 |
++ประวัติและเรื่องราวความเป็นมาของทีมพากย์พันธมิตร(พี่โต๊ะ)หัวหน้าทีม เปิดฉากอธิบายความหมายของชื่อ พันธมิตร ให้เราฟัง
เป็นข้อมูลจาก http://www.manager.co.th ครับ น่าสนใจมาก
เราเริ่มใช้ชื่อพันธมิตรมาตั้งแต่ปี 2535 แต่ที่มาเป็นตัวเป็นตนจริงๆ ก็ 2540 ความหมายของชื่อก็คือเราจะไม่เป็นศัตรูกับใคร ถ้าหนังเรื่องนี้เป็นตัวละครที่เด่นมากแล้วเสียงในทีมเราไม่มี เราพร้อมจะติดต่อคนที่อยู่ทีมอื่นเพื่อทำให้หนังเรื่องนี้มันดีขึ้นกว่าใช้เสียงเดิมๆ ซ้ำซาก คุณปริภัณฑ์ วัชรานนท์ หรือคุณโต๊ะ หัวหน้าทีมพันธมิตร เปิดฉากอธิบายความหมายของชื่อ พันธมิตร ให้เราฟัง
คุณโต๊ะเล่าว่า จุดกำเนิดของทีมพากย์นามอุโฆษทีมนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2535 ในช่วงที่คุณโต๊ะยังทำหน้าที่นักพากย์อยู่ที่ช่อง 3 แต่เนื่องจากมีงานนอกเข้ามาอย่างต่อเนื่องจึงคิดรวมตัวคนทำงานที่มีแนวความคิดตรงกัน
แนวทางที่ว่าหมายถึงไม่ใช่พากย์แค่ชั่วโมงครึ่งหรือสองชั่วโมงตามเวลาหนังจบแล้วเลิกกัน แต่เราจะดูต่อว่าหนังชั่วโมงครึ่งเราสามารถใส่อะไรลงไปนอกเหนือจากบทหนังนิดหน่อย เติมตลกเข้าไป หรือตรงนี้อารมณ์ไม่ได้ เทคหน่อยนะ เอาใหม่นะ เรื่องหนึ่งแทนที่จะพากย์ 2 ชั่วโมงก็เป็น 4-5 ชั่วโมง เสียเวลานิดหนึ่งแต่ให้งานที่มันอยู่ในรูปแบบของหนัง หรือวีดีโอ วีซีดี คงอยู่ตลอดไป และเราจะได้รู้ว่าเราทำเต็มที่แล้ว ก็คัดเพื่อนฝูงมานั่งคุยกัน หาเพื่อนรอบแรกได้ 5-6 คน แล้วตั้งชื่อว่า พันธมิตร
"ในช่วงแรกของการทำทีมก็เริ่มต้นด้วยการพากย์หนังจีนเลยหรือไม่" เป็นจังหวะที่คนกำลังชอบหนังจีนมากๆ และการจะทำทีมพากย์ให้คนรู้จัก ถ้าเป็นหนังจีนหรือหนังเกาหลี หนังเอเซีย มันมีจุดทำให้คนรู้จักเราได้มากกว่าหนังฝรั่ง เพราะหนังฝรั่งในโรงในกรุงเทพฯ เขาฉายพูดอังกฤษ คนไม่ได้ดูเราหรอก ไปฉายต่างจังหวัด บ้านนอกไกลๆ แล้วค่อยมาลงซีดีทีหลังก็ว่ากันอีกแนวหนึ่ง แต่หนังจีนหนังเกาหลีทุกก็อปปี้ฉายพูดไทยหมด มันก็เหมือนดาบสองคม คุณทำไม่ดีมันก็ฆ่าคุณไปเลย แต่ถ้าทำให้ดี ตั้งใจกับมันอย่างที่บอก แทนที่จะพากย์ 2-3 ชั่วโมงจบ อย่างหนังโจวซิงฉือมาผมพากย์หนึ่งวันหนึ่งคืนเลย เข้าไป 10 โมงเช้าออกมาตี 3 หนัง ชั่วโมงครึ่งผมทำทั้งวันทั้งคืน คิดอยู่นั่นแหละ มุกนี้คิดไม่ออกหยุด เดิน คิดคิดเพื่อหาคำสักคำหนึ่งมาใส่ตรงนั้นให้ได้ เพราะหนังจีนเป็นหนังที่ทำให้เรามีสิทธิจะเกิดได้ เพราะว่าทุกคนต้องดูก็อปปี้พากย์ไทยถูกต้องไหม พอจังหวะมาหาเราแล้วก็เลย เฮ้ย เสียเวลากับมันหน่อยนะ ทุ่มเทกับมันหน่อย เพื่อจะให้มันดีกว่าเดิม ในความคิดของเรานะ คนดูอาจจะคิดยังไงเราไม่รู้ แต่ว่ามันน่าจะดีกว่าการพากย์แค่ 2 ชั่วโมงแล้วเลิกกัน
"ตอนนี้มีหนังจีนมาให้พากย์มากไหมเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้" ตอนนี้หนังจีนก็เข้ามาน้อยลง มาก็ลงวีซีดีเลย แต่ช่วงบูมสุดๆ โอ้โหเยอะมาก มโหฬารเลยล่ะ แรกๆ พากย์กันเดือนละ 7-8 เรื่องจนถึง 10 เรื่อง หนังใหญ่นะ วีดีโอ วีซีดีไม่คิด ปีหนึ่งพากย์กันเป็นร้อยๆ เรื่อง เฉพาะหนังจีนเลยนะ 200-300 เรื่องก็มีนะ แต่เดี๋ยวนี้กี่เดือนแล้วไม่ได้พากย์หนังจีนเข้าโรงใหญ่เลย ตั้งแต่กังฟูของโจวซิงฉือ แล้วก็โคตรคน 3 คม
"ในการพากย์แต่ละครั้งมีบทให้ตายตัวเลยหรือไม่" ปรับเปลี่ยนตลอด ต้องปรับเปลี่ยนตลอด บทเราขอคนแปลล็อกคำล็อกปากมาให้เราก็พอ การพากย์หนังหมายถึงว่าพูดแบบนี้ 1-2-3 สามประโยค คุณล็อกให้เราสามประโยค ไม่ใช่หนังในจอพูดมา 3 ประโยค คุณแปลมา 4-5 ประโยค ตายเลย ขอแค่คุณล็อกคำให้ผมพอแล้ว ความสม่ำเสมอก็ต้องมีในการแปลบท ดาราพูดในประโยคหนึ่งมี 10 คำต้องให้เหลือ 8, 5 คำต้องให้เหลือ 4 เพราะถ้าพูดมา 10 คำแปลมา 10 คำ คนดูจะฟังไม่รู้เรื่อง มันจะรนไปหมด ต้องตัดทอนมาให้ 10 เหลือ 8 แต่ประโยคต้องครบ เราขอแค่นี้ ถ้าตรงนี้ครบปั๊บลงตามที่เราต้องการ เราพากย์สบาย สมองเราจะโปร่งในการคิดมุก คนแปลคือหัวใจสำคัญ ถ้าคนแปลไม่ดี แปลตามใจชอบ เยิ่นเย้อ พร่ำพรรณนา ตายเลย บางเรื่องเราต้องตีคืน แต่บางเรื่องหนังจะฉายแล้วตีคืนไม่ได้ มันต้องดัน ดันหมายถึงต้องเครียดกันมันมาก ต้องตัดคำแต่งคำเพื่อให้ลงภายใน 3 ประโยค มันแปลมา 5 ต้องหาทางตัด 2 ประโยคนั้นไป แต่ถ้า 2 ประโยคนั้นสำคัญต้องเอา 2 คำ 2 ประโยคนั้นมารวมเป็น 3 ประโยค แล้วให้เป็นคำที่คนดูรู้เรื่อง
"คนที่ดูแลตรงส่วนบทพากย์คือตัวนักพากย์เอง หรือมีทีมงานเฉพาะคะ" แรกๆ เราก็จ้างอิสระ แต่ตอนนี้เราก็มีทีมของเราแล้ว เราลงตัวหมดแล้ว รู้ว่าใครจะแปลหนังแบบไหน ตอนนี้เรามีทีมของเราแล้ว
"เคยมีเสียงสะท้อนกลับมาถึงบทแทรกของเราไหม" ผมเคยโดนเรื่องผีดุ ภาค 1(Ju-on 1 ) หนังไม่ตลก ซีเรียส บางทีเราไม่ได้เล่นอะไรเลย มีฉากหนึ่งที่ตัวพ่อยืนอยู่แล้วเด็กผีวิ่งอยู่ด้านหลัง คนกำลังเครียด คนกำลังตกใจ ตัวละครก็หันมาแล้วเสียงในฟิล์มก็ร้องว่า เฮ้ย เราก็พากย์ว่า เฮ้ย คนดูก็ขำทั้งโรง หาว่าเราตลก แต่บางทีมันไม่ใช่เรื่องตลก เราพยายามคุมตรงนี้ไม่ให้ไปเกินหน้าหนัง ไปหักอารมณ์หนัง
ส่วนเรื่องหยาบ ผมว่ามันต้องมีนะ เหมือนที่จิ๋กโก๋ชอบ อย่างบทตลกมันก็ต้องมีมรึงกูบ้าง สังคมมันก็พูดหยาบนะ ไม่ใช่หยาบคายอย่างนั้นนะ คือคำอย่าง :-) คนก็พูดกันอยู่ อย่างในหนัง เพื่อนเรียนด้วยกัน จิ๊กโก๋คุยกัน เอ่อ ผมคิดว่าคุณไปเรียนหน่อยดีไหม หรือ ผมว่าคุณชอบเขานะ มันไม่ได้ (ขึ้นเสียงสูง) มันก็ต้องมีอารมณ์หนังนิดหนึ่ง แต่ก็จะพยายามให้มันน้อยๆ ลงหน่อยละกัน แต่ที่จะแคร์มากคือหนังไม่ตลกแล้วไปทำให้ตลก เมื่อก่อนผมโดนมาก ตอนที่ผมยังไม่มีพาวเวอร์พอจะไปต่อรองกับเจ้าของหนัง ผมโดนหนักๆ ที่สุด แล้วก็ด่าตัวเองด้วย ก็คือเรื่อง Battle Royale เกมนรกโรงเรียนพันธุ์โหด เป็นหนังที่โหดมากๆ และจะไม่ผ่านเซ็นเซอร์เอาด้วย นักเรียนฆ่ากัน ไปติดอยู่ที่เกาะแล้วจะฆ่ากัน คนที่เหลือสุดท้ายคือผู้ชนะ โหดมาก แต่เป็นหนังที่ดีมาก คนนำเข้าบอกขอตลกนะ เพื่อลดดีกรีความแรงของหนัง เราก็เล่นไป 7-8 มุก ไปดูรอบสื่อมวลชนคนก็ขำกัน แต่เราทุเรศตัวเองมากๆ ถ้าเป็นไปได้อยากจะขอแก้เลย มันไม่ใช่แนวทางของหนัง เราไปหักหนังอย่างแรงเลย เล่นจนหนังเขาเสียหายไปเลย ยังด่าตัวเองมาจนบัดนี้ จากวันนั้นเป็นต้นมาผมเลยบอกเจ้าของหนังว่า ถ้ามันไม่ใช่หนังตลกผมขอนะ ขอไม่เล่นดีกว่า
แต่บางทีเราก็เสียตรงจุดที่ว่าพอขึ้นว่าพากย์โดยทีมงานพันธมิตร คนดูก็รอขำ บางทีเราพากย์จริงจังเกือบตาย เค้าก็รอจะขำกับเรา บางทีพูดตามหนังเลย คนก็ขำแล้วบอกว่าพากย์ตลกชิบเป๋งเลย หนังไม่ตลกเลย ขำแล้ว คล้ายกับพอเราพากย์ต้องตลก คนดูที่ชอบขำก็รอขำ คนที่ไม่ชอบก็บ่นว่าเดี๋ยวมันก็ขำ รอจับผิด มันมีสองลักษณะ ฉะนั้นไม่ปัดความรับผิดชอบ ด่ากันได้เลยไม่ว่า แต่พยายามรักษารูปแบบของหนัง ตั้งใจมาตลอดตั้งแต่ Battle Royale
"ในการพากย์หนังแต่ละเรื่อง หนึ่งคนพากย์เป็นกี่เสียง " ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เราก็ยืนเสียงเดียวหรือสองเสียง แต่ถ้าเป็นหนังตลก ซึ่งเป็นหนังที่พากย์ยากที่สุด เพราะคำพูดบางคำให้คนๆ นี้พูดจะไม่ขำ คำพูดคำเดียวกันแต่ให้อีกคนพูดแล้วขำมากเลย และมีแค่ 4-5 คนที่พากย์ได้ ตัวละครมีเป็นสิบ ผมก็ยอมให้คนหนึ่งพากย์ได้ถึง 3-4 เสียง ผมยอมเสียเวลาในการพากย์ฉากเดียว 4-5 ครั้งเพื่อเอาเสียงคนนี้มาพากย์ตัวละครที่ซ้ำกันนี้ให้ได้
"มีหลักในการเลือกเสียงตัวละครอย่างไร" มันก็มีหลายบุคลิก เราเห็นหน้าหนังก็พอจะรู้แล้วว่าควรจะให้ใครพากย์ อย่างพระเอกนางเอกก็มีทะเล้น กุ๊กกิ๊ก มีหลายแบบ ตอนนี้เรามีตัวหลักๆ ประมาณ 8-10 คนซึ่งให้เลือกใช้ นานๆ ถึงจะมีรับเชิญมาสักคน ซึ่งเป็นเสียงที่อยู่ทีมซีวีดี ไอทีวี ก็เชิญเขามาเลย เพราะเสียงที่เรามีอยู่ไม่เหมาะแน่ เรียกว่าหนังพิเศษ กรณีพิเศษ
" คุณโต๊ะพากย์เป็นพระเอกเองเหรอคะ" ส่วนมากจะเป็นแบบนั้น เพราะมีจุดหนึ่งคือการทำทีมได้ต้องมีเสียงเป็นเอกลักษณ์ของทีม เสียงพระเสียงนางคือเสียงสำคัญ ฉะนั้นมันเป็นจุดที่โชคดีกว่าคนอื่นก็ว่าได้ คือเสียงเราเมื่อพูดออกไปแล้วคนอื่นรับได้ ก็เลยตั้งทีมได้ การทำทีม ถ้าเสียงคุณเป็นผู้นำไม่ได้ เก่งบริหารจัดการแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะคนจะไม่ฟังคุณ เฮ้ย เสียงพากย์เป็นแบบนี้เองเหรอ จะมาคุมคนอื่นได้ยังไง ถ้าเสียงเราเพื่อนๆ รับได้ คนดูรับได้ เขาก็จะเชื่อเราในระดับหนึ่ง เวลาพากย์เสียงเฉินหลงก็พากย์อย่างหนึ่ง โจวซิงฉือก็อย่างหนึ่ง เฉินหลงเราพูดต่ำๆ พูดสบายๆ แต่โจวชิงฉือเราต้องเหินขึ้นสูงนิดหนึ่ง
(ยาวมากเลยครับเอาไว้แค่นี้ก่อนละกันไว้เจอกันภาค 2นะฮะ)
จากคุณ :
กลางแปลงแมน
- [
18 พ.ค. 50 19:56:44
]
|
|
|
|
|