CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; "Pirates of the Caribbean : At World's End" ... โจร(สลัด)ที่ไม่มีสัจจะ กับภาคจบที่ไม่ทำตามสัจจะ

      เกรด A -> 9-10 คะแนน (47 คน)
      เกรด B -> 7-8 คะแนน (31 คน)
      เกรด C -> 5-6 คะแนน (14 คน)
      เกรด D -> 3-4 คะแนน (0 คน)
      เกรด E -> 1-2 คะแนน (3 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 95 คน

     49.47%
     32.63%
     14.74%
     0.00%
     3.16%


    ความเดิมตอนที่แล้ว :
    "Pirates of the Carribean : Dead Man's Chest" ... ไม่เท่าภาคแรก แต่ก็สนุกครื้อกัน
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&group=2&month=07-2006&date=16&gblog=19

    ความรู้สึกแรกที่คิดออกหลังจากดูภาคสองจบของใครต่อใครหลายคน คือ ...อยากดูภาคสามใจจะขาดแล้วเว้ย!!!

    หลังจากที่ตอนจบในภาคก่อนได้สร้างความค้างคาใจ เคลือบแคลงสงสัยในอะไรต่อมิอะไรตั้งหลายข้อ ...คนที่ไม่เก็ทพากันถามไถ่อย่างสนุกว่า "เอ๊ะ กัปตันบาร์บอสซ่า กลับมาได้ไง ในเมื่อภาคแรกก็ม่องไปแล้ว" "เอ๊ะ กัปตันแจ๊คโดนเขมือบไปแล้วอย่างนี่ พี่ท่านจะกลับมาอีกในรูปแบบไหนละน้า" "เอ๊ะ อลิซาเบธคิดอะไรกับแจ๊คเกินเลยมากกว่าคำว่าเพื่อนร่วมเรือมั้ยเนี่ย" "เอ๊ะ แล้ววิลจะทำเช่นไร เพื่อช่วยชีวิตพ่อละนั่น" ...ตอนจบของภาคสองได้มีข้อคิดให้ลองนึกตั้งหลายเอ๊ะ ชวนคนดูให้ต้องสะกิดใจและสะกิดต่อมอยากดู มาตลอด
    ระยะเวลาเกือบปี มานี้  

    ความสำเร็จที่ภาคสองทำได้ ก็คือ การสร้างแรงกระตุ้นที่จะทำให้คนทุกคนที่ได้ดู ต้องไม่อยากพลาดภาคสามที่เป็นภาคสุดท้ายไปด้วย ซึ่งไม่ว่าคนๆนั้น จะเป็นคนที่ชอบหรือไม่ชอบภาคสองหรือไม่อย่างไร ไม่สำคัญ สำคัญแต่ว่า "เราต้องดูให้มันจบๆกันไป"

    "Pirates of the Caribbean : At World's End" ... ว่ากันต่อไปหลังจากที่ภาคสอง ปล่อยความคาใจให้มันเติ่งไว้ที่ การจากไป(ที่มีวันกลับ) ของ "กัปตัน แจ๊ค สแปร์โรว์" ...กลุ่มก๊วนสหายร่วมผจญภัยของแจ๊คทุกคน ต่างมีความยินดีที่จะเดินทางไปสุดขอบโลก(เป็นสถานที่ที่ กักเก็บวิญญาณคนตายเอาไว้) เพื่อจะช่วยนำแจ๊คให้คืนตนกลับมาสู่โลกปกติ

    แต่ที่ทุกคนต่างตกลงปลงใจจะไปตามหาแจ๊คนั้น ไม่ใช่เรื่องของความรักความเอ็นดู (ที่ใครต่อใครคงไม่คิดว่าเขาจะมีอะไรให้ต้องรักต้องเอ็นดูอยู่แล้วแหละ) ...แต่เป็นเรื่องของการที่ เหล่าโจรสลัดแห่งเหรียญแปดเรียล (อันมี 9 จอมโจรสลัดจากทุกมุมโลกเป็นสมาชิก) ได้มีนัดหมายจะทำการประชุมเพื่อหารือถึงเรื่องการปลดปล่อย "คาริปโซ" ผู้เป็นนางอันเป็นที่รักของ "กัปตัน เดวี่ โจนส์" จากการกักขังเอาไว้ในร่างของแม่หมอ "เทีย ดัลม่า"

    คาริปโซ เคยเป็นผู้ปกครองผืนทะเลโดยแท้จริง ก่อนหน้าที่เธอจะได้มารักกับ เดวี่ โจนส์ ...เมื่อเธอได้รับการหย่าขาด จากคนที่เธอรัก มันจึงทำให้เธอพิโรธ และก่อความสั่นสะเทือนเลือนลั่นให้กับพื้นสมุทร จนทำให้เหล่าจอมโจรสลัดทั้ง 9 ต้องรวมตัวกัน เพื่อกระทำการกักขังเธอไม่ให้ก่อความอันตรายกับพวกเขาไปมากกว่านั้น

    แต่แล้วมันก็ถึงเวลาที่พวกเขาต้องคิดผิดคิดใหม่จนได้ เมื่อหายนะครั้งใหญ่(กว่า)กำลังจะเกิดขึ้นกับเหล่าโจรสลัดทุกมุมโลก ...หายนะที่ว่า มาในนามบริษัท "อีสต์ อินเดีย" ที่ยังคงเดินหน้ารุกฆาตโจรสลัด อย่างไม่ยอมละเลิก "ลอร์ด คัทเลอร์ เบกเก๊ตต์" ได้เดินหมากตราต่อไป โดยเลือกจะใช้บริการการก่อวินาศกรรมของ แดวี่ โจนส์ และเรือ ฟลายอิ้ง ดัชท์แมน (เหตุผลที่แดวี่ต้องจำใจทำเพราะ กล่องดวงใจของเขาได้ตกมาอยู่ในมือของ เบกเก๊ตต์ ที่รอจะทำการขยี้เมื่อไหร่ก็เป็นได้)  

    และแล้ว "มหาสงครามแห่งโจรสลัด" ก็ถึงเวลาที่มันจะระเบิดซะที ในภาคสุดท้ายพอดีพอดิบ ของหนังที่ต้นฉบับได้ขึ้นชื่อว่าเป็น "หนังโจรสลัดยอดเยี่ยมและคลาสสิคตลอดกาล"

    ผู้กำกับ "กอร์ เวอร์บินสกี้" และ ผู้สร้าง "เจอร์รี่ บรั้คไฮเมอร์" เดินเรือมาไกล และก็ใกล้ที่จะถึงฝั่งเต็มที ...ซึ่งกับปลายทางที่รอพวกเขาอยู่ ใน At World's End นี้ ก็เป็นไปอย่างที่ชื่อมันฟ้องว่า การเดินทางของพวกเขาทั้งสองได้มาถึงสุดขอบโลกของหนังไตรภาคแล้ว

    เรื่องราวแห่งจินตนาการโลกท้องทะเลสุดบรรเจิดที่ได้เคร้าโครงความเป็นจริง เกร็ดประวัติศาสตร์บางอย่างมาบิดขมวดนี้ ยังคงเป็นสองมือดี "เทอร์รี่ รอสซิโอ & เท็ด เอลเลียต" ที่รับผิดชอบงานบทหนังต่อไป ...ด้วยความที่คุ้นเคยกับปากกาในมือ และภาพความคิดในหัว มาแล้วตั้ง สองภาค หนนี้ ก็เลยดูจะไม่ลำบากอะไรสำหรับความสร้างสรรค์ในกลวิธีเล่าเรื่อง ที่สองซี้ควรจะทำให้มันจบลงอย่างบริบูรณ์และเป็นภาคอวสานที่เรียกคำว่า "ความประทับใจ" ได้เต็มปากเต็มคำ

    ควรอย่างแรก ...สองซี้ ทำได้ดี สอบผ่าน
    แต่ควรอย่างที่สอง ...กลับไม่ใช่อย่างงั้น มันเป็น Pirate of the Caribbean ที่ผมไม่กล้าพอจะใช้คำว่า "ประทับใจ" เพื่อบอกต่อกับใครๆให้รู้เลยด้วยซ้ำ

    เรื่องของบทหนัง เป็นปัญหาหลักใหญ่ใจความของภาคนี้ (เช่นที่มันก็เคยมีให้ขัดใจมาตั้งแต่ภาคก่อนแล้ว) ...และ เรื่องของความล้น ก็เป็นเหมือนไฟลามทุ่งที่อันตรายที่สุดของ At World's End (ที่มันมีสะเก็ดมาคุตั้งแต่ภาคก่อนอีกเช่นกัน)

    ถ้ามองงานของสองซี้ ด้วยใจที่คิดถึงหนังผจญภัยมีฟอร์ม ดูเอาสนุกเน้นบันเทิงเข้าว่า ก็นับว่าอยู่ในระดับฝีมือที่เยี่ยม ...พวกเขาทำให้คนดูรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการดำเนินเรื่อง ที่มีจุดอะไรต่อมิอะไรมากมายมาวางเป็นพอยท์ต่อๆกันไป ที่ให้เราได้ลากเส้น ได้มันส์ไปกับการขีดเขียน ...เส้นที่ได้มีทั้งช่วงตรง (ความหรรษาจากมุขตลก ความชุลมุนในการเดินทาง และความคึกคักจากฉากแอ๊คชั่น) ช่วงโค้ง (อารมณ์ตัวละครที่ต้องพริ้วไหวไปตามสถานการณ์ที่บทหนังคิดและเขียนไว้ให้) และทั้งสองช่วง ก็ผสานรวมกลายเป็นรูปวาดจินตนาการที่ให้อะไรที่เจริญหูเจริญตากับคนดู

    แต่บังเอิญที่ว่านี่ไม่ได้เป็นแค่หนังผจญภัยมีฟอร์มทั่วๆไป แต่มันเป็นถึงภาคสุดท้ายของ "หนังโจรสลัดยอดเยี่ยมและคลาสสิคตลอดกาล" ...มิเช่นนั้นแล้ว มันเลยต้องมีอะไรให้คาดหวังมากกว่าทั่วๆไปอีกด้วย

    เรื่องของความล้น เป็นปัญหาอย่างเดียวที่ สองซี้ ไม่รู้วิธีดีๆ อันเป็นหนทางจะแก้ไขให้ลงตัว ...ดูเหมือนว่าอะไรหลายๆอย่างที่ใส่เข้ามาเป็นรายละเอียดในภาคนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่สำคัญแล้ว ที่เหลือก็แทบเป็นแค่เรื่องประกอบฉาก ที่จะมองเห็นตามความจริงแล้ว ก็แทบไม่น่าจะใส่ลงไปเลยด้วยซ้ำ เพราะมันพาลทำให้หนังดู...ซะงั้นไปเลย (คนที่ได้ดูแล้ว น่าจะรู้ว่าผมหมายถึงตรงไหนบ้าง)

    การร่วมเดินทางสู่สุดขอบโลกของ กอร์ เวอร์บินสกี้ ในหนนี้ ก็ให้ผลงานที่ไม่ต่างจากสองซี้เขียนบทเท่าไหร่ ...ฝีมือของเขาในคราวนี้ เสียศูนย์ ไปมากกว่าคราวก่อนอีก

    จะบอกว่าอาจเพราะมีองค์ประกอบดีๆหลายๆอย่างมากมายที่บิวต์ความรู้สึกของเวอร์บินสกี้ พาอินคล้อยตาม จนยากลำบากจะตัดอะไรออกไปนั้น ...มันก็พอพูดได้ แต่ที่จะต้องพูดมากไปกว่านั้น ก็คือ การที่มันมีมากเกินไป นั่นแหละปัญหาตัวดีของความอดทนที่จะน้อยลงเรื่อยๆตามเวลาที่มากขึ้น

    ภาคแรก ความยาวไม่เป็นปัญหาใดๆ 140 นาทีของมันคุ้มค่าทุกนาที ...มาในภาคสอง 150 นาทีที่ยาวขึ้น ก็เริ่มส่อแววความเกินเลย แต่ยังดีที่ไม่ขัดศรัทธาอะไรมากนัก ...กลับสู่ภาคสามนี้ สเกลเวลาที่เพิ่มเข้ามาอีก 18 นาทีนี้ มันหนักยิ่งกว่าเก่า ความเยิ่นเย้อที่หนังยัดเยียดเข้ามา รู้สึกเห็นและรับรู้ได้อย่างชัดเจน เป็นภาพและเสียงที่ดูจะไม่จำเป็นอะไรในต่อการต่อเวลาให้ยาวขึ้นเลย ...และสำหรับอะไรที่คิดว่ามันดี มันควรมีของคนทำ มันก็ย่อมไม่ได้หมายความถึงคำว่า 'พอใจ' เสมอไปในความคิดคนดู

    แต่ถึงจะไม่ปลื้มเวอร์บินสกี้ในงานนี้สักเท่าไหร่ ...แต่ผมก็ยังคงจะยอมรับว่าเขายังเป็น ผู้กำกับหนังบันเทิงได้อย่างถึงคุณภาพที่ยังน่าจะให้เป็นมือวางอันดับต้นๆของฮอลลีวู้ดได้อยู่ ...อย่างน้อยๆในภาคนี้ มันก็เป็นหนึ่งหนังซัมเมอร์ที่มันส์ สนุก และไม่น่าเบื่อ (คำว่า เบื่อ กับ เยิ่นเย้อ ในความคิดของผม คนละความหมายกันนะครับ...เบื่อ คือ อาการที่พาลไม่อยากดูหนัง , เยิ่นเย้อ คือ ความยาวของหนังที่มากเกินจนรำคาญใจ)

    ในขณะเดียวกัน ภาพรวมของ At World's End นี้ ก็ถือว่า เป็นภาคที่มีเรื่องราวอันเข้มข้นเป็นที่สุดในหมู่มวลไตรภาคนี้ ...ปมทุกอย่างที่เคยขมวดเอาไว้แต่ภาคแรก ห้อยภาคสอง ยันภาคสาม(ที่ไม่วายจะสร้างประเด็นใหม่ขึ้นมาอีก) จะถึงคราวที่ต้องคลาย อีกทั้งทุกเรื่องราวของหนังยังจะเติมคำตอบที่หายไปของคำถามในใจคนดู ...สองซี้คนเขียนบทยัง ทำหน้าที่สำคัญอีกอย่างนี้ได้ลุล่วงไปด้วยดี เป็นคะแนนเสน่หาที่เรียกคืนมาได้บ้างจากพลพรรคแฟนๆเดนตาย

    V อ่านต่อข้างล่าง...ครับ V

    แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 50 11:06:00

    แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 50 10:55:58

    จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN - [ 25 พ.ค. 50 10:43:22 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com