ฉาก Action พันธุ์ซาดิซเลือดสาด ได้ใจผมมากๆ
    - การนำนิยายภาพมาสู่การเป็นหนังได้ดีมากๆ
    - บทหนังอาจจะไม่ได้มีอะไรมากนักเท่าไหร่ แต่ชื่นชมว่ามันสามารถเอาเรื่องราวเล็กๆ มันเป็นเรื่องราวใหญ่ๆได้
    - ภาพ CG ในระบบ High Defination ชัดคมกริบได้ใจสุดๆ และการถ่ายภาพของ Larry Fong (จาก Lost) ที่ทำได้ดีมากๆ
    - ดนตรีโดย Tyler Bates คนนี้ก็คงได้แจ้งเกิดจากหนังเรื่องนี้อยู่พอควรเหมือนกัน เพราะว่านี่เป้นครั้งแรกที่เขาได้ทำงานใหญ่ ทั้งๆที่ผ่านมาผลงานของเขาไม่ได้เป็นที่น่าจดจำเลย!
    - ทุกๆบทพูดของหนังมันชวนติดใจจนลืมไม่ลงจริงๆ
    - Kelly Craig ที่เล่นเป็นผู้พยากรณ์สวยมากๆ
    - ตอนจบ มันฮึกเหิม จนชวนให้นึกถึง Braveheart และ บางระจัน ขึ้นมาทันทีเลย!
    - บทบรรยายไทยโดย ธนัชชา ศักดิ์สยามกุล ก็ยังมีคุณภาพใช้ได้อยู่พอควรแหละ!

    สรุปแล้ว: พอหลังจากที่ดูไปเมื่อรอบพิเศษในวันศุกร์ที่ 9 มีนาคม ที่ SFX Lardproa รอบ 20.00 ก็รู้สึกได้เลยว่ามันเป็นมันส์แบบกระหายเลือดได้ใจจริงๆ เป็นหนังที่พอดูจบแล้วรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันทีเลย แถมมันให้ความรู้สึกรักชาติ  ทำให้รู้สึกว่า อยากให้จะให้มากกว่า 10 มั๊ย เพราะมันโคตรดีจริงๆ แต่อย่างว่าก็คงต้องทำตามกฏแหละครับ ถึงเรื่องนี้จะเป็นหนังที่ผมชอบมากๆ แต่มันเป็นก็เป็นหนังที่ชวนตรึงใจพอสมควรเหมือนกัน มันอาจจะไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับ Braveheart ก็ตาม แต่ถือว่าเป็นการเอานิยายมันโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มได้สำเร็จเลยทีเดียว ให้เรื่อง 10 / 10

    คราวหน้า:ต่อจากหนังเรื่องนี้ก็มี Bridge To Terabithia อีกเรื่องนี่แหละที่ชอบมากๆอยู่เหมือนกันครับ และก็กำลังเขียนอยู่ด้วย!

    เมื่ออ่านแล้วก็ช่วยลงความเห็นกันหน่อยนะครับ ลงก็ได้ไม่ลงก็ได้ครับ แล้วแต่ผู้อ่านครับ

    แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 50 21:43:53

    แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 50 21:37:29

    จากคุณ : billy bob - [ 21 มี.ค. 50 21:33:52 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com