Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ปูม !! ไชยยันตร์ อนันตรัย (ตัวอย่างความคืบหน้าครับ มีมาให้ดูสองวันครับ){แตกประเด็นจาก A5569522}

    เอาจริงๆก็ยังไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่อ่ะนะ แต่มานมีบางคน ทั้งกด ทั้งดันซะเหลือเกิน เอาก็เอาหวะ ลองอ่านดูละกันครับ ดีไม่ดียังไงก็ว่ากันมานะครับ


    วันแรกครับ
    ---------------------------------------------------

    ปูมเดินทาง   บันทึกโดย ไชยยันตร์ อนันตรัย


    14 มีนาคม 2502
    หนองน้ำแห้ง (บ้านพักรับรองของบริษัทไทยไวล์ดไลฟ์)



    .....ในที่สุดบันทึกเล่มนี้ก็ได้ใช้เสียที ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ขนมาจากพระนคร โล่งใจไปหลายเปลาะ ที่โล่งใจก็ไม่ใช่แค่จะได้เขียนบันทึกเล่มนี้ อย่างที่ตั้งใจไว้เพียงประการเดียว เพราะเมื่อใดที่สมุดเล่มนี้ได้ถูกจดบันทึกลงไป นั่นก็หมายความว่า การเดินทางตามหาอนุชาก็ได้เริ่มขึ้นด้วย
     
    .....อนุชา วราฤทธิ์ เหตุผลประการเดียว ที่ทำให้เราสามคนต้องดั้นด้น บุกป่าฝ่าดงเข้ามาถึงที่นี่ ทั้งในฐานะ พี่ชาย ในฐานะน้องสาว และในฐานะเพื่อนตาย  นึกย้อนไปถึงวันนั้นก็ยังแค้นใจตัวเองไม่หาย หากเรากล้ากว่านี้ กล้าที่จะเข้าไปห้ามการทะเลาะกันของพี่น้องคู่นั้น กลางก็คงไม่หนีหายออกมาเช่นนี้ นี่ถ้ายายน้อยไม่กลับมา ป่านนี้ก็คงยังไม่มีการออกตามหากลางอยู่นั่นเอง โชคดีที่น้อยกลับมา โชคดีที่เชษฐายอมฟัง และเป็นโชคดีของเรา ที่ได้มีโอกาสแก้ตัวเสียที การมาตามกลางกลับบ้านครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงในฐานะเพื่อนสนิทเท่านั้น หากแต่ นี่คือความรับผิดชอบของเราด้วย รับผิดชอบต่อความขลาดเขลาในครั้งนั้น

    .....แต่จะว่าไป การเดินทางครั้งนี้ ก็ส่อเค้าความลำบากให้เห็นนับแต่วันแรกที่วางแผนจะออกตามนายกลางแล้ว จะไปตามหานายกลาง แล้วจะไปตามหาที่ไหน ? นายกลางอยู่ที่ไหน ?  นั่นคือปัญหาแรกที่เราเจอ และดูท่าจะไม่ใช่ปัญหาเล็กๆเสียด้วยสิ กว่าสามเดือนที่เราทั้งสามคน ต้องทิ้งเวลาให้เสียไปเปล่าๆ โดยทำอะไรไม่ได้เลย นั่นสินะ ช่วงเวลานั้นมันช่างเป็นเวลาที่เราทั้งสามคนร้อนใจเสียเหลือเกิน พี่น้องก็พาลจะทะเลาะกันเสียหลายรอบ ดีที่ยายน้อยยังจะพอเกรงใจเชษฐาอยู่มาก ไม่อย่างนั้น แม่ก็คงจะอาละวาดบ้านแตก หรือไม่ก็คง ออกตามหานายกลางคนเดียวไปแล้ว

    .....ต้องขอบคุณข่าวของนักเผชิญโชคชาวพม่าผู้นั้นจริงๆ หากไม่ได้ข่าวนั้นมาช่วย ป่านนี้เราก็ยังคงนั่งงมกันอยู่ที่พระนครอยู่เป็นแน่ และโชคดีก็เป็นของเราจริงๆ ร่องรอยชิ้นแรกของเราอยู่กลางป่าลึก ด้านจังหวัดกาญจนบุรี แถวสถานีกักสัตว์ของนายอำพลพอดี หลังได้รับคำยืนยันในเบาะแสชิ้นแรกจากปากนายอำพล เชษฐาก็สั่งการเตรียมข้าวของมุ่งมาที่นี่ทันที แต่การขับรถพุ่งมาด้วยความเร็วกว่า 80 ไมล์ต่อชั่วโมง คงไม่ได้ทำให้ความรู้สึกร้อนรนของเชษฐาและดารินลดลงได้เลยกระมัง เชษฐาจึงสั่งให้นายอำพลนำเครื่องบินน้ำมารอรับที่ตัวจังหวัด ร่นเวลาเดินทางไปได้โขทีเดียว ถ้าเทียบกับการมาในครั้งก่อนๆล่ะก็นะ

    .....นายอำพลก็ยังคงเหมือนเดิม แม้ดูจะเจ้าเนื้อขึ้นกว่าเดิม ที่เจอกันเมื่อสองปีที่แล้ว แต่ก็ยังมีเค้าของนักเผชิญโชคอยู่บ้าง แต่ก็เถอะนะ ใครมาเห็นในวันนี้ ก็คงจะนึกไม่ออกเลยหล่ะว่านักผจญภัยที่ไหนจะไว้พุงได้ใหญ่ขนาดนี้ นี่ท่าจะอยู่ดีกินดีไปหน่อยนะเนี่ย ทันทีที่เจอหน้าเชษฐากับดารินก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าไปแม้วินาทีเดียว ทั้งคู่ต่างซักไซร้ไล่เรียงหาที่มาที่ไปของข่าวนายกลาง จนนายอำพลแทบไม่มีโอกาสอ้าปากตอบคำถาม แต่ถึงจะอ้าปากทัน ก็คงไม่ได้อะไรมากอยู่ดี เพราะนายอำพลเองก็ไม่รู้อะไรมากเหมือนกัน ผู้ที่รู้เรื่องจริงๆ คือตาพรานนำทางที่นายอำพลจะแนะนำให้เราต่างหาก และโชคดีก็เป็นของเราอีกครั้ง ที่วันนี้เป็นวันครบกำหนดต้องเข้ามาส่งสัตว์ที่สถานีพอดี และยิ่งแน่ใจมากขึ้นว่าจะได้เจอนายพรานคนนี้ในวันนี้ ก็อีตอนที่เครื่องบินของเราบินต่ำระดับยอดไม้ ตัดผ่านขบวนขนสัตว์ของเค้าไป และนายอำพลชี้ให้ดูนั่นแหละ ไม่เห็นหรอกนะว่าใครเป็นใคร เพราะทันทีที่เครื่องบินของเราบินผ่าน ข้างล่างเค้าก็ชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด เสียงสรรพสัตว์ร้องกันระงม แต่เสียงสัตว์ก็ดังไม่สู้เสียงตะโกนโหวกเหวกเรียกหาบรรพบุรุษที่ดังมาจากด้านล่างไปได้ ฟังๆจากหางเสียงแล้ว คงไม่ใช่การเรียกหาบรรพบุรุษของเรามาสรรเสริญเป็นแน่ และคงจะเป็นการดี ถ้าเราจะเงียบไว้ ไม่บอกให้พวกนั้นรู้ว่าใครเป็นคนเสนอให้นักบิน บินโฉบลงไป

    .....ดูท่าว่า สมุดที่พกมาเล่มนี้จะไม่สูญเปล่า หลังจากที่ได้พูดคุยกับนายอำพลเมื่อวานนี้ โอกาสที่จะหาพรานนำทาง ดูจะริบหรี่เต็มที นายอำพลเองก็ยังไม่ใคร่จะมั่นใจในคนของแกนัก ว่าจะยอมนำทางไปด้วยหรือไม่  ว่าก็ว่าเถอะ ครั้งที่แกพูดมาก็ยังนึกสงสัยอยู่ ทำไมต้องเจาะจงไปที่นายพรานคนนี้คนเดียว สถานีกักสัตว์ของนายอำพลเองก็ใหญ่โต ใหญ่โตในที่นี้ หมายถึงกว้างใหญ่จริง ดูท่าในช่วงสองปีที่ผ่านมานายอำพลจะหมดเงินไปอักโข เพราะเท่าที่จำได้ เมื่อสองปีที่แล้ว สถานีของแกยังไม่ใหญ่โตทันสมัยขนาดนี้เลย แต่จะว่าเป็นเงินของนายอำพลก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว จำได้ว่า เชษฐาเคยเปรยเรื่องนายอำพลมาขอยืมเงินก้อนโตอยู่หลายหนเหมือนกัน เชษฐาเองก็ดูจะพอใจอยู่เหมือนกัน เมื่อได้มาเห็นสถานีกักสัตว์ที่พัฒนาไปได้ขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นตึกทำการที่โอ่อ่าทันสมัย ก่ออิฐถือปูนแบบอาคารพวกฝรั่ง เรือนรับรองก็ดูหรูหรา ทันสมัยไม่แพ้กัน เครื่องเรือนเครื่องใช้ ก็เข้าที ถึงจะดูขัดหูขัดตาไปบ้าง แต่ในบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างนี้ ก็ต้องนับว่ารสนิยมของนายอำพลนี่ดีใช้ได้ทีเดียว โดยเฉพาะหนังเสือผืนเบ้อเริ่มที่วางแผ่หราอยู่กลางห้องทำงานผืนนั้น นี่ถ้าได้เอาไปวางไว้ในห้องรับแขกของบ้านอนันตรัย คงโก้ไม่หยอก เสียดายที่ยังไม่มีเวลาเดินดูให้ทั่ว ขบวนขนสัตว์ของนายรพินทร์ก็เข้ามาพอดี

    .....รพินทร์ ไพรวัลย์ เมื่อแรกได้ยินเรื่องของนายคนนี้  ทั้งฝีมือ ความชำนาญและประวัติอันโชกโชน ดูท่าจะต้องตัวใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นแน่ แต่พอเจอเข้าจริง ผิดคาดแฮะ หมอตัวเล็กนิดเดียว ไม่ถึงไหล่เราด้วยซ้ำมั้ง ผอมเกร็ง ดูไม่น่าจะใช่คนๆเดียวกับที่นายอำพลเล่าให้ฟังเลย

    .....แต่ก็นั่นแหละนะ หลังจากสิ้นเสียงกระสุนนัดนั้น ทำให้รู้ชัดเลยว่า หมอนี่แหละตัวจริง ของจริง อย่างที่นายอำพลเค้าคุยไว้จริงๆ ดูเอาเถอะ คนที่ไหนจะบ้าขนาดเดินเข้าไปยิงเสือซึ่งๆหน้าอย่างนั้น หนำซ้ำ หมอยังอุตส่าห์มีน้ำใจนักกีฬา รอให้พ่อเจ้าประคุณโดดใส่ก่อนอีกแน๊ะ ตั้งแต่เกิดมา เข้าป่าล่าสัตว์ก็หลายหน เพิ่งจะเคยพบเคยเจอนี่แหละ ถ้าไม่บ้า ก็ต้องแน่จริงๆ จ้างให้อีกสิบหมื่นร้อยหมื่น ก็ไม่เอาด้วยหรอก ตายเสียเปล่า

    .....นอกจากฝีมือที่เห็นเป็นประจักษ์แล้ว  ประวัติไอ้เสือนี่ก็ไม่ใช่ย่อย ผ่านการฝึกจากโลกเจริญอย่างแซนเฮิร์ชในเยอรมันมาแล้วด้วย ตอนที่นั่งคุยกันก็นึกเอาไว้อยู่แล้วว่าหมอนี่ต้องไม่ธรรมดา ดูซ่อนคมยังไงก็ไม่รู้ ถามคำตอบคำ นี่ยังดีที่นายอำพลมาเฉลยให้ฟังตอนหลัง ไม่งั้นป่านนี้ก็ยังคงนั่งงงกันอยู่ทั้งสามคนนั่นแหละ ถึงรู้เรื่องราวจากนายอำพลมาแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่สงสัย ก็ยังสงสัยอยู่ ชีวิตของหมอทำไมผลิกผันได้ขนาดนั้น จากอดีตร้อยตรีตำรวจตระเวนชายแดน ผ่ามาเป็นพรานล่าสัตว์ซะอย่างนั้น ดูไปชีวิตของหมอคงจะผ่านอะไรมาไม่ใช่น้อย

    .....เอาเถอะ เดี๋ยวก็คงรู้กัน เชษฐาทิ้งคำถามไปแล้ว ที่เหลือก็แค่รอคำตอบจากหมอเท่านั้น ไม่พรุ่งนี้ก็มะรืน คงรู้ผล จะได้เดินทางร่วมกันหรือไม่ เดี๋ยวคงได้รู้กันไป   แต่ให้ตายเหอะ !! ถ้าหมอตอบตกลง คงดีไม่น้อย บอกตามตรง รู้สึกถูกชะตาหมอนี่ชอบกล ถึงแม้จะยังแปลกๆอยู่บ้างก็เถอะ เชษฐาก็คงยินดี หากได้หมอมาเป็นพรานนำทาง ดูจากสีหน้าท่าทางก็พอรู้อยู่ แต่ยัยน้อยนี่สิ จะว่ายังไง ศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่แรกเจอแบบนี้ ขืนให้เดินทางไปด้วยกัน มิไปฆ่ากันตายเอาในป่าหรอกรึ หวั่นใจจริงๆ

    .....แต่ก็เอาเถอะ ถือว่าปัญหาหนักอกของเราได้รับการแก้ไขไปแล้วเปลาะนึง จะไปฆ่าไปแกงกันยังไง ก็ค่อยมาว่ากันอีกที เป็นปัญหาข้างหน้าค่อยหาทางแก้ไขเอาทีหลังก็ยังไม่สาย อีกอย่าง ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะได้พรานคนนี้มานำทางให้รึเปล่า เพราะเท่าที่ฟังดู เส้นทางที่พวกเราจะต้องใช้เดินทาง คงไม่ใช่เส้นทางที่เค้าอยากจะนำทางเราไปสักเท่าไหร่หรอก สุดแล้วแต่บุญแต่กรรมละกัน ถ้าเค้าช่วยนำทางให้เราก็ดีไป แต่ถ้าไม่   ก็ค่อยมาว่ากันอีกที
    ----------------------------------

    ต้องขอโทษด้วยนะครับ การจัดหน้าในพันทิปทำได้โดยลำบากมาก  พยายามจัดมาให้อ่านง่ายสุดได้เท่านี้เองครับ

    แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 50 15:44:24

    จากคุณ : ฟาฬ - [ 3 ก.ค. 50 15:37:20 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom