CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    +++ ดูแล้วมาคุยกัน ... Spider-Man 3 , แมงมุมดำตัวนั้น ฉันเห็นมันอยู่ในใจเราทุกคน +++

      ชอบมาก ห้ามพลาด (41 คน)
      ชอบ (40 คน)
      เฉยๆ (13 คน)
      ไม่ชอบ (3 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (4 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 101 คน

     40.59%
     39.60%
     12.87%
     2.97%
     3.96%


    ... เลือกอ่านบทความ Spiderman3 พร้อมรูป + ความเห็นอื่นๆ และ ชวนเพื่อนๆไปแสดงความเห็นต่อที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=05-2007&date=06&group=1&gblog=242



    ...ก่อนจะไปดู Spiderman 3 ผมตระเวนตามหาอีกสองภาคมานั่งดูอีกรอบ เพราะตั้งใจจะเขียนบทความเฉพาะถึงสไปดี้ลงในคอลัมน์ของ Cream ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้ดูทั้งสามภาคในเวลาไล่เลี่ยกัน

    ดูครบสามภาคจบ ผมอดไม่ได้ที่จะนึกภาพการให้คะแนนของ Spiderman เทียบกับยิมนาสติก ทั้งสามภาคมีคะแนนทิ้งห่างกันไม่มาก เช่น 8/9/8 , 9/8/9 ฯลฯ สุดแล้วแต่ว่าใครจะชอบภาคไหนมากกว่ากัน ที่แน่ๆ ความดีแย่ของทั้งสามภาคอยู่ไม่ห่างกันเกินสองคะแนน และ ภาคที่ด้อยที่สุดก็ยังเป็นหนังที่ดีเกินเกณฑ์มาตรฐาน อย่างต่ำก็ต้อง 7.5 และดีกว่า หนังฮอลลีวูดอีกหลายร้อยเรื่อง

    ... อาจเป็นความบังเอิญหรือเป็นสายตาที่เฉียบคม ในการเลือกทีมงานที่เกี่ยวข้องไล่ตั้งแต่ผู้กำกับยันนักแสดง ทีมสไปเดอร์ชุดนี้อันได้แก่ แซม เรมี่ , โทบี้ แมคไกวร์ และ เคิรตสเท่น ดันน์ ช่างเป็นทีมที่แข็งแกร่ง ราวกับว่า “พระเจ้า จอร์จ พวกเขาเกิดมาเพื่อสร้างหนังเรื่องนี้จริงๆ”


    ภาคแรก เป็นการเปิดฉากที่น่าทึ่งสำหรับการเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ ที่ไม่ได้เน้นเป็นหนังแอคชั่นขี้โม้ และก็ไม่ได้เน้นสาระหรือความขัดแย้งในใจอันซับซ้อนจนอืดอาดเหมือนกับ Hulk หนังภาคแรกผสมสัดส่วนดราม่าลงไปมากเพื่อให้เราได้รู้จักสไปดี้ แต่ก็ยังมีฉากแอคชั่นที่ตื่นเต้นให้จดจำการเปิดตัวไอ้แมงมุม

    ภาคแรกที่ว่าดีแล้ว ภาคสอง ยังดียิ่งกว่า เพราะเป็น ภาคที่ผมคิดว่า มีความลงตัวกลมกล่อมสำหรับการเพิ่มสัดส่วนแอคชั่นมากขึ้นกว่าเดิม จนทำให้ ภาคแรกน่าเบื่อขึ้นมาทันที บทหนังยังใส่มุมมองใหม่ๆเกี่ยวกับชีวิตของซูเปอร์ฮีโร่ ทั้งการชักใยไม่ได้จนต้องขึ้นลิฟต์ หรือ การไล่ส่งพิซซ่าเพื่อหาเลี้ยงชีพไม่ต่างจากคนทั่วไป ในแง่ของหนัง ภาคสองให้ความบันเทิงที่อิ่มกว่าภาคแรก

    ... สองภาคว่าเจ๋งแล้ว ผมเองตอนดูในโรงก็ไม่ได้ถึงกับปลื้มมากมายอะไรนัก จนกระทั่งผมมานั่งดูเรียงกันครบทั้งสามภาค ผมจึงเพิ่งตัดสินใจอาสาสมัครเป็นแฟนคลับ สไปเดอร์แมน

    การได้ดูต่อเนื่องในช่วงเวลาใกล้ๆกัน ทำให้ผมพบว่า นอกจากมาตรฐานดีไม่มีตกแล้ว ทั้งสามภาคถูกสร้างราวกับนัดกันไว้ตั้งแต่แรก

    ภาคสาม อาจไม่ใช่ภาคที่ดีที่สุด แต่เป็นหนังทำหน้าที่ ความเป็นภาคสาม ดีที่สุด สามารถปิดฉากและรับช่วงต่อได้อย่างสมศักดิ์ศรี เราจะพบความต่อเนื่องเสมือนเป็นหนังชุดเดียวกัน ซึ่ง ความต่อเนื่องนี้ไม่ใช่แค่เนื้อเรื่องทั่วๆไป แต่ ยังรวมถึง ปมจิตใจ และ พัฒนาการของตัวละคร

    man Spiderman , ตัวแทนจิตใจมนุษย์ทุกคน


    ...ไม่แปลกอะไรที่ ซูเปอร์ฮีโร่คนนี้จะมีพัฒนาการของตัวละครได้มากกว่าเพื่อนๆซูเปอร์ฮีโร่คนอื่น เพราะ พ่อหนุ่มชักใย เป็นฮีโร่ที่มีความเป็นคนมากที่สุด และ สะท้อนความเป็นคนธรรมดาสามัญได้ดีที่สุด เมื่อเทียบกับ ฮีโร่สว่างสดใสไกลเกินเอื้อมอย่าง Superman และ ฮีโรที่หมองหม่นดำมืดซึมเศร้าอย่าง Batman

    ลองถอดชุดสีแดงๆของไอ้แมงมุมออก เราจะเห็นอะไร ?

    เปล่า ผมไม่ได้หมายถึงรูปร่างของโทบี้ แมกไกวร์ แต่ ลึกลงไปกว่านั้น สิ่งที่เราจะเห็นตั้งแต่ต้นคือ

    ...ภาคแรก คนธรรมดาๆคนหนึ่งต้องปรับตัวกับ ‘การเป็นสไปเดอร์แมน’

    ภาคที่สอง ‘การเป็นสไปเดอร์แมน’ ทำให้ชีวิตของเขาต้องสูญเสียหลายสิ่งในชีวิต สูญเสียเพื่อนรัก สูญเสียคนรัก และ สูญเสียความสนุกในชีวิตเหมือนคนหนุ่มสาวทั่วไป จนเขาเหนื่อยหน่ายและอยากทิ้งสถานภาพนี้

    ภาคที่สาม ผู้ชายคนเดิม เริ่มคุ้นเคยและสนุกกับ ‘การเป็นสไปเดอร์แมน’ เขาหลงระเริงไปกับคำยกยอปอปั้นและเสียงปรบมือ

    ‘การเป็นสไปเดอร์แมน’ หรือ พลังวิเศษ ที่ ปีเตอร์ ได้รับไม่ต่างอะไร กับ ‘การมีอำนาจหรือมีสิทธิพิเศษ’

    ...ถ้านั่งไล่เรียงดูจนครบสามภาค เราจะพบพัฒนาการที่ร้อยเรียงกันของ

    คนที่ตื่นเต้นเมื่อมีอำนาจในมือ แล้วก็ค่อยๆได้เรียนรู้ว่า การมีอำนาจไม่ใช่ว่า เราจะใช้อำนาจจัดการอะไรได้ตามใจ การมีอำนาจพิเศษแต่ขาดความรับผิดชอบ ก็จะเป็นเหมือน เจ้าหน้าที่หรือข้าราชการที่โกงกินเพราะสิทธิพิเศษที่ตัวเองมี

    พอเข้าภาคสอง สไปเดอร์แมน ก็เหมือนกับ คนธรรมดาๆที่เรียนรู้ว่า อำนาจพิเศษเมื่อใช้ในทางที่ถูกที่ควร มันไม่ได้ทำให้เขามีชีวิตที่สะดวกสบาย มิหนำซ้ำ นานวันเข้าเมื่อต้องทำอะไรเพื่อคนอื่นจนสูญเสียความสุขส่วนตัว ก็เริ่มมานั่งใคร่ครวญว่า มันคุ้มแล้วหรือที่ทำอะไรเพื่อใครต่อใคร แต่ตัวฉันกลับไม่สามารถเสวยสุขใดๆได้เลย เขาต้องเรียนรู้การหาความสมดุลในการใช้ชีวิต

    ล่วงเข้าภาคสาม ความคุ้นเคยกับการมีอำนาจหรือสิทธิพิเศษและทำอะไรเพื่อสังคม จนได้มาซึ่ง คำชื่นชม เสียงปรบมือ อัตตาหรืออีโก้ในตัวก็เริ่มหลงมัวเมามีความสุขไปกับเสียงชม จนลืมใส่ใจคนรอบตัว เพราะสนุกกับการใช้ชีวิตเพื่อให้ได้คำชม

    …..การดำเนินชีวิตของ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ตลอดสามภาคที่ผ่านมา ต้องยืนอยู่บนทางแยกที่ต้องตัดสินใจ เหมือนกับหมอที่ปีเตอร์ไปตรวจร่างกายในภาคสอง และ เหมือนป้าเมย์ในภาคสามบอกไว้ว่า

    "แม้จิตใจเราจะมีความขัดแย้งรุนแรงเพียงใด เราทุกคนมีทางเลือกเสมอ"

    ในตอนจบของหนังเรื่อง Number 23 ที่เพิ่งดูไปก็มีประโยคที่ใกล้เคียงกันที่ผมชอบใจ ตอนพระเอกบอกว่า "ไม่มีหรอกชะตากรรม ชีวิตคนเรามีแต่ทางเลือก สุดแต่เราจะเลือกเดินไปทางใด"


    ... ภาคแรก ปีเตอร์เลือกได้ว่าจะหยุดโจรที่เข้ามาชิงทรัพย์ผู้จัดงานมวยปล้ำ หรือไม่ แต่ด้วยความโกรธที่ไม่ได้เงินรางวัลตามตกลง เขาปล่อยให้โจรวิ่งผ่านไป ผลของทางเลือกนั้น ลุงของเขาถูกฆ่าตาย

    ภาคสอง เขาเลือกได้ว่าจะเลิกช่วยคน จะเลิกเป็นสไปเดอร์แมนหรือไม่ แต่ด้วยความผิดหวังที่ชีวิตไม่เป็นดั่งใจ เขาจึงเดินผ่านคนที่ถูกรังแกในซอกตึก

    .... ทุกๆผลของทางเลือกในอดีตที่เราเลือก ย่อมมีผลต่อทางเดินชีวิตในอนาคต เช่น การเลือกปล่อยโจรในภาคแรก ก็ส่งผลตามมาเป็น ความรู้สึกผิด ที่ติดตัว ปีเตอร์ และ ความรู้สึกผิดที่ติดตัวมานั้นก็กลายเป็นชนวนพอที่จะจุดประเด็นต่อในภาคสาม พร้อมๆการมาของ ดึกดำดึ๋ย



    ... ดึกดำดึ๋ย เป็น สสารจากต่างดาวมาพร้อมอุกกาบาต หนังแสดงให้เราเห็นว่า มันแอบตามติดปีเตอร์ตั้งนานแล้ว แต่มันก็ยังไม่ยอมเข้ายึดร่างปีเตอร์ตั้งแต่แรก มันรอคอยอะไรบางอย่าง จนกระทั่งถึงเวลาเราก็พบว่า

    ....ดึกดำดึ๋ย เข้ายึดร่างคนก็ต่อเมื่อ จิตใจคนนั้นอ่อนแอ เมื่อความแค้นเข้าครอบงำรุนแรงจนเส้นศีลธรรมขาดผึง ถึงขั้นอยากฆ่าคนให้ตาย(murderous wish)

    ดึกดำดึ๋ย ยึดร่างปีเตอร์ ในเวลาที่เขาเริ่มแค้นใจ อัดแน่นด้วยความแค้นและปรารถนาจะฆ่า Sandman เช่นเดียวกับ ตอน ดึกดำดึ๋ย ยึดร่างเอ็ดดี้ บล้อก ก็เป็นเวลาที่เอ็ดดี้ โกรธแค้นชิงชังถึงกับวอนขอพระเจ้าให้ฆ่าสไปเดอร์แมน



    ....ดึกดำดึ๋ย ไม่ต่างอะไรจาก กิเลส ที่นั่งรอคอยยึดครองจิตใจคนยามอ่อนแอจนปราศจากสติหรือศีลธรรมในใจ และ แปรเปลี่ยนคนๆนั้นให้เป็น Black spider หรือ Venom

    ดังนั้นในฉากที่ตัวละครสามารถถอดดึกดำดึ๋ยได้ เมื่อได้ยินเสียงเป๊งหง่าว จากระฆังโบสถ์ ราวกับจะสื่อให้เราเห็นว่า แม้จะถูกความชั่วร้ายเข้าครอบงำใช่ว่าคนเราจะพ่ายแพ้เสมอไป

    เสียงระฆังก็เป็นคล้ายๆกับสัญญาณความดีจากศาสนาที่เรียกสติและศีลธรรมให้เจ้าของร่างกลับมาเข้มแข็ง กลับมามีสติจนสามารถเอาชนะจิตใจถอดสีดำออกไปได้ในที่สุด

    นั่นทำให้ บทหนังของภาคนี้ มีความยากกว่าทุกภาคที่ผ่านมา กับการพยายามผูกปมในใจสไปเดอร์ถึงสองอย่างด้วยกัน

    1.ความแค้น จาก ความรู้สึกผิดคั่งค้าง และ การเรียนรู้การให้อภัย

    2.ความหลงระเริง เพลิดเพลินในเสียงชื่นชม จนลืมคนรักและตัวตนที่แท้จริง


    ...นอกจาก พัฒนาการ และ ปมในจิตใจ ของสไปเดอร์แมน คือ ตัวบทที่ผมชื่นชอบ เหล่าวายร้ายทั้งหลายในหนัง สไปเดอร์แมน ก็เป็นกลุ่มเหล่าร้ายที่ผมประทับใจมากยิ่งกว่า วายร้ายจากซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่นๆ

    วายร้ายตั้งแต่ภาคหนึ่งถึงภาคสาม ไม่ใช่ ไอ้บ้าหน้าไหนที่จู่ๆอยากจะมาครองโลก ไม่ได้เป็นไอ้บ้าที่ทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงเกินตัว

    วายร้ายทุกๆตัว ในหนังสไปเดอร์แมน เป็นเพียงแค่ คนธรรมดา เหมือนกับ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ เหมือนกับเราทุกคนที่เลือกทางเลือกในชีวิตที่ผิดทาง และ ความอ่อนแอในจิตใจปล่อยให้ความกิเลสเข้าครอบงำ



    man Green goblin & Doc Ock ปีศาจมาจากความอ่อนแอในจิตใจ


    …นอร์แมน ออสบอร์น ในภาคแรก และ ด๊อกเตอร์อ๊อคโตเวียสในภาคสอง ไม่ต่างจากสไปเดอร์แมน พวกเขาล้วนบังเอิญที่ได้พบกับ พลังอันวิเศษ เช่นเดียวกับการชักใย

    ที่จะต่างจากสไปเดอร์แมน ก็ตรง

    พวกเขาไม่มีลุงเบนที่มาสอนว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง”

    พวกเขาไม่มีป้าเมย์ที่จะมาบอกว่า “การทำสิ่งที่ถูกต้องจำต้องย่อมแน่วแน่ เพื่อแลกกับ ความปรารถนาส่วนตัว”

    พวกเขาไม่ได้เรียนรู้ถึงความเป็นฮีโร่ ที่ป้าเมย์เคยบอกว่า “เราทุกคนมีฮีโร่ อยู่ภายในตัวเอง ทั้งที่ทำให้เราซื่อสัตย์ ทำให้เราเข้มแข็ง ทำให้เรา มีศักดิ์ศรี และ สุดท้ายสามารถตายอย่างภาคภูมิ”

    ... ดังนั้น สุดท้ายพวกเขาจึงกลายเป็น Green goblin & Doc Ock เพียงเพราะ การใช้อำนาจที่ขาดความรับผิดชอบ ใช้อำนาจเพื่อตอบสนองความต้องการตัวเอง จนถลำเกินกว่าจะถอนตัว และ พ่ายแพ้ต่อความเย้ายวนของกิเลสที่เข้ามาครอบงำ

    หน้ากากของ Green goblin และ แขนกลของ Doctor Octavius เป็นสัญลักษณ์ของ กิเลส เหมือนๆกับ ดึกดำดึ๋ย

    ... มนุษย์เจ้าของร่างมีทางเลือกว่าจะยอมปล่อยให้ พลัง มีอำนาจเหนือตัวเองหรือไม่

    พวกเขา ไม่มีใครมาบังคับจับใส่ชุด แต่ พวกเขา กลับไม่อาจถอนตัวจากความหลงใหลในอำนาจที่ได้รับมา ซึ่งเป็นมุมมืดด้านเดียวกับในจิตใจของ สไปเดอร์แมน ในภาคสาม ที่หลงใหล อำนาจตั้งแต่ต้นเรื่อง ตั้งแต่ก่อนจะได้ชุดสีดำเสียด้วยซ้ำ

    เขาหลงใหลในการเป็นดารา หลงใหลกับการเป็นข่าวหน้าหนึ่ง หลงใหลคำชมจนใช้ชีวิตเพื่อให้ได้รับเสียงปรบมือ

    เขาจึงหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่ว่า จะเปิดตัวอย่างไรให้คนตื่นตา จะจัดท่าทางอย่างไรให้คนชื่นชอบ

    ความหมกมุ่นแต่ ‘การเป็นสไปเดอร์แมน’ ทำให้เขาต้องสูญเสีย ความใส่ใจ ที่มีให้กับคนรัก และ ทำร้ายจิตใจของเธอตั้งแต่ยังไม่ได้ใส่ชุดดำ

    ... ทีมตัวร้ายในภาคใหม่ ต่างก็สะท้อน มุมมืดในจิตใจ สไปเดอร์แมน


    (มีต่อ)

    แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 50 20:42:07

    แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 50 13:18:48

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 8 พ.ค. 50 13:14:38 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com