| ชอบมาก ห้ามพลาด (16 คน) |
| ชอบ (33 คน) |
| เฉยๆ (15 คน) |
| ไม่ชอบ (2 คน) |
| ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (7 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 73 คน |
ถึงมิตรรักผู้อ่านกระทู้ทุกท่าน ก่อนอ่านบทความนี้ ขอเชิญชวนมาร่วมกันที่นี่จ้า
ท่านเห็นด้วยหรือไม่ กับ 'การเซ็นเซอร์' ในหนังหรือในทีวี ปัจจุบัน (ทั้งกรณี 'เบลอ' และ 'แบน')
http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A5310223/A5310223.html
ฝากกระทู้นี้บอกต่อคนใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเด็กด้วยครับ
**** อย่าทำร้ายเด็ก ด้วยการพาไปดูหนังที่ไม่เหมาะกับเด็กเลยครับ (เมื่อผู้ใหญ่อุ้มเด็ก5ขวบ เข้ามาดู Hannibal rising) ****
http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A5328389/A5328389.html
...เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป และ อ่านความเห็นอื่นๆ + เชิญชวนมาแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=04-2007&date=13&group=1&gblog=233
...แรกเริ่มเดิมที ผมคิดจะบอกผ่านหนังเรื่องนี้ เพราะ หนังตัวอย่างที่ตัดออกมา มันชวนให้ ไม่น่าดู เอาเสียเลย ทั้งมุกแป้ก(สำหรับผม) และภาพรวมที่ทำให้เข้าใจว่า รถเมล์สายนี้อาจเป็นแค่ หนังตลกเอาฮาตีหัวเข้าบ้านอยู่อย่างเดียว
แต่ด้วยเครดิตของ เรียว กิตติกร ผู้กำกับที่เคยทำหนังอย่าง โกลคลับ หนึ่งในหนังไทยที่ผมชื่นชอบ ก็เลยชวนให้คิดว่า หนังน่าจะมีอะไรดีๆอยู่บ้าง
เสียก็แต่ ผมค่อนข้างผิดหวังกับผลงานหลังจาก โกลคลับ
พรางชมพู มีพล็อตที่เจ๋ง มีสเกลที่ใหญ่ และ เลือกนักแสดงเด่นๆมากหน้าหลายตา น่าเสียดาย ที่พอรวมๆออกมา กลายเป็นว่า หนังกลับหลวมๆดูแล้วโหรงเหรง
อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม ถือว่าเป็นความกล้าของการทำหนังไทย ที่หยิบเรื่องราวที่อธิบายยากและค่อนข้างเป็นนามธรรม นำมาสร้างเป็นหนัง แถมยังเป็นหนังเจาะกลุ่มวัยรุ่นอีกต่างหาก หนังฉายแววความคิดสร้างสรรในตัวสูง แต่ ปัญหาคือ เมื่อดูไปถึงกลางๆเรื่อง ผมรู้สึกว่า หนังเริ่มวนไปวนมา เนื้อหาไม่ไปถึงไหน และ มีความไม่ลงตัวอยู่มาก หลายฉากพยายาม 'แนว' เกินไป และ จังหวะของหนังบ้างก็อืด บ้างก็ล้นๆ
ผลของความผิดหวังและเสียงร่ำลือในทางลบทำให้ผมทอดทิ้ง เดอะเมีย ก่อนจะกลับมาขึ้น รถเมล์นรก สาย หมวยยกล้อ
และผมก็พบว่า บางที ในตอนนี้ จุดแข็งของ เรียว กิตติกร อาจจะเหมาะกับการทำหนังเล็กๆสะท้อนสังคม มากกว่า หนังสเกลใหญ่ หรือ หนังที่ไฮคอนเซ็ปท์ ไอเดียบรรเจิด ซึ่งเขายังคุมองค์ประกอบให้ออกมาพอดีๆไม่ได้ เหมือนหนังยังไม่อยู่หมัดอยู่มือ
...เมล์นรกฯ เป็น เรื่องราวเล็กๆของคนตัวเล็กๆในสถานที่เล็กๆ แต่ กลับก่อเหตุลุกลามใหญ่โตโกลาหล
รถเมล์ที่มีผู้โดยสารหลากหลายอาชีพ นั่งอยู่ร่วมกัน แต่ด้วยวันสงกรานต์ ท้องถนนไม่เป็นใจ คนขับรถเมล์ปากหมา พารถเมล์ตัวเองไล่กวดรถกะบะที่สาดน้ำใส่ ทำให้ ผู้โดยสารหนึ่งคนไม่สามารถลงป้ายที่ต้องการ จากนั้น ก็ตามมาด้วยความคลุ้มคลั่งสุดจะทน ผู้โดยสารถือปืนเข้าขู่คนขับหวังให้ขอโทษและเลี้ยวรถกลับที่เดิม
เรื่องราว โอละพ่อ ขยายความต่อไม่รู้จักจบจักสิ้น เพราะ ความเอาแต่ใจ , การท้าทายกันไปมา , ความเห็นแก่ตัว , ความอยากเอาตัวรอด , ความใจร้อน ฯลฯ ผลสุดท้ายทุกฝ่ายก็ได้บทเรียน
...ผมดูหนังเรื่องนี้จบคิดถึง บุญชู หนังสมัยก่อนที่ไม่เน้นงานสร้างไฮโซหรูหรา ไม่ต้องเล่าเรื่องราวยากๆให้มากความ ไม่ต้องจับตัวละครที่มาจากกลุ่มคนส่วนน้อยในสังคม อย่างไม่กี่ปีก่อน ชื่อชอบชวนหาเรื่อง ของคุณบัณฑิต ฤทธิกล ก็เคยพยายามเล่าเรื่องแบบนี้ แต่ตอนนั้น หนังค่อนข้างเละและเลอะไม่มีทิศทางชัดเจน
...ฉากหนึ่งในหนังที่ตัวละครกระเป๋ารถเมล์ ถาม เจ้าของปืนในมือว่า พี่จะยิงคนด้วยเรื่องแค่นี้จริงๆหรือ
มันทำให้ผมย้อนนึกถึง ภาพข่าว ของ คนขับรถที่ถูกยิงตายเพียงเพราะขับรถเลนขวา แล้วพอโดนไล่มาอยู่เลนซ้าย ไม่ยอมชะลอตามที่คันหลังจี้ เพียงเท่านี้ ก็ถูกตามมายิงตาย หรือ แค่เหยียบเท้ากันก็ควักปืนเข้ามาลั่นไก
คนเราฆ่ากันตายได้ง่ายๆเพียงนี้เชียวหรือ ?
จะโทษอากาศร้อนอย่างเดียวก็ไม่ได้
...เมล์นรกฯ ช่วยชี้แจงให้เราได้เห็น ต้นตอของการลุกลามของความรุนแรง มันเริ่มจากอะไรได้บ้าง
สถานการณ์บนรถเมล์ สะท้อน สถานการณ์ความวุ่นวายในสังคม ตั้งแต่ระดับคู่รัก , ระดับครอบครัว ไปจนถึง ระดับการเมืองที่ร้อนระอุ
การไม่ลดราวาศอกให้แก่กัน เช่น เรื่องไรฉันจะยอมแกซิต้องยอมฉันก่อน , ถ้าเขาได้ฉันต้องได้ด้วย ฉันไม่ยอมเสียเปรียบ
ความเห็นแก่ตัว เช่น คนอื่นเป็นไงหนูไม่รู้ แต่หนูต้องรอด , ใครจะทำอะไรก็ทำไป ไม่ใช่เรื่องของฉัน
การถือทิฐิ ถืออัตตาตัวเองเป็นใหญ่ เช่น กรูไม่กลัวมรึง, มรึงรู้มั้ยกรูลูกใคร
บุคคลประเภทตัวชง เช่น ลุยเลยดิ ไม่แมนเลยวะ ใจใจเลยพี่ เล่นมันตัวตัวเลย (แต่ไอ้พวกตัวชง จะยืนชงอยู่ห่างออกไปประมาณสิบเมตร)
การโทษคนอื่น เช่น ฉันไม่ผิด , ฉันไม่เคยผิด ,แกนั่นแหละผิด ฯลฯ
...ปัจจัยปลีกย่อยเหล่านี้ เป็นเหมือน ปัจจัยที่ช่วยทวีความรุนแรงและโหมไฟให้หนักขึ้น ทั้งที่จุดเริ่มต้น อาจเป็นปัญหาหรือความขัดแย้งแค่ขี้ผง
หากเพียง ป๋าเทพคนขับ จะยอมขอโทษแต่โดยดี และ จอดให้ลงดีๆ ไม่ใช่ เย้ยหยันและแกล้งขับกระตุกจนเจ้าทุกข์หกล้ม
หากเพียง โน้สกระเป๋ารถเมล์จะช่วยประนีประนอมแต่แรก ไม่ใช่ รับบทตัวชงที่เชียร์ให้แต่ละฝ่ายลุยใส่กัน
หากเพียง เนาวรัตน์ จะลดราวาศอก ยอมให้ ซูโม่กิ๊กลงไปตั้งแต่ตอนที่ เจรจากันด้วยดีแล้ว
หากเพียง ซูโม่กิ๊ก จะคิดถึงลูกสาวที่ต่างจังหวัดตั้งแต่แรกก่อนจะเลยเถิด และ ลงเสียตั้งแต่ตอนต้น
หากเพียง ฯลฯ
หลายๆ หากเพียง มันแสดงให้เห็นว่า ปัญหาบนรถเมล์นรกสายนี้ รวมไปถึง ปัญหาความขัดแย้งทั้งหลายในสังคม มีโอกาสแก้ไขได้นับสิบนับร้อย แต่ เรากลับปล่อยโอกาสเหล่านั้นทิ้งไป
นั่นทำให้
...ในครอบครัวที่พ่อแม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ด้วยมีลักษณะตัวละครแบบในหนัง ลูกๆที่อาศัยอยู่ในบ้านก็จะเป็นเหมือน อิม อชิตะ ที่ปวดอึเจียนตาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า อดทน
ในประเทศที่ผู้นำหรือฝ่ายปกครองคอยจ้องแต่เอาชนะคะคานกัน ด้วยลักษณะตัวละครแบบในหนัง ประชาชนในปกครอง ก็ได้แต่เป็นเหมือน อิม อชิตะ ที่ปวดอึเจียนตาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปว่า อดทน
ทั้งที่ ขอแค่รู้จักยอมให้แก่กันบ้าง รู้จักปล่อยวาง รู้จักการให้อภัย หรือ รู้จักสมานฉันท์ อย่างที่พูดๆกันอยู่ ไฟที่ร้อนแรงก็พร้อมจะดับลงได้ไม่ยากเย็น
อิม อชิตะ ก็จะสามารถลงมาเข้าห้องน้ำได้อย่างสบายแฮ , ลูกๆในบ้านก็จะได้กลับไปมีความสุขในครอบครัวเช่นปกติ และ ประชาชนก็จะได้กลับไปทำมาหากินอยู่ดีมีสุขอย่างมั่นใจ
... แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างคิดถึงตัวเอง ต่างฝ่ายต่างเอาแต่โทษคนอื่น โยนความผิดกันไปมา ไม่คิดถึงการเสียสละ ก็เชื่อได้เลยว่า รถเมล์สายนั้น ไม่มีวันได้จอดให้คนลง ปัญหาต่างๆเหล่านั้นย่อมไม่มีวันมีทางออกด้วยสันติวิธี
(มีต่อ)
แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 50 11:01:52
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
18 เม.ย. 50 10:49:14
]