CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    +++ ดูแล้วมาคุยกัน ... The Lives of Others , อ๊ะ นี่มัน Infernal affairs เวอร์ชั่นกำแพงเบอร์ลิน +++

      ชอบมาก ห้ามพลาด (4 คน)
      ชอบ (0 คน)
      เฉยๆ (1 คน)
      ไม่ชอบ (0 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 5 คน

     80.00%
     0.00%
     20.00%
     0.00%
     0.00%


    ถึงมิตรรักผู้อ่านกระทู้ทุกท่าน ก่อนอ่านบทความนี้ ขอเชิญชวนมาร่วมกันที่นี่จ้า

    exclaim ท่านเห็นด้วยหรือไม่ กับ 'การเซ็นเซอร์' ในหนังหรือในทีวี ปัจจุบัน (ทั้งกรณี 'เบลอ' และ 'แบน')
    http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A5310223/A5310223.html



    ...เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป และ อ่านความเห็นอื่นๆ + เชิญชวนมาแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่  http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=04-2007&date=10&group=1&gblog=232

    ... ด้วยความที่ผมอ่อนภาษาปะกิต เมื่อเห็นชื่อหนังเรื่องนี้ ผมจึงไม่แน่ใจว่า

    The Lives of Others มันมีความหมายถึง

    ชีวิต(life – พหูพจน์) ของคนอื่น

    หรือ

    การใช้ชีวิต(lives) ของคนอื่น

    แม้ขณะที่ผมดูผมก็ดูไปคิดไป ว่า มันแปลว่าอะไรกันแน่หว่า

    แต่เมื่อดูจบ ผมก็พบว่า ไม่ต้องคิดให้เมื่อยเซลล์ภาษาฝรั่งในสมอง เพราะในหนัง สิ่งที่ตัวละครเอกเกี่ยวข้อง คือ ทั้ง ชีวิตของคนอื่น และ การใช้ชีวิตของคนอื่น

    ....ช่วงเวลาในหนัง คือ ช่วงเวลา 4 ปีก่อนกำแพงเบอร์ลินจะพังทลาย คือ ช่วงเวลาที่ประชาชนในฝั่งเยอรมันตะวันออกใช้ชีวิตโดยถูกควบคุมจากรัฐที่ยึดมั่นในระบบสังคมนิยม

    ...วิสเลอร์ เป็นนายตำรวจในหน่วยงานของรัฐ ชื่อ สตาซี่ เขาเป็นทั้งครูผู้สอนวิชารีดความจริงผู้ต้องหาให้กับลูกศิษย์ เขารู้เทคนิคมากมายที่จะบอกได้ว่า คนตรงหน้า พูดความจริงหรือกำลังโกหก

    วิสเลอร์ เป็น คนประเภทที่อยู่ในวงสนทนาอาจจะพาให้จ๋อยหมู่ เช่น ถ้าคุณกับเพื่อนๆนินทาเจ้านาย เขาจะนั่งหน้าตายบอกบุญไม่รับ และ ไม่ยิ้มแม้แต่นิดเดียว

    เขารับมอบหมายภารกิจสอดแนมด้วยการติดเครื่องดักฟัง เกออร์ก นักประพันธ์หนุ่มผู้มีชื่อเสียง มีภรรยาเป็นนักแสดงรูปงาม เกออร์ก ถูกสงสัยว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวพันกับฝั่งเยอรมันตะวันตก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็ถือว่ามีความผิดฉกาจฉกรรจ์

    วิสเลอร์และลูกน้องจะสลับเวรกันคนละครึ่งวันมานั่งฟังเสียงที่เกิดขึ้นและจับจ้องภาพที่เห็นในห้องว่า มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ มีหลักฐานเพียงพอที่จะจับยัดเกออร์กเข้าซังเตหรือเปล่า

    ...ในยุคสมัยที่รัฐเป็นใหญ่ ชีวิตของประชาชนทุกฝีก้าวทุกตารางนิ้วถูกเฝ้ามอง ขาดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น การใช้ชีวิตต้องเดินตามกรอบของรัฐ และ หากผู้ใดต่อต้านก็เป็น ศัตรู

    ประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง เช่นนี้ คงมีหลายสิ่งที่น่าสนใจ หากอยู่ในหนังเรื่องอื่นๆ แต่ ในหนังเรื่องนี้ประเด็นนี้กลับเป็นประเด็นรองที่ถูกเขียนขึ้นมารองรับในประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ ชีวิตของคนสองคน

    ระหว่างตัวละครสำคัญสองคน วิสเลอร์ VS. เกออร์ก เรามองเห็นภาพชายหนุ่มสองคนที่ต่างกันคนละขั้ว

    วิสเลอร์ ผู้การผู้โดดเดี่ยว หนุ่มโสด เปลี่ยวเหงา ไร้อารมณ์ขัน จริงจังกับชีวิตราวกับเอาไม้บรรทัดขีดเส้นไว้ เขาใช้ชีวิตราวกับเดินตามแนวทางของพรรคและขึ้นตรงต่อระบอบสังคมนิยม และ พร้อมจะเอาผิดคนต่อต้านโดยไม่ลังเล

    วิสเลอร์ ใช้ชีวิตตาม สังคม สั่งให้ทำ ตาม ระเบียบบอกให้เดิน แต่ ไม่เคย ถามหัวใจตัวเองว่า แท้จริงแล้วตัวเองต้องการอะไร

    ส่วน เกออร์ก ศิลปินผู้มีชีวิตคู่ในสังคมเลิศหรูสวยงาม พรั่งพร้อมด้วยคนรอบกาย ผู้มีความเป็นศิลปะในหัวใจ ประมาณ หนุ่มติ๊สท์อารมณ์ศิลปิน มีด้านที่อ่อนไหวละเอียดอ่อน เขาทำงานตามที่หัวใจสั่ง ตามแรงบันดาลใจ บางหนเขาเลือกประนีประนอมเพื่อให้อยู่รอดในระบอบ แม้ ในใจลึกๆเขาก็มีสิ่งที่อยากจะพูดอยากจะประกาศออกมาในแนวทางตรงกันข้ามกับรัฐบาล

    หลังจาก วิสเลอร์ ติดตาม เกออร์ก ได้สักพัก

    วิสเลอร์ ก็เปลี่ยนไป

    จากเดิมแค่ได้ยิน ได้เห็น เขาเริ่มสนใจที่จะได้ สัมผัส ชีวิตของอีกฝ่าย

    จากหน้าที่เดิมมีแค่ สอดส่อง เขาเริ่มเข้า แทรกแซง เล็กๆน้อยๆ เช่น หยิบหนังสือส่วนตัวของเกออร์กมาอ่าน

    ...หากใครคิดว่า ผู้ชายอย่างวิสเลอร์ เหมือนภูผาที่ไร้ความรู้สึกแล้ว เป็นการตัดสินใจแบบฉาบฉวยรวดเร็วเกินไป เป็นการตัดสินจากภาพภายนอกที่เราเห็น บุคลิกลักษณะของคน

    คนบางคนเฉยชา หาใช่เพราะไร้ความรู้สึก แต่ คนบางคนมีกำแพงที่สร้างขึ้นด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้คนอื่นๆเข้าไม่ถึงเนื้อที่ความรู้สึกภายใน และ อาจหมายรวมถึงตัวเขาเอง

    ...เช่นเดียวกับในหนัง ภายนอกที่แตกต่าง ของ ผู้ชายสองคนนี้ กลับ มีภายในที่เหมือนกันอย่างน่าฉงน

    นักศึกษาในหน่วยสตาซี่คนหนึ่งทำงานวิจัยวิเคราะห์บุคลิกภาพ พบว่า บุคคลอย่าง เกออร์ก เป็น บุคคลประเภทที่กลัวการต้องอยู่คนเดียว การถูกตัดทิ้งจากผู้อื่นเป็นความทรมานแสนสาหัส และ เป็นวิธีการที่จะทำให้คนอย่าง เกออร์ก ยอมสารภาพทุกอย่าง จนถึงขนาดอาจทำให้เขาไม่สามารถสร้างงานได้อีกเลย

    เกออร์ก กลัว ความโดดเดี่ยว วิสเลอร์ เองก็ไม่ต่างกัน

    เพียงแต่ เกออร์ก เติมเต็มความโดดเดี่ยวด้วย 'คน' (เพื่อน , คนรัก) แต่ วิสเลอร์ ชดเชยความโดดเดี่ยวด้วย 'งาน'

    ..วิสเลอร์ชดเชยความอ้างว้างและโหยหาผู้คนไปอยู่กับงาน เพราะเขามีงาน เขาจึงไม่อ้างว้าง แต่ งานมันก็ไม่สามารถรดน้ำหัวใจที่แห้งเหี่ยวของเขาได้ จนเมื่อเขาได้มามีส่วนร่วมในชีวิตของเกออร์ก

    จิตวิญญาณที่แห้งผาก ไร้รสชาติ ก็ได้ การใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะ เสียงดนตรี การใช้ชีวิตที่มีรสชาติของความรัก ความอบอุ่น อารมณ์พิศวาสปรารถนา ของ เกออร์ก มาเติมเต็ม สิ่งเหล่านี้ทำให้ ภูผาน้ำแข็งของวิสเลอร์ค่อยๆทะลายลงทีละน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาได้สัมผัสบทเพลงของบีโธเฟ่นผ่านการเล่นเปียโนของเกออร์ก บทเพลงที่เลนินยังไม่อยากฟังเพราะกลัวมันจะสั่นคลอนความแข็งแกร่งภายในจนปฏิวัติไม่สำเร็จ

    …เราจะได้เห็น ความเปลี่ยวเหงาลึกๆในใจของวิสเลอร์ ที่ซุกซ่อนอยู่ในใจแล้วเริ่มแย้มออกมาให้เห็น ในฉากที่ เขาตามนางทางโทรศัพท์มาใช้บริการ การร่วมรักด้วยการกอดอย่างโหยหาความอบอุ่น และ พยายามที่จะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไว้ให้อยู่ด้วยกัน

    ... เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลง เมื่อเขาเลือกที่จะไม่ถามเด็กในลิฟต์ต่อว่าพ่อของเด็กเป็นใคร ในตอนที่รู้ว่าพ่อของตาหนูคนนี้พูดจาดูหมิ่นพรรค ซึ่งถ้าเป็นแต่ก่อนคงไม่รอดเหมือนที่เขากากบาทชื่อเด็กนักเรียนที่มีแนวโน้มทางความคิดไม่คล้อยตาม

    ...ประตูทางความคิดความรู้สึกที่ปิดตายของ วิสเลอร์ ได้รับการไขออก ด้วย ตัวตนและการใช้ชีวิตของ เกออร์ก

    ชีวิตในส่วนที่วิสเลอร์ขาดหายไป , ชีวิตในส่วนที่เขาโหยหา ,ชีวิตในส่วนที่เขาไม่ได้ใช้ ถูกค้นพบใน ชีวิตและการใช้ชีวิตของเกออร์ก

    ยังมี อีกสิ่งหนึ่งที่วิสเลอร์ค้นพบ

    ชีวิตนี้ไม่ได้มีอยู่แค่ 'งาน' แต่ เขายังมี ‘ใคร’ อยู่อีกคน

    เขายังสัมผัสถึงการมี ‘เพื่อน’ อีกคน บนโลกที่เดียวดาย เพื่อนที่สัมผัสได้แม้ไม่เคยเสวนาร่วมกัน

    ... แต่ การที่วิสเลอร์ เปลี่ยนไปเช่นนี้ การที่ วีสลี่ย์เปิดรับ คน เข้ามาในชีวิต ทำให้ วิสเลอร์ ต้องพบกับทางแยกของการตัดสินใจ เช่นเดียวกับ เกออร์ก ที่เขากำลังสอดแนม

    เพราะเมื่อ เกออร์ก ตัดสินใจเลือกเข้าร่วมฝั่งตรงข้ามเต็มตัว โดยไม่รู้ว่าถูกสอดแนม เขาตีพิมพ์ผลงานส่งไปให้กับฝั่งตะวันตก ด้วยบทความที่ไม่ระบุชื่อคนเขียน แต่เมื่อบทความลงในแม็กกาซีนออกมาในที่สาธารณะ เขาคือเป้าหมายหมายเลขหนึ่งที่ถูกสงสัย หน่วยงานของรัฐร้อนเป็นไฟ พยายามที่จะหาเจ้าของ เครื่องพิมพ์ดีดหมึกแดง ที่ตีพิมพ์งานชิ้นนี้มาลงโทษ

    วิสเลอร์ ที่รู้ความจริงทุกอย่างต้องเลือกว่า จะจับ เกออร์ก ด้วยตัวเอง หรือ จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพื่อปกป้อง เกออร์ก

    เมื่อทางรัฐไม่รีรอวีสลี่ย์ ส่งคนเข้าไปจัดการด้วยตัวเอง

    วิสเลอร์ต้องเลือกว่า จะนิ่งเฉย หรือ จะแทรกแซง

    เพราะถ้า เกออร์ก รอด เขาก็จบเห่ แต่ถ้าเกออร์กถูกจับ ชีวิตใหม่ของเขาก็ย่อมเหมือนกับถูกลิดรอนตามไปด้วยเช่นกัน และ คนกับความเป็นเพื่อน ที่เขาเชื่อมโยง(connect)ด้วยได้นั้น ก็จะต้องจากเขาไป

    บทหนังในช่วงท้าย แสดงถึง การเลือกของทุกตัวละคร

    เกออร์ก ต้องเลือก ว่า จะกล้าทำในสิ่งที่หัวใจอยากจะทำหรือไม่ กล้าเขียนในสิ่งที่อยากจะพูดหรือไม่

    เช่นเดียวกับ

    ทางแยกที่ วิสเลอร์ ต้องเลือก ว่าจะปกป้องหรือจับกุม จะเลือกงาน หรือ เลือกคน

    เช่นเดียวกับ คริสต้า นางเอกของเรื่องคู่รักเกออร์ก เธอ ก็ต้องเลือกด้วยเช่นกัน

    เธอจะยอมเอาร่างกายเข้าแลกให้รัฐมนตรีต่อไปเพื่อให้ไม่เอาชื่อเธอขึ้นแบล็กลิสต์หรือไม่

    เธอจะยอมบอกความจริงที่เธอแอบรู้ว่าเกออร์กร่วมมือกับฝั่งตะวันตกเพื่อแลกกับการมีชีวิตทำงานต่อไปหรือไม่

    …มีฉากหนึ่งในช่วงครึ่งหลังนี้เองที่ผมชอบ

    วิสเลอร์ อาจจะไม่ได้เจอเกออร์ก แต่เขาก็ถือโอกาสเข้าแทรกแซงชีวิตของคริสต้า เมื่อเขาไปพบเธอในบาร์แล้วบอกเธอว่า

    “ผมคือผู้ชมของคุณ”

    วิสเลอร์ พูดประโยคนี้กับ คริสต้า

    เธออาจเข้าใจว่า เขาคือผู้ชมละครของเธอ เธอไม่รู้ตัวสักนิดว่า เขาเองยังเป็น ผู้ชมชีวิต ของเธอด้วยเช่นกัน

    ประโยคนี้ ถูกกล่าวขึ้นอีกครั้งตอนสอบสวน เขาบอกเธอแล้วว่า “อย่าทำให้ผู้ชมผิดหวัง” น่าเสียดายที่ คริสต้า ไม่ทันตระหนักเข้าใจ ว่า ผู้ชม ในที่นี้ มิได้หมายรวมแค่ ผู้ชมละครเวที แต่เป็น ผู้ชมชีวิตของเธอตลอดมา

    เมื่อถึงจุดที่ทุกคนต้องตัดสินใจ ก็ถึงเวลาที่เรื่องราวต้องคลี่คลาย ทุกตัวละครก็ได้รับผลตามสิ่งที่ตัวเองคิดและกระทำอย่างเหมาะสมไม่มากไม่น้อยเกิน

    และหนังที่เริ่มต้นด้วยความเป็นหนังดราม่าการเมืองชวนเหงาหลับ ก่อนจะมาลุ้นระทึกช่วงกลาง ก็ปิดท้ายลงอย่างอิ่มอุ่นชนิดอยากปรบมือให้ทีมงาน ที่หาทางออกโยงไปสู่ โซนาต้าสำหรับคนแสนดี

    ... ผมไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ในตอนแรก เพราะนึกว่าเป็นหนังดราม่าในตระกูลหลับคร่อก แม้เพื่อนๆหลายคนมาเชียร์ในบล้อกหน้าแรก ผมก็เกือบๆจะออกไปดู แต่พอเห็นรอบไม่เป็นใจก็เลยทำเฉยกะรอแผ่น จนกระทั่งผมได้ดู Pan's Labyrinth จบ ผมเกิดเปลี่ยนใจกะทันหันทิ้งโปรแกรมที่จะดู black book ไปดูเรื่องนี้ เพราะผมอยากรู้เหลือเกินว่า หนังเรื่องที่แซง Pan's Labyrinth ไปคว้าออสการ์ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเย่ยม นั้น เยี่ยมยุทธประมาณใด

    และที่ผมสงสัยก็ไม่ผิดเพี้ยน ครึ่งชั่วโมงแรกของหนัง มันช่างเป็น ดราม่าหลับคร่อก จริงๆ แต่เมื่อหนังเข้าสู่องก์ที่สอง หลังจากปูเรื่องราวใครต่อใครครบ เมื่อหนังเข้าสู่ช่วงเวลาสอดแนม ผมตื่นตัวตลอดเวลา ยิ่งช่วงท้ายยิ่งรู้สึกลุ้นเหมือนกับว่า กำลังนั่งดู Infernal affairs เวอร์ชั่นกำแพงเบอร์ลิน

    ...หลายคนอาจแย้งว่า มันคนละแนวหนัง มันคนละเรื่อง มันคนละโลกกันเลย แต่ หากมองเข้าไปภายใน จิตใจตัวละคร โลกของสองเรื่องนี้ ก็มีการซ้อนทับกันอยู่

    ตัวละครวิสเลอร์กับ ตัวละคร หมิง ของ หลิวเต๋อหัว ล้วนอยากมีชีวิตและอยากใช้ชีวิตเหมือนตัวละครอีกคน อยากเป็นเพื่อนกับศัตรูฝั่งตรงข้าม แต่ทั้งคู่ได้แค่พึมพำด้วยเสียงในใจ

    หมิง  อยากเป็นคนดี อยากเป็นตำรวจที่คนยอมรับ อยากมีชีวิตเช่นอาหยั่น(เหลียงเฉาเหว่ย) แต่ก็ต้องถูกจำกัดกรอบไว้ด้วย สถานะที่แฝงมาและด้วยความเห็นแก่ตัวที่ไม่อาจละวาง

    วิสเลอร์  อยากมีเพื่อน อยากมีความรัก อยากสัมผัสความอบอุ่น และ อยากใช้ชีวิตบางส่วนเช่นเดียวกับเกออร์ก แต่ก็ต้องถูกจำกัดกรอบไว้ด้วย สถานะของตัวเอง กฏระเบียบของสังคม

    หมิง VS. อาหยั่น และวิสเลอร์VS.เกออร์ก คือ ความสัมพันธ์คนละขั้ว ที่ผูกกันด้วยความเป็นศัตรูกัน และ ไม่อาจพูดคุยเสวนาฉันเพื่อน แต่ในความเป็นขั้วตรงข้ามกันนั้น ต่างก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เชื่อมโยงคนสองคนเข้าไว้ด้วยกัน

    ... หากจะต่างอยู่บ้างก็ตรง คู่ หมิง กับ อาหยั่น คือ การห้ำหั่นชนิดเอาตาย ไม่มีที่ว่างให้กับคำว่า มิตรภาพ ตรงกันข้ามกับคู่ของวิสเลอร์ และ เกออร์ก

    ความเหมือนของสองเรื่องนี้ยังอยู่ที่การให้คนดูต้องลุ้น การเอาตัวรอดของตัวละครภายใต้ภาวะจำกัด และ ภายใต้ภาวะกดดันที่ปัญหาเข้ามาเหมือนไฟที่วิ่งไล่จี้แต่ละตัวละครให้ต้องรีบหาทางออก ก่อนจะขมวดปมทั้งหมดไปที่จุดสุดท้ายและจบลงด้วยความรู้สึกอบอุ่น

    (มีต่อ)

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 12 เม.ย. 50 09:58:01 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com