..ที่ศีลธรรม การเมือง และศาสนา เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
หนังเล่าย้อนไปในเมืองบัวโนสไอเรสของอาร์เจนติน่าราวปี 1840 เรื่องราวความรักของหญิงสาวนาม คามิลา เธอโตขึ้นมาท่ามกลางครอบครัวที่เป็นที่นับหน้าถือตาในกลุ่มของนักการเมืองและแวดวงคนที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ ใครๆก็รู้จัก ขณะเดียวกัน พระรูปใหม่ (ลาดิสลาโอ) ได้เข้ามาประจำอยู่ที่โบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองใกล้บ้านเธอ ทั้งสองได้มีโอกาสเจอกันโดยบังเอิญหลายครั้ง เนื่องจากการประกอบพิธีและงานทางศาสนาที่มีอยู่ตลอด (รวมทั้งการไปสารภาพบาปของชาวบ้าน และตัวคามิลาที่โบสถ์เองด้วยที่ทำให้คนทั้งสองได้เจอกันบ่อยขึ้น) วันเวลาผ่านไป ความต้องการในกันและกันเริ่มครอบงำจิตใจของคนทั้งสอง (แม้พระลาดิสลาโอจะพยายามหาทางออกให้กับตัวเองด้วยการไม่เจอหน้าเธอแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สำเร็จ ในท้ายที่สุด) ทางบ้านคามิลาเอง ก็ได้เตรียมพิธีหมั้นหมายใหญ่โตให้ระหว่างคามิลากับเศรษฐีที่มีทรัพย์และความนับหน้าถือตาในชนชั้นสูง แต่ใจเธอไม่ได้รักคู่หมั้นคนนั้นเลย
ในที่สุด ทั้งสองแอบหนีไปด้วยกัน ปลอมชื่อและสถานะตัวเองเสียใหม่ ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งอันไกลโพ้น โดยสร้างโรงเรียนในหมู่บ้านเล็กๆขึ้นมา และสอนเหล่าเด็กๆให้อ่านออกเขียนได้ ความสุขที่คนทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ทำให้ลืมเรื่องราวในอดีตไป ขณะเดียวกัน ทางบ้านและทางองค์การศาสนาได้ให้ทางการออกหมายจับคนทั้งสองเนื่องจากสร้างความเสื่อมเสียอันใหญ่หลวงแก่วงศ์ตระกูลและจารีตประเพณีอันดีงาม (ทั้งในด้านศาสนาและศีลธรรมอันดีงามที่ทุกคนประพฤติกันต่อมาด้วย)
จวบจนวันหนึ่งที่มีการถือไม้กางเขนพระเยซูของชาวบ้านเดินไปทั่วหมู่บ้าน (เนื่องจากการทำพิธีบางอย่างประจำหมู่บ้านเอง) ลาดิสลาโอได้ยินเสียงชาวบ้านเดินผ่านมา จึงออกมาดู และเห็นภาพพระเยซูตรึงกางเขนถูกถือชูขึ้นสูงผ่านหน้าบ้านเขาไป ความรู้สึกละอายและความผิดเริ่มหวนกลับมาหาเขาอีกครั้ง เมื่อคามิลาออกมาเห็นลาดิสสาโอที่ใบหน้าเขาเปลี่ยนสี เธอหวังจะเข้ามาปลอบเพื่อให้อารมณ์เขาคลายลง แต่เหมือนความผิดและบาปในใจยังคงแล่นอยู่ในหัวเขา หลังจากนั้น ทั้งสองมานั่งอยู่ที่เตียงด้วยกัน ลาดิสลาโอยังคงคิดมากกับภาพที่เห็นเมื่อกี้ (ฉากที่จะเล่าต่อไปนี้ ผมว่า บทสนทนาดีนะครับ) คามิลาเห็นสามีเธอเครียด เธอรู้สึกเครียดตาม (และก็เหมือนกับทุกครั้งที่เวลาเธอมีปัญหา) คามิลาจึงพูดไปว่า "ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันขอสารภาพบาป" พร้อมจับไปที่ไหล่ของลาดิสลาโอ เขาหันหน้ามา แล้วสวนไปว่า "คุณจะสารภาพบาปกับผมในฐานะที่ผมเป็นใครกัน" คามิลาตอบว่า "ในฐานะสามีฉัน" ลาดิสลาโอพูดตอบ "ผมทำไม่ได้" สมองเขายังคงสับสนกับความเป็นจริงและบาปในใจอยู่
เหตุการณ์ผ่านไป ทั้งสองลืมเรื่องในคืนวันนั้น และได้ไปงานเลี้ยงสังสรรค์ของบ้านหลังในหมู่บ้าน ที่นี่เองที่พระรูปหนึ่งซึ่งได้มาร่วมงานด้วย จำลาดิสลาโอได้ และบอกว่า คุณทำผิดอย่างมหันต์ ลาดิสลาโอตกใจและหนีไปที่โบสถ์ของหมู่บ้านในคืนที่ฝนกระหน่ำ นั่งต่อหน้าพระเยซูที่โดนตรึงกางเขนอยู่ เขาทองบทสวดและสารภาพบาปที่ได้ทำไว้ คามิลาตามมาจนเจอเขา เธอยืนมองลาดิสลาโออยู่ด้านหลัง แต่ไม่ทักเพื่อให้เขาได้สารภาพในสิ่งที่เขาต้องการ คามิลากลับมาบ้านในคืนนั้น เช้าวันรุ่งขึ้น ลาดิสลาโอกลับมา เป็นเวลาเดียวที่ทหารตามมาจับคนทั้งสองพอดี ทั้งสองโดนหมายศาลจากเมืองหลวงบัวโนสไอเรส (ซึ่งในขณะเดียวกัน พ่อแม่ของคามิลาและบาทหลวงของลาดิสลาโอที่โบสถ์ในเมืองหลวงก็รับทราบแล้วว่า เขาทั้งสองอยู่ไหน)
ทั้งสองติดอยู่ที่คุกแห่งหนึ่ง แต่โดนขังแยกออกคนละห้อง (ซึ่งคุกแห่งนี้ เข้มงวดมาก และมักจะไม่มีนักโทษรอดชีวิตจากคำตัดสินได้เลย ถ้าโดนขังอยู่ที่นี่) ทางบ้านของคามิลาตัดสินใจอยู่นานว่า จะทำเช่นไร แต่พ่อของเธอ เกินจะรับได้ และบอกให้มันเป็นไปตามกฏบ้านเมือง (แม้แม่จะค้าน แต่ก็ไม่เป็นผล) ขณะเดียวกัน คามิลาซึ่งอยู่ในคุกเกิดเป็นลม หมอตรวจพบว่า เธอตั้งท้อง เจ้าหน้าที่คุก ครั้งแรกจะลดหย่อนโทษประหารให้เธอ แต่มีจดหมายยืนยันบทลงโทษส่งมาจากเมืองหลวงย้ำอีกว่า โทษยังคงเป็นไปตามเดิม (โดยที่ทางบ้านไม่รู้เรื่องการตั้งท้อง เนื่องจากระยะทางการติดต่อสื่อสารที่ไกลกัน) ทุกอย่างเลยต้องเป็นไปตามนั้น คามิลาเมื่อรู้ว่า ตั้งท้อง เธอออกมาตะโกนที่หน้าต่างห้องขังว่า "ฉันตั้งท้อง" เผื่อว่า ลาดิสลาโอจะได้ยิน แต่เขาไม่ได้ยิน เนื่องจากอยู่คนละตัวตึก
วันประหารมาถึง เมื่อลาดิสลาโอ ทั้งสองโดนจับนั่งไว้ที่เก้าอี้ ได้เห็นหน้ากันชั่วครู่ แต่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะจับมือกัน แล้วทั้งสองก็โดนผ้าสีดำปิดตาไว้ ไม่ให้มองเห็น เจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งทำการยกเก้าอี้คนทั้งสองขึ้นสูง แล้วแบกเดินไปตามทาง จนถึงลานประหาร (มีชาวบ้านในหมู่บ้านที่ทราบข่าวมาดูกันมากมายถึงเรื่องราวฉาวโฉ่นี้) ทั้งสองโดนจับนั่งที่เก้าอี้ติดกำแพงอีกฟากหนึ่ง เก้าอี้ทั้งสองอยู่ห่างกันประมาณหนึ่งเมตร
เสียงเจ้าหน้าที่คุมการประหารดังขึ้น "เตรียมอาวุธ" ทหารทำตาม "เตรียมใส่กระสุน" ทหารทำตาม "เล็ง" ทหารทำตาม
วินาทีสุดท้ายนั้น คามิลาซึ่งโดนผูกตาอยู่ไม่รู้ว่า ลาดิสลาโออยู่ไหน เธอตะโกนพร้อมหันหน้าเหมือนคนหลงทิศทาง (ขณะโดนมัดอยู่ที่เก้าอี้ประหาร) "คุณอยู่ไหน" ลาดิสลาโอได้ยินเสียง ก็หันตามเสียงนั้น แล้วรีบตอบไป "ผมอยู่ข้างคุณ และจะอยู่ตลอดไป" คามิลาหันตามเสียง แล้วยิ้มรับ
"ยิง" "ปังปังปังปัง" ลาดิสลาโอคอพับตกลง ตายทันที
เจ้าหน้าที่สั่งขั้นตอนเดิมอีกครั้งเพื่อจัดการคามิลาเป็นคนต่อไป แล้วก็ให้ทหารก็เตรียมยิงคามิลา แต่พอเจ้าหน้าที่คุมการประหารสั่ง "ยิง" ทหารกลับไม่กล้ายิงเพราะรู้ว่า เธอท้องอยู่ เจ้าหน้าที่คุมการประหารเดินเข้ามาหาพร้อมจ่อปืนไปที่หัวทหารคนนั้น "จะยิงหรือไม่ยิง" ทหารคนนั้นน้ำตาไหล แล้วก็ยิงไปที่คามิลา เธอล้มตายตามลาดิสลาโอไป
ฉากสุดท้ายเป็นภาพที่คนทั้งสองถูกจับใส่โลงด้วยกัน (แต่ฝายังไม่ปิดสนิท) เสียงดังแว่วมาให้คนดูได้ยินอีกครั้ง
"คุณอยู่ไหน"
"ผมอยู่ข้างคุณ และจะอยู่ตลอดไป"
แล้วดนตรีในหนังก็บรรเลงพร้อมรายชื่อนักแสดง
ความคิดเห็น เป็นหนังที่พูดถึงประเด็นการเมือง ศาสนา และศีลธรรมได้พอดิบพอดี ถ้ามองเนื้อหาความรักของคนทั้งสองแล้ว อาจจะไม่แปลกใหม่ในปัจจุบันมากนัก แต่ถ้ามองว่า เป็นหนังเมื่อ 23 ปีก่อนแล้ว ถือว่า หนังทำสร้างสรรค์ได้ดีในหลายๆองค์ประกอบ และชวนน่าติดตาม เมื่อใครก็ตามที่ไม่เคยดู และได้ดูใหม่อีกครั้ง กลับไม่รู้สึกเชยตามกาลเวลาที่ผ่านไป แถมยังวางโครงเรื่องได้ต่อเนื่องตามอารมณ์หนัง ไม่แปลกใจเลยครับที่ผู้หญิงฝรั่งที่นั่งข้างผมจะร้องไห้
ที่สำคัญมากก็คือ ดนตรีบรรเลง (ที่เป็นธีมของหนังชื่อ Camila) เรื่องนี้ แต่งโดย หลุยส์ มาเรีย เซร์ร่า เขาสร้างดนตรีได้เหมาะกับบรรยากาศรักโรแมนติกได้อย่างสมบูรณ์และเข้าถึงอารมณ์หนังรักโรแมนติก (และในปัจจุบัน ดนตรีนี้ยังถูกในมาใช้จนคุ้นหูอยู่หลายครั้ง)
และนี่คือหนังที่ประเทศอาร์เจนติน่าส่งเข้าชิงออสการ์เมื่อปี 2527 และในที่สุด ได้ถูกคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 5 เรื่องสุดท้ายภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ค่ำคืนวันประกาศในปี 2528 และแม้ Diagonale du fou (หรือชื่อภาษาอังกฤษ Dangerous Moves) จากสวิตเซอร์แลนด์จะได้รางวัลไปก็ตาม แต่หนังเรื่องนี้กลับกลายเป็นภาพยนตร์ "ความรักท่ามกลางโศกนาฏกรรม" (Romance and Tragedy) ที่คนทั่วโลกยังจดจำอยู่ได้ไม่ลืมเลือน
แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 50 13:46:51