สืบเนื่องจากกระทู้ " 24 เล่ม 9 ชั่วโมง จะไหวเหรอ "
ทำให้ผมมานั่งคิดไปคิดมา
ดูแล้ว อย่างไงอย่างไง ก็ต้องตัดเนื้อเรื่องทิ้งไปจำนวนมาก ไม่งั้นแล้ว หนังจะทำหน้าที่เป็นเพียงตัวเล่าบทประพันธ์ให้ครบ หรือเล่าให้ได้มากที่สุด เพราะเกรงใจบทประพันธ์มากเกินไป และ เกรงใจแฟนๆบทประพันธ์มากเกินไป
ซึ่งผลร้ายจะตกอยู่กับตัวหนัง คนดูหนังก็จะบอกว่า หนังเอาแต่เล่าๆๆๆๆๆๆๆ สักแต่ให้ครบให้จบเนื้อเรื่อง คนที่เป็นแฟนบทประพันธ์ก็จะบอกอีกว่า หนังไม่ซาบซึ้งถึงใจเท่าที่เคยอ่านเลย
สรุปว่า หนังจะซวยทั้งขึ้นทั้งล่อง
ทางเดียวครับที่หนังจะเอาตัวให้รอดได้ ต้องถือจุดยืนว่า
#######เราคือหนัง หนังมีหน้าที่เล่าเรื่องของหนัง ไม่มีหน้าที่เล่าบทประพันธ์ บทประพันธ์ ก็คือวัตถุดิบที่จะเอามาทำเป็นหนัง ไม่ใช่ทั้งหมดทั้งสิ้นทั้งปวงของหนัง######
จึงต้องกล้า ตัด ดัดแปลง บทประพันธ์ เท่าที่จำเป็น....(เน้น เท่าที่จำเป็น)
แต่กรณี 24 เล่ม 9 ชั่วโมง มันสรุปได้เลยว่า มีเรื่องที่จำเป็นต้องตัด มากมายแน่นอน เพราะมันเกินมาตรฐานไปเยอะมากๆ
หากแค่พยายามฝืนตัดเนื้อเรื่องน้อยเกินไป ก็จะได้หนังแกร็นๆ (ซึ่งโอกาสเป็นไปได้สูงมากๆ)
ผมยกตัวอย่างฉากยิงเสือดำ ฉากแรก
หากจะทำให้มีลุ้น มีเสียว มีระทึก ต้องมีภาพโคลสอัพ สายตา เม็ดเหงื่อ การบีบมือลุ้นของคนในฉากนี้ การเอานิ้วแตะไกปืน การกรอกตาหาศัตรู การย่องย่างฝีเท้าอย่างเงียบกริบ สายตาของดารินที่มองเหตุการณ์ ความกลัวของคนในเหตุการณ์ ความเหี้ยมเกรียมของเสือดำที่จัดการเหยื่อ อารมณ์ของนกเงือก ฯลฯ เห็นภาพไหมครับ ตัวหนังต้องใช้เวลาพอสมควรจึงจะดึงอารมณ์ได้ ต้องมี 15 นาที เป็นอย่างน้อยที่สุด แต่หากอัดๆยัดๆ พอจะเริ่มลุ้นก็ ปัง! ผ่านฉากนี้ไปแล้ว ถ้าอย่างงั้นจะสร้างหนังไปทำไมกัน อ่านหนังสือดีกว่า
ไอ้ที่เตรียมของประกอบฉากหนังกันอย่างละเอียดน่าภูมิใจ ก็จะถูกกลบไปด้วยความไร้อารมณ์ของหนัง น่าเสียดาย คนทำก็เสียดาย คนดูก็เสียดาย
ผมอยากให้คนจดจำท่าน Cinephile ในฐานะนักสร้างหนัง ไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดบทประพันธ์มาเป็นหนัง(ซึ่งไร้ความหมาย)
หากคนดูหนังออกมาจากโรงแล้วบอกว่า หนังไม่เห็นครบถ้วนเหมือนในบทประพันธ์ที่เคยอ่านเลย..........ผู้สร้างมีสิทธิ์ตอกกลับไปได้ว่า อยากครบถ้วนก็กลับไปอ่านบทประพันธ์ซิ นี่มันหนังนี่หว่า
แต่หากคนดูเดินออกจากโรงมาแล้วพูดว่า หนังไม่สนุกเลย ไม่ได้อารมณ์ เอาแต่ยัดๆๆๆ จนจบเรื่อง............อันนี้ผู้สร้างหนัง ไม่มีสิทธิ์แก้ตัวใดๆเลย เพราะเขาเสียตังค์ตีตั๋วเข้าไปดูหนัง (ดูหนัง)
น่าห่วงครับ
ผมอาจจะพูดถึงเรื่องนี้บ่อย และตรงๆ
ก็เพราะ มันคือจุดที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดของการจะมีหนังเรื่องนี้ขึ้นมา
และนี่ก็เป็นเวลาที่ควรพูดด้วย เพราะก่อนหน้านี้ หรือหลังจากนี้ต่อไป การมาพูดเรื่องนี้ก็ดูจะไร้ประโยชน์แล้ว
********นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวน่ะครับ คุณไม่ต้องเห็นด้วยก็ได้********
แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 12:47:18
จากคุณ :
เบากระบาล
- [
30 มี.ค. 50 12:37:58
]