จากการวิเคราะห์ตามแนวคิด Interpersonal Attraction ทำไมบางครั้ง เราอยากอยู่ใกล้ใครบางคนมากกว่าคนอื่นๆ (Attachment) เหตุผลหลักเท่าที่มีการวิจัยออกมา หนึ่งในนั้น ก็คือ รูปลักษณ์ภายนอก (Physical Attractiveness) แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ความเชื่อและทัศนคติ เป็นต้น นั่นจึงเป็นที่มาของหนังจากประเทศที่มีเกาะมากมายที่สุดในโลกอย่างฟิลิปปินส์ซึ่งมักจะมีมุมมองชีวิตของคนชั้นล่างได้น่าสนใจและทำออกมาได้น่าติดตาม หลายครั้งที่ความน่าติดตามโดนย้ำให้เห็นถึงก้นบึ้งสุดขั้วด้วยบรรยากาศชุมชนแออัด พร้อมวิถีชีวิตแบบ ในความลำบากยากเข็ญ ยังมีความสุขเล็กๆซ่อนอยู่ ในหนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน เด็กชายที่เป็นกะเทยวัย 13 ปีซึ่งมีพ่อเป็นโจรและพี่ชายสองคนเป็นนักเลง (อาศัยอยู่ในสลัม) กลับมีความสุขเล็กๆอยู่กับความรักที่มอบให้นายตำรวจรูปหล่อ และนั่นก็ทำให้เกิดการฉีกกฎเกณฑ์ที่ว่า บทและการเล่าเรื่องที่ดีสามารถอยู่ในใจได้นาน โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยนักแสดงมากฝีมือพร้อมทุนสร้างระดับร้อยล้านเลย
เรื่องย่อ ณ สลัมแห่งหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ แม๊กซิโม เป็นเด็กกะเทยวัย 13 ปี เขาไม่ได้เรียนหนังสือและอาศัยอยู่กับพ่อที่เป็นโจรลักทรัพย์และพี่ชายสองคนที่เป็นนักเลง แม๊กซิโมรักครอบครัวของเขามาก แม๊กซิโมคอยทำกับข้าว เก็บกวาดบ้าน ถักผมเปียให้พี่ชายคนรอง ดูแลความสะอาดเรียบร้อยภายในบ้าน แล้วก็ออกไปวิ่งเล่นซนกับเพื่อนด้วยกัน ทุกคนในครอบครัวรักแม๊กซิโม อยู่มาวันหนึ่ง มีนายตำรวจย้ายเข้ามาอยู่ในท้องที่แห่งนี้ เขามีอุดมการณ์ที่คิดจะกวาดล้างสิ่งไม่ดีให้หมดไปจากสังคมสลัมเนื่องจากมีเหตุการณ์จี้ชิงทรัพย์บ่อยมาก วันหนึ่งแม๊กซิโมไปรู้จักกับนายตำรวจคนนี้เข้า และเกิดตกหลุมรักนายตำรวจคนนี้ แต่ตำรวจเห็นแม๊กซิโมเป็นน้องชายน่ารักคนหนึ่งมากกว่า เขาไม่ได้คิดกับแม๊กซิโมอย่างนั้น มีอยู่วันหนึ่งที่นายตำรวจคนนี้ได้เบาะแสมาว่า คนในครอบครัวของแม๊กซิโมน่าจะส่วนในคดีลักทรัพย์และฆ่าผู้บริสุทธิ์ นายตำรวจคนนั้นมาที่บ้านเพื่อหาความจริง แต่พี่ชายและพ่อต่างข่มขู่นายตำรวจ (แถมทำร้ายเขา) เมื่อนายตำรวจเริ่มรู้เบาะแสจากการกระทำครั้งนี้ ทำให้เขารวบรวมหลักฐานได้มากขึ้น อีกทั้งแม๊กซิโมก็บอกอะไรบางอย่างกับนายตำรวจไป (ด้วยความรู้สึกดีๆที่มีให้กับนายตำรวจ) โดยนายตำรวจให้สัญญาว่า จะเก็บข้อมูลไว้เป็นความลับ แต่เมื่อทุกอย่างไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อนายตำรวจโดนทำร้าย และครอบครัวของแม๊กซิโมเป็นผู้ต้องหากับคดี เด็กชายวัย 13 ปีคนนี้จะเลือกเส้นทางชีวิตอย่างไรระหว่างครอบครัวที่ดูแลและปกป้องเขามาตลอดกับความรักครั้งแรกที่มีให้กับนายตำรวจนิสัยดีที่มีความสุจริตในอุดมการณ์คนนี้
ความคิดเห็นเพิ่มเติม หนังเล็กๆเรื่องนี้สร้างความเซอร์ไพรซ์ให้กับผู้คนทั่วโลกเพราะไปคว้ารางวัล Glass Bear จากเทศกาลหนังเบอร์ลินมาครอง บรรยากาศหนังสร้างสรรค์ออกมาได้ติดดิน (ระดับสลัม) สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ บทหนังเรียบง่ายก็จริง แต่ทำออกมาได้น่าติดตาม มีอยู่ 2 ฉากในหนังเรื่องนี้ที่ตลกขำๆและ 1 ฉากกับความรู้สึกดีๆ (ซึ่งมาจากพฤติกรรมของแม๊กซิโมทั้งหมด)
1. ฉากที่เหล่าเด็กๆในสลัม (ซึ่งเป็นกะเทย) มาเล่นประกวดนางงามกัน Miss Wow "มิสว๊าว" ที่บ้านเพื่อนหลังหนึ่ง โดยให้เพื่อนผู้หญิงแท้ๆมาเป็นพิธีกรให้ บรรยากาศทำออกมาได้ฮาดี
2. ฉากขำๆตอนที่แม๊กซี่โมเดินออกไปนอกบ้านกับพี่ชายสองคน แล้วบ๊อกส์ (พี่ชายคนรอง) เดินโอบไหล่แม๊กซีโมแบบนักเลงให้ชาวบ้านรับรู้กัน "ประมาณว่า น้องกรูคือคนนี้ ใครจะทำไม" เห็นแล้วตลกดี
3. และสามก็คือ ฉากช่วงท้ายที่บรรยากาศหนังเริ่มอบอุ่นในความสัมพันธ์มากขึ้นเมื่อแม๊กซิโมบอกกับพี่ชายคนรองว่า "ตำรวจคนนั้นไม่สนใจแม๊กซิโมเลย" พี่ชายเลยพูดกลับไปว่า "ใครไม่สนก็ช่างมัน กรูรักมรึงคนเดียวก็พอ โลกนี้ยังมีคนอีกเยอะ หาใหม่ได้" แล้วพี่ชายก็โอบน้องชายเขาที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ แต่ที่สำคัญที่ผมชอบมากที่สุดก็เพราะ ฉากนี้เกิดขึ้นบน "รถสองแถว" โอ้โห แจ่มมั่กๆ ผมไม่อยากเชื่อว่า เลือกบรรยากาศได้สุดยอดขนาดนี้ ปรบมือให้กับอารมณ์หนังในฉากสลัมแห่งนี้จริงๆ
และนี่คือหนัง Coming of Age ที่มีดนตรีประกอบ (คล้ายกีต้าร์โปร่ง) เข้ากับบรรยากาศสลัมโดยแท้ และมาพร้อมนักแสดงที่เล่นได้เป็นธรรมชาติ ที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งไปกว่านั้นอีก ก็คือ หนังจากประเทศฟิลิปปินส์เรื่องนี้ใช้ทุนสร้างไม่ถึง 4 แสนบาท (คิดเป็นเงินไทย) กับเวลาเพียงแค่ครึ่งเดือน และแม้จะได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศฟิลิปปินส์ส่งเข้าชิงออสการ์ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมในปีที่ผ่านมา แต่ไม่ได้เข้ารอบเป็น 1 ใน 5 เรื่องสุดท้ายบนเวทีออสการ์ก็ตาม ยังไงก็ตาม ผู้กำกับ Auraeus Solito กลับสร้างออกมาได้ดีกว่าหนังลงทุนระดับร้อยล้าน (พร้อมดาราดังคับฟ้า) เสียอีก และอย่างที่ผมบอกไว้ตั้งแต่ตอนต้น "บทและการเล่าเรื่องที่ดีสามารถอยู่ในใจได้นาน โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยนักแสดงมากฝีมือพร้อมทุนสร้างระดับร้อยล้านเลย" กับหนังที่ "เริ่มบรรยากาศด้วยความเฮฮาสนุกสนาน แต่ตบท้ายด้วยความอบอุ่น" ในหนังที่มีชื่อว่า Ang Pagdadalaga ni Maximo Oliveros
แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 50 11:56:40
แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 50 11:55:23