| 10 - 9.5 / 10 (1 คน) |
| 9 - 8.5 / 10 (4 คน) |
| 8 - 7.5 / 10 (4 คน) |
| 7 - 6.5 / 10 (1 คน) |
| 6 - 5.5 / 10 (1 คน) |
| 5 - 4.5 / 10 (2 คน) |
| 4 - 3.5 / 10 (0 คน) |
| 3 - 2.5 / 10 (0 คน) |
| 2 - 1.5 / 10 (1 คน) |
| 1 - 0 / 10 (2 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 16 คน |
SPOIL 100%
หมายเหตุ:ถ้ามีใครกล้าพูดว่า Spider-Man 3 ไม่ต่างอะไรกับ Ghost Raider, Superman 3-4, Catwoman และ Batman & Robin ผมก็ขอบอกได้เลยว่าคุณแหยมกับหนังผิดเรื่องล่ะครับ และก็ถ้าทางว่าคุณจะนิยมพวกจั๊งค์ฟู๊ดมากกว่าพวกของสุขภาพซะด้วยสิ
ในบรรดาหนังซุปเปอร์ฮีโร่ส่วนใหญ่แล้วนี่ จะเป็นหนังที่นอกจากจะให้ความสนุกและความบันเทิงต่อคนดูแล้ว ยังให้สาระอะไรมากมาย รวมถึงมีประเด็นที่น่าค้นหาที่อยู่ข้างในนั้นด้วย ซึ่ง X-Men เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องแรกที่พยายามจะเล่าชีวิตความเป็นคนที่ผิดปกติแล้วพยายามจะช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งนั่นแหละคือการเข้ายุคฮีโร่พันธุ์ที่แท้จริง ว่าต่อไปหนังฮีโร่จะไม่ใช่กระจอกอีกต่อไป แต่จะมีเนื้อหาที่ให้แง่คิดมากขึ้น ฉนั้นใยปัจจุบันนี้เราจะเห็นได้ว่าหนังฮีโร่ที่เราดูในปัจจุบันล้วนแล้ว จะเป็นหนังที่เกือบจะดราม่าส่วนใหญ่
.... ประเด็นก็คือ เมื่อหนังซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องแรกประสบความสำเร็จอย่างสูงหรือมาก และถ้ามันยอดเยี่ยมมากๆล่ะก็ ในหนังเรื่องต่อไปของฮีโร่เรื่องนั้นๆก็จะทำได้ยากกว่าเรื่องแรกทำไว้เสียอีก คือที่ผมหมายถึงนะ เรื่องแรกเยี่ยมมากๆ เรื่องต่อไปจะต้องมีความดีและความเจ๋งมากกว่าเรื่องแรกเป็นหลายเท่า ฉนั้นมันก็คงเป็นเรื่องยากของทางทีมสร้างหนังฮีโร่เหล่านั้น ที่จะทำได้มีฟอร์มที่เจ๋งกว่าเก่าได้
.... ก็ไม่ว่าจะเป็นหนังชุด Batman (1989-1997) เมื่อ Tim Burton ได้เป็นผู้เริ่มทำของหนังชุดนี้ ทุกๆคนต่างคาระวะหนังเรื่องนี้ว่าเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ทำได้เจ๋งเรื่องๆนึง ที่นำด้านมืดและความแฟนตาซีมารวมเข้าที่ได้ เมื่อเขาได้ต่อภาค Returns สิ่งแรกที่ตามมาก็คือมีคนชอบ แต่ไม่เท่ากับภาคแรก เพราะว่าภาคนี้มีความรุนแรงหนักขึ้นกว่าเกิด และได้ใส่ความเป็นดราม่าเยอะกว่าเดิม ทำให้รู้สึกความเป็น Batman ไม่สามารถเท่ากับหนังภาคแรกได้ แต่ยังเข้าเค้ากับในหนังสือการ์ตูนอยู่ เมื่อ Burton ได้ยกหน้าที่ดูแลค้างคาวให้กับ Joel Schumacher ผลก็คือ ภาค Forever มีความแฟนซีมากไปกว่าด้านมืด มันเป็นหนัง Batman ที่ทำได้ดูสนุกเล่น แต่ก็ยังโอเคอยู่ เพียงแต่ความเป็น Batman แบบตอนก่อนๆได้หายไปเลย ทีนี้เมื่อเขาได้ทำ Batman & Robin มันแย่หนักกว่าตอนที่เขาทำ Forever เสียอีก เพราะมันจำพล็อตความเป็น Batman เหมือนกับตอนเก่าๆแทบจะไม่ได้เหมือนกับว่า นี่เป็นจุดจบของหนัง Batman ชุดนี้ ที่อานาถใจมากๆ แต่ก็ต้องชม Christopher Nolan ที่นำฮีโร่คนนี้กลับมาชุบชีวิตอีกครั้ง และได้ตีความเป็นมนุษย์ค้างคาวออกมาใหม่ได้ อย่างน่าภูมิใจ แถมไม่ต้องไปถึงนึกถึงหนัง Batman ชุดเก่าเลย เพราะตัวนี้ทำได้เด็ดเดี่ยวกว่าที่ผ่านมา!
.... หนังซุปเปอร์ฮีโร่ชุด Blade ที่จริงผมชอบหนังชุดนี้ เพราะว่ามันเป็นฮีโร่ที่ออกแนวแอนตี้ช่วงแรกๆที่ผมได้ดู (และผมก็ประทับใจหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้ซะด้วยซิ) ภาคแรกออกมานี่แบบว่าไม่ใช่แค่หนังแวมไพร์ที่น่าจดจำเรื่องนึง แต่มันทรงพลังจนรู้สึกได้เลยว่านี่เป็นฮีโร่ที่ไม่เหมือนใครเลย แถมกวนประสาทได้ใจมากๆ ภาค 2 ที่กำกับโดย Guillermo del Toro (จาก Pan's Labyrinth) ก็ทำได้ดีไม่แพ้กับภาคแรกที่ทำไป เพียงแต่ภาคนี้จะมองอีกมุมมองนึงในความเป็นตัวของ Blade เราจะได้เห็นว่าความเป็นตัวเขามากขึ้น มากกว่าภาคแรก และก็ไม่ได้เน้นที่ตัว Blade ตัวเดียวในภาคนี้ เพียงแต่ภาคนี้ที่ไม่ชอบก็คงเป็นความสยองที่ใส่มามากเกินไป ตามสไตล์ Guillermo น่ะ ทีนี้ภาคสุดท้ายผมว่ามันจบหนังชุดนี้ได้ดีนะ ถึงแม้จะมีคนหลายๆคนบอกไม่ชอบภาคนี้ก็ตาม แต่มันทำได้ถึงพริกถึงขิงได้เรื่องราวของความเป็นแวมไพร์มากกว่า 2 ภาคที่ผ่านมา ฉากเตะต่อยนี่น่าจดจำ เพียงแต่ความสยองแทบจะไม่เห็นในหนังภาคนี้เลย นี่คงเป็นอีกประเด็นนึงที่ไม่ค่อยมีใครชอบภาคนี้ (ยกเว้น) แต่อย่างภาคที่ดีที่สุดก็คงเป็นภาคแรกที่เอาความเป็นฮีโร่กับความเป็นแวมไพร์ได้อย่างเข้าที่และถูกทางแล้ว!
.... หนังชุด Superman ผมคงบอกได้แค่ว่าภาค 3-4 ไม่ใช่หนังที่ควรอนู่ในหนังชุดนี้ เพราะมันทำได้นอกประเด็นมากๆ แล้วก็ยังมีหนัง SuperGirl ที่เป็นสปินออฟเสียอีก จึงได้เห็นว่านี่เป็นตัวอย่างของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่เปิดตัวมาดี แต่ปิดตัวได้แย่มากๆ ต้องขอบคุณ Bryan Singer น่ะครับ ที่นำฮีโร่คนนี้กลับมาชุบชีวิตอีกครั้งใน Superman Returns
.... หนังชุด X-Men ก็ไม่ได้จบแย่เหมือนกับ Superman 3-4 หรือ Batman (1995-1997) หรอกนะครับ! เริ่มแรก Bryan Singer ตีความหนังเรื่องนี้ ในมุมมองใหม่ที่ไม่มีความแฟนตาซีเท่ากับในหนัง แต่ใส่ความหนักแน่นที่หนังสือการ์ตูนเรื่องนี้ต้องการจะตัความให้คนดูได้เข้าถึงกับมัน แล้วก้วยเนื้อหาที่เสียดสีสังคม ทำให้เราเห็นว่าตัวหนังที่ทำออกมานี้เอง ไม่ได้ต่างอะไรกับสังคมที่เราอยู่นักเท่าไหร่ ภาคแรกเป็นภาคที่ดีที่สุดในบรรดาหนังชุดนี้ เพราะไม่ใช่เป็นจุดเริ่มต้น แต่เรื่องราวของมันลึกซึ้งและสมจริงไม่ต่างกับปัจจุบันที่เราอยู่นัก เมื่อภาค 2 มีอะไรให้ดูมากขึ้นกว่าเดิมที่เราได้ดูในภาคแรก เราได้เห็นอดีตของตัวละครหลักและความอคติของมนุษย์ที่มีต่อพวกกลายพันธุ์มากขึ้น แล้วด้วยความที่หนังยาวขึ้นกว่าเดิม มันก็เป็นหนังภาคต่อที่ทำได้หนักแน่นเต็มเหนี่ยวมากๆ เพียงแต่ว่าผมเองอาจจะไปชอบความเป็นภาคแรกเป็นมากกว่าภาคนี้ (ถึงภาค 2 จะมีอะไรหลายๆอย่างที่ดีกว่าภาคแรกก็ตาม) พอมาภาค 3 ทีมงานเก่าๆจาก 2 ภาคแรกหายไปหมด จึงต้องเป็นทีมงานเก่าบางคนจะต้องกลับมารมพลังงานชิ้นสุดท้ายนี้ออกมาสมบูรณ์ให้ได้ แต่ทว่า Bryan Singer ก็หนีไปทำ Superman Returns จึงต้องหาใครที่มีผลงานที่ใช้ได้ ก็คงเป็น Brett Ratner คนที่ชอบทำหนังประมาณเน้นบันเทิงที่น่าจะไว้วางใจได้ ซึ่งพอเขาทำก็ไม่ได้ออกมาเละ ยังอยู่ในสายทางที่ 2 ภาคแรกไว้อยู่ เพียงแต่ว่าหนังภาคนี้เกือบจะกลายเป็นหนังที่ลืมเนื้อหาได้เลยนะ เพราะเมื่อถึงฉากแอ็คชั่นที่แจ๋วกว่า 2 ภาคแรกที่ผ่านมา มันทำให้เราลืมได้เลยว่าหนังต้องการให้คนดูเข้าใจอย่างไง แถมช่วงเวลาพีคก็น่าจะทำได้ถึงแก่นกว่านี้ ซึ่งแม้ว่าบทสรุปของบทสุดท้ายจะทำได้ไม่ดีก็ตาม แต่โดยรวมแล้วภาพที่เราได้เห็นก็ไม่ได้แย่ขึ้นหิ้งหนังที่ห่วยที่สุดในโลกหรอก
มาพูดถึงหนังชุด Spider-Man บ้างครับ! นี่เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ประสบความสำเร็จมากกว่าหนังซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่นๆที่สร้างออกมา เพราะแต่ละภาคที่สร้างออกมาก็กวาดเงินแบบมหาศาลซะยกใหญ่มากๆ และมันยังเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่พอรวมคะแนนคำวิจารณ์ทุกๆภาคที่สร้างออกมาแล้ว ได้คำชมเยอะที่สุดในบรรดาหนังซุปเปอร์ฮีโร่ ซึ่งความดีของหนังชุดนี้ก็คือ เป็นหนังชุดที่ใช้ทีมงานทีมเดียวกันตลอดการสร้างที่ผ่านมา ไม่ว่าจะคนกำกับ นักแสดง และก็ทีมโปรดั๊กชั่น แต่ว่าหนังชุดนี้ได้เปลี่ยนคนเขียนบทมาได้หลายรายพอสมควรนะครับ ฉนั้นแต่ละภาคจึงมีน้ำหนักและความเบาที่ไม่เหมือนกัน
Spider-Man (2002) 7/10
ภาคแรกก็ถูกจับตามองเป็นเวลานานมากๆ ตั้งแต่หนังยังไม่ได้สร้างเลย ก่อนที่ Tobey Mcguire จะมาเป็น Spider-Man เขาต้องเคี้ยวกับ Wes Blantly ก่อนที่จะฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้ Sam Raimi เหมือนกัน ก็ไม่ใช่ตัวเต็งคนแรกที่ถูกให้มากำกับหนังชุดนี้ เพราะก่อนหน้าทางต้นสังกัดก็เลือกใครหลายๆคนที่อยากให้มากำกับอย่าง James Cameron, Jan De Bont, Ang Lee และ David Fincher สุดท้าย Sam กลับได้หน้าที่นี้ไป แล้วก็สุดที่รักของเรื่อง Mary-Jane Watson ก็มีนักแสดงหญิงหลายๆคนมาแคซติ้งเยอะกว่าบท Peter Parker/Spider-Man เสียอีก นักแสดงหญิงที่มาแคซติ้งบทนี้ก็อาทิเช่น Elisha Cuthbert (สมัยที่ยังเอ๊าะๆเล่น 24 ซีซั่นแรกๆ), Mena Suvari และ Alicia Witt (เดิมทีคนนี้จะได้ แต่แก่ไปกับบทบาทมากๆ) แต่สุดท้ายนักแสดงสาวอย่าง Kirsten Dunst กลับได้ตำแหน่งนี้ไปแทน (บ้างก็บอกว่าเป็นเครดิทที่เธอทำไว้ตอนเด็กๆช่วยเอาไว้ เธอจึงได้บทนี้ไป) พูดจริงๆนะเกี่ยวกับหนังภาคแรก ผมไม่ค่อยประทับใจเท่ากับ X-Men ภาคแรกที่ผมดูเท่าไหร่ เพราะว่ามันยังมีอะไรหลายๆทีผมรู้สึกว่ามันยังมีความเป็น Spider-Man ไม่ค่อยดีเท่ากับในหนังสือการ์ตูนนักเท่าไหร่ คือเข้าใจว่าภาคนี้มันยังเป็นจุดเริ่มต้นอยู่น่ะครับ แต่รู้สึกว่ามันยังอ่อนกว่าที่คิดยังไงก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ระดับ David Koepp ที่ช่วงตอนที่ภาคแรกฉายเอง เขาก็เขียนบทให้กับ Panic Room ซึ่งผมกลับสนุกกับเรื่องนั้นมากกว่า เพราะมันมีอะไรที่เล่นกับคนดูด้วย แล้วก้วยฉากสะพานตอนท้ายๆเรื่องนี่เห็นแล้วรู้สึกปวดร้าวมากๆ เพราะฉากนี้เหมือนกับฉากในหนังสือการ์ตูนตอนที่ Spidy พยายามจะช่วย Gwen Stacy แต่ก็ช่วยไม่ทัน ผมเห็นฉากนี้ในภาคแรกรู้เศร้ามากๆ ฉนั้นผมอาจจะไม่ค่อยเอนจอยกับภาคแรกเท่าไหร่ แต่ภาคแรกก็มีส่วนดีที่ Tobey McGuire (รู้มั๊ย ผมเป็นคนๆนึงที่รู้จักเขามาก่อนที่เขาจะเป็น Spidy ด้วยซ้ำนะ) และก็คำเกริ่มของหนังที่ว่า "พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับภาระอันใหญ่ยิ่ง"
(มีต่อ)
จากคุณ :
billy bob
- [
11 พ.ค. 50 03:01:18
]