CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; "Little Children" ... โดนัทมีรู กับ ลูกกวาดมีพิษ

      เกรด A -> 9-10 คะแนน (6 คน)
      เกรด B -> 7-8 คะแนน (3 คน)
      เกรด C -> 5-6 คะแนน (0 คน)
      เกรด D -> 3-4 คะแนน (0 คน)
      เกรด E -> 1-2 คะแนน (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 9 คน

     66.67%
     33.33%
     0.00%
     0.00%
     0.00%


    หลังจากที่ผมดู "Little Children" จบ ...ผมก็ได้ลองนึกถึงสิ่งที่เพิ่งผ่านตามาอย่างพินิจพิเคราะห์และต้องคิดว่า ผมจะเขียนรีวิวหนังเรื่องนี้ออกมาอย่างไรดี

    เริ่มแรกดูเอาจากชื่อหนัง Little Children ก็บอกความหมายได้นัยน์ๆว่า "เด็กเล็กๆ" เมื่อมาตีความไปกับเนื้อเรื่องดูด้วย ก็ปิ๊งกับสิ่งที่หนังสื่อถึงว่า "ผู้ใหญ่ที่ทำตัวเป็นเด็กเล็กๆ ไม่รู้จักโต"

    จนแล้วที่สุดความคิดวิเคราะห์ของผมมันก็ได้ไปคลิกกับ พวกขนมนมเนย ที่เด็กเล็กๆชอบกินกัน ...ซึ่งมันก็ไปสอดคล้องต้องพ้องกับ ลักษณะของตัวละครหลัก 3 คน ที่ต่างคนต่างก็มีเรื่องราวของตัวเอง

    ตัวละครที่ 1 : "ซาร่าห์ เพียร์ซ" ... แม่บ้านผู้ที่ต้องทนใช้ชีวิตที่เหมือนมีพันธนาการติดพันตลอดเวลา ...เธอทั้งต้องจำทนกับสามีที่ชอบทำปั้มปั่มหน้าจอคอมฯ (พอนึกภาพออกใช่ไหมครับ ว่าผมหมายถึงอะไร)
    และต้องจำยอมเอาใจลูกสาวหัวดื้อขี้งอแงที่ไม่เคยยอมอะไรเธอง่ายๆ

    ตัวละครที่ 2 : "แบรด อดัมสัน" ... พ่อบ้านผู้ที่ต้องทนใช้ชีวิตอันอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ "เคธี่" ภรรยาที่ทำตัวเป็นช้างเท้าหน้า ...เขามีความต้องการที่จะทำงานเป็นทนาย แต่ก็ด้วยความที่เขาเคยพลาด
    จากการสอบงานมาแล้ว 2 ครั้ง จึงเป็นเหตุที่ทำให้เขาท้อแท้ต่อความที่ไม่เคยประสบความสำเร็จสมดังหวังในชีวิตเลย เขารู้สึกย่ำแย่ที่ต้องจำทนเห็นตัวเองเป็นได้แค่คนที่เกาะเมียกินไปวันๆ และต้องจำยอมเดินไปในทางที่เมียเขาต้องการให้เดินเท่านั้น

    ถ้าเปรียบ ซาร่าห์ และ แบรด เป็นขนมนมเนยของเด็กๆ ...ผมนึกถึง "โดนัท"

    ซึ่งลักษณะเฉพาะที่เราจะนึกถึง โดนัท เป็นอย่างแรก เลยก็คือ มันเป็นขนมปังที่มี 'รู'

    และ 'รู' ของโดนัท มันก็เปรียบได้กับ ส่วนว่างเปล่าที่ต้องการให้มีอะไรมาเติมเต็ม ของ ซาร่าห์ และ แบรด

    ซาร่าห์ และ แบรด ต่างก็มีความคิดความต้องการที่จะได้มีชีวิตอย่างเป็นอิสระ อยากมีลมหายใจโดยไม่ต้องไปจำทนจำยอมให้กับอะไรที่มันทำให้พวกเขาต่างต้องจมปลักกับความทุกข์ ...ซึ่งก็ด้วยการที่เธอและเขาได้พรหมลิขิตบันดาลให้มาพบกัน อันคือ จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์แบบ 'ชู้'

    ถ้าเนื้อขนมที่เป็นสสาร เปรียบได้เป็น คนในครอบครัวของซาร่าห์และแบรด ที่มีรสชาติน่าเบื่อ แล้ว ...มิเช่นนั้นความหมายของ 'ชู้' ก็คือ 'รู' ของโดนัท ที่มีว่างเอาไว้เพื่อให้ เธอและเขา ได้จินตนาการรสชาติกันเอาเองว่า มันจะอร่อยดีเป็นเช่นไร

    ตัวละครที่ 3 : "รอนนี่ แม็คกอร์วี่ย์" ... อดีตคนคุก ที่เพิ่งพ้นโทษออกมา ฐานกระทำอนาจารเด็ก ...เขาผู้ที่ไม่มีที่ซุกหัวนอนที่อื่น ได้กลับมาอยู่อาศัยกับแม่ของเขาในละแวกหมู่บ้านที่ไม่มีเพื่อนบ้าน คนใดนับถือเขาเป็น เพื่อน ซ้ำร้ายก็ยังพากันรังเกียจ แล้วร่วมกันลงประชามติให้ขับไล่ออกไปโดยไม่สนหัวอกคนเป็นแม่ ผู้ที่ร้าวรานทุกครั้งที่ลูกของตัวเองโดนด่าว่า "ไอ้ปีศาจ"

    ถ้าเปรียบ รอนนี่ เป็นขนมนมเนยของเด็กๆ ...ผมนึกถึง "ลูกกวาด"

    ถ้าไม่นับว่ามันเป็นของหวานชนิดหนึ่งแล้ว ...ขนมชนิดนี้ ก็ยังมีพิษสง เปรียบเป็นดังอาชญากรตัวร้าย ในสายตาของผู้ปกครองเด็กๆทั้งหลาย

    บ้างก็มองว่ามันจะทำให้ลูกหลานฟันผุ บ้างก็มองว่ามันเคยทำให้เด็กๆตัวน้อยหลายคนต้องตาย ทั้งที่กลืนแล้วมีติดคอ หรือจะมีสารบางอย่างที่อันตรายใส่ผสมเข้ามา

    ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ว่าบ้างนั้นบ้างนี้ มันก็เป็นเพียงแค่ความประพรั่นหวั่นพึงที่ผู้ปกครองตีกรอบล้อมรอบลูกหลานเอาไว้แบบลวกๆ ...และก็คงจะมีเพียงน้อยคนนักที่จะใช้วิธีลึกๆ เสี้ยมสอนในประโยชน์และโทษไปโดยความปราณี

    รอนนี่ ต้องอยากจะนึกขอบคุณคนในกลุ่มหลังเป็นแน่ ที่ยังทำให้เขามีความเป็นคน หลงเหลืออยู่ ...หากแต่ในโลกของคนที่ชอบอคติอันมีเกลี่อนกลาดไปหมดเช่นนี้แล้ว มันก็ย่อมยากยิ่ง ที่ภาพจำของคนทั่วไป จะมองเขาเป็น "คน" มากกว่า "ปีศาจ"

    ถ้าขนมลูกกวาด คือ ปีศาจของเด็กๆ(ในความคิดของผู้ปกครอง) แล้ว ...ฉะนั้นก็เลี่ยงไม่ได้ที่ รอนนี่ จะถูกมองเป็น ปีศาจของท่านๆผู้ปกครอง(ที่ชอบทำตัวเป็นเด็ก)

    หากถ้าเรายังคงเป็นเด็กเล็กๆ ในตอนนี้ เราคงจะมองดู โดนัท กับ ลูกกวาด แล้วก็หยิบมากินมาอมลงคอโดยไม่นึกอะไร ...แต่ในวันนี้ที่พวกเราได้ผ่านพ้นวัยนั้นมาแล้ว คงจะมองเห็นความต่างจากที่คิดในวันนั้นได้เป็นอย่างดี

    โดนัท มันก็คือ ขนมทำจากแป้งที่มีรสชาติเดิมๆ ไม่ได้ดัดแปลงเปลี่ยนสูตรอะไรมาแต่ไหนแต่ไร (มีที่จะไม่เดิม ก็คงแค่ หน้ารสต่างๆ และไส้ใน ที่นับวันก็ยิ่งแปลกใหม่ไปเรื่อยๆ) ซึ่งหากเรากินมันบ่อยๆ กินมันเรื่อยๆ มันก็ต้องมีที่หมดอดทน มีความเบื่อเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ...ส่วน ลูกกวาด ก็ถือ เป็นขนมหวานที่ดูจากเบื้องหน้าแล้วมันล่อตาล่อใจ หากแต่เราไม่อาจสามารถล่วงรู้เบื้องหลังว่ามันมีอะไรที่จะหลอกเราอยู่ในสีที่สดใสนั้นหรือไม่

    มุมมองของคนเป็นเด็ก กับมุมมองของคนเป็นผู้ใหญ่ เหมือนอาจจะต่างกัน ถ้ามองกันที่ตรรกะ และประสบการณ์ ...แต่ในรูปธรรมที่แท้จริงแล้ว เราทุกคนที่ในวันนี้ได้เป็นผู้ใหญ่ ก็ยังคงมีความเป็นเด็กซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างกายที่เติบโตนี้อยู่

    คนบางคน ที่เบื่อหน่ายอะไรต่อมิอะไรในชีวิต คงจะมีที่ยังรู้สึกถวิลหาในอะไรบางอย่างที่เหมือนได้ขาดหายไป ...คนเหล่านี้ ก็เปรียบเหมือนกับขนมโดนัท และเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ เอาแต่จะให้ทุกอย่างได้มาเติมเต็มให้ชีวิตนี้สมบูรณ์
    ที่สุด ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว โดนัท มันก็ย่อมต้องโดนัทที่ไม่มีรูอยู่วันยังค่ำ

    คนบางคน ที่มีแต่อคติ มองอะไรในแง่ลบ แล้วไม่รู้จักปล่อยวาง ...คนเหล่านี้ ก็ยังไม่ถือว่าโต มีนิสัยเป็นเด็กเล็กๆกระจองงอแง ที่ไม่เอาอะไรแล้วก็ดื้อแพ่งยืนยันจะไม่เอาต่อไป ...มองลูกกวาดว่ามันเป็นปีศาจอย่างไร ก็จะมองอย่างนั้นต่อไป ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้มีพิษสงไปซะทั้งหมด และกับคนผลิตดีๆที่ห่วงใยในผู้บริโภคก็ยังมีอยู่อีกเยอะ

    เราต้องยอมรับความจริงว่าเราทุกคนยังเป็นเด็กอยู่ (เชื่อไม่เชื่อ ต้องลองถามพ่อแม่ของคุณ และเขาก็จะคงตอบว่าคุณ "ยังเป็นเด็กสำหรับ(พ่อ/แม่)อยู่เสมอ") ...แม้ตัวของเราจะไม่ใช่ แต่ใจของเรามันก็ยังเป็นอยู่ และเราไม่มีวันจะหนีความเป็นเด็กนี้ไปได้พ้น ...ถึงจะอย่างนั้นก็ตามที หากแต่เราก็ยังจะมีวิธีทำอะไรบางอย่างที่เป็นการพิสูจน์ว่าเราไม่ใช่เด็กๆได้ด้วยเช่นกัน คือ

    หนึ่ง เป็นผู้ใหญ่ที่ยอมรับในความเป็นจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และจำต้องยอมรับในสิ่งที่เราต้องเผชิญหน้า ถึงแม้มันจะต้องเจ็บปวดใจ แต่เราก็ต้องทน ...เพราะก่อนหน้า เราได้เลือกทางที่คิดว่าดีที่สุดมาแล้ว และเราไม่มีวันจะย้อนอดีตกับไปแก้ไขความผิดพลาดนั้นได้

    สอง เป็นผู้ใหญ่ที่ยอมรับได้ว่าโลกใบนี้มันเป็นอย่างไร และยอมรับได้ว่าการมีอคติต่อโลกที่เราอยู่ มันรังแต่จะส่งผลให้โลกนี้น่าอยู่น้อยลงเรื่อยๆ ...ถึงเราจะแบ่งขาว/ดำ ดี/ชั่ว กันอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า สีดำจะไม่มีวันเปลี่ยนคืนเป็นสีขาว อะไรที่เคยชั่ว จะกลับมาดีนั้นเป็นไปไม่ได้

    ถ้าเราสามารถพิสูจน์ตัวเองในสองข้อนี้ได้แล้ว ต่อไปหลังจากนั้นเราก็คงจะได้หวนวันเวลาคืนกลับมาเป็นเด็กที่กิน โดนัท กับ ลูกกวาด อร่อยๆ ...โดยที่มันจะอร่อยอย่างไร ก็ไม่ต้องไปใฝ่หาเหตุผลของมันให้ยุ่งยากลำบากใจ        

    "Little Children" ... หนังดรามามีฟอร์ม (ที่กว่าจะได้มาวางฟอร์มอวดโฉมในบ้านเรา ก็เอาแต่เลื่อนแล้วเลื่อนเล่า) เป็นผลงานการกำกับของ "ท็อดด์ ฟีลด์" ผู้ที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์จาก "In the Bedroom" ในปี 2001

    อันด้วยที่ตัวผมเองยังไม่เคยได้ดูหนังในห้องนอน เรื่องก่อนหน้า (หรือจะบอกว่าไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามผกก.ผู้นี้มาก่อนเลยก็ยังจะได้) ...มิเช่นนั้นแล้ว ความรู้สึกอยากจะดูที่มีต่อหนังเรื่องนี้ทั้งหมดทั้งมวล จึงตกไปเป็นเครดิตของ "เคท วินสเล็ท" แต่เพียงผู้เดียว

    ด้วยเหตุผลข้อหนึ่ง ผมชอบเธอเป็นการส่วนตัว และข้อสอง ผมคงจะไม่ผิดหวังกับการแสดงและตัวหนังที่เธอรับเล่นเป็นอย่างแน่นอน ...เพราะ ชื่อของเคท สามารถรับประกันได้ว่า หนังทุกเรื่องที่มีเธออยู่ ต้องเป็นหนังดี อย่างแน่แท้

    นักวิจารณ์คิดไม่ผิด คนได้ดูคิดไม่ผิด และผมก็เป็นคนหนึ่งที่คิดไม่ผิด ว่านี่คือ อีกหนึ่งหนังดีอย่างที่คาดคิด ...หากแต่เหนือจากที่คิดไป มันก็ยังได้เป็นหนังดีที่มีคุณค่าทางความชอบของผมมาก ถึงขนาดต้องติด 1 ใน 10 อันดับ หนังที่ผมชอบที่สุดในรอบปีนี้ กันเลยทีเดียว ...แล้วจะมีสาเหตุกลใดบ้างล่ะที่ทำให้ผมคิดว่าต้องเลือก Little Children ให้ติดอันดับเป็นหนังแห่งปี

    ข้อหนึ่ง ...ยกผลประโยชน์ให้การกำกับของ "ท็อดด์ ฟีลด์" ที่ทำออกมาได้ละเมียดถึงอารมณ์ ตราตรึงใจในทุกๆชอต เขาสามารถเก็บรายละเอียดเรื่องราวออกมาผ่านจากสีหน้า คำพูด และสภาพแวดล้อม ที่ทำให้เชื่อถึงความเป็นไปของตัวละครแต่ละตัว ทั้งยังสามารถตีแผ่แง่มุมความเป็นมนุษย์ที่มีกิเลสตัณหา และความอคติครอบงำเอาไว้ ได้อย่างถึงลูกถึงคน โดยที่หนังดูจะไม่มีการบิวด์ให้สะเทือนอารมณ์อย่างฟูมฟายอะไร แต่มันก็ค่อยๆแสดงออกมาให้คนดูซึมซับบรรยากาศทีละน้อยๆ ได้อย่างเข้าถึงและลึกซึ้งในสิ่งที่หนังต้องการจะแสดงออกมา

    ข้อสอง ...บทหนังที่เขียนขึ้นมาโดย ผกก.ฟีลด์ และ "ทอม เพอรอตต้า" มีสมดุล ทั้งความจัดจ้าน และเรียบง่าย ที่เล่าออกมาได้อย่างกลมกล่อม ...การสร้างสถานการณ์บีบบังคับอารมณ์คนดูให้รู้สึกตึงเครียดไปกับหนัง ทำแบบไม่เร่งเร้า ทยอยปล่อยความแรงเพิ่มออกมาทีละหน่อยๆ แต่พอถึงจุดจะเล่นเอาให้ตายแล้ว ก็ทำกันอย่างสุดๆ ทั้งยังขมวดทุกเรื่องทุกพลอตให้มาจบลงในจุดๆเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์ ...ในส่วนที่เป็นการเสียดสีสังคมปัจจุบันก็เล่าได้อย่างแนบเนียน ทั้งยังมีความขบขันผ่อนคลายประปรายมาอยู่บ้าง ทำให้หนังไม่ตึงจนเกินไป

    ข้อสาม ...งานด้านภาพ ถ่ายได้สวยมาก ทั้งยังถ่ายทอดอารมณ์ของฉากนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี (ยิ่งในฉาก XXX ที่เกือบจะโดนท่านกบว.เซ็น ยิ่งไม่จำเป็นต้องบรรยายความอะไรให้มันมากมาย มันก็เห็นๆกันอยู่)      

    ข้อสี่ ...การแสดงของทีมดาราคุณภาพทุกคนเล่นได้เยี่ยมยอด ..."เคท วินสเล็ท" เป็นผู้หญิงแข็งกระด้าง ที่มีจิตใจอ่อนแอน่าสงสาร , "แพคทริค วิลสัน" ดูสับสนกระวนกระวายแบบอย่างผู้ชายมีชู้ , "เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่" หึงแบบไม่แสดงออกทางกาย ใช้สายตาแสดงความหวงได้น่ากลัว , "แจ๊คกี้ เอิร์ล เฮลี่ย์" ผมขอเปลี่ยนใจให้เขาสมควรจะได้ออสการ์มากกว่าลุงอาร์กิ้น , "โนอาห์ เอ็มเมอร์ริช" เป็นตำรวจกุ๊ยที่น่าสมเพศ , "ฟิลลิส โซเมอร์วิลล์" เป็นแม่ที่น่าเห็นใจ น่านำเรื่องของเธอไปออกวงเวียนชีวิต

    ข้อห้า ...เนื้อหาที่สะท้อนสังคมได้รุนแรง พล็อตเรื่องที่สะท้านอารมณ์คนดูได้เจ็บแสบ ข้อคิดของหนังที่ทำให้มนุษย์ใจเด็กอย่างเราๆได้กลับมามองตัวเอง แล้วคิดดูว่า "เราโตพอจะเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง" (ช่วงท้ายๆของหนัง ได้แสดงออกมาด้วยการเอาชนะอะไร อย่างหนึ่งที่ แบรด เคยคิดว่า คงไม่มีทางจะทำได้)

    "Little Children" ... กับ 5 เหตุผล ที่ทำให้ผมรัก และยังเป็น 5 เหตุผล ที่ผมจะขอนำเสนอให้คุณๆคนรักหนังต้องไปดูกันให้ได้ ...นี่คือ อีกหนึ่งหนังที่น่าจะทำให้คุณต้องออกจากโรงมาพร้อมกับพูดบอกต่อคนอื่นว่า "ห้ามพลาด" ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

    ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ...ครับ

    เกรด A

    ส่วนที่ขีดเส้นใต้เน้นข้อความ... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี-ดูด้อย ในหนังครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมขีดเส้นไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

    ปล. ขอทำตัวเป็นหน้าม้าให้หนังอีกสองเรื่องที่จะติดอันดับ 1 ใน 10 แห่งปีของผม
    "Ratatouille" และ "Paris Je T'aime" ...ชวนให้ต้องดูครับ ไม่อยากให้พลาดเลยจริงๆ

    "Ratatouille" ... Pixar จานเด็ด กินแล้วอิ่มทั้งน้ำตา
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&month=07-2007&date=30&group=2&gblog=77

    "Paris Je T'aime" ... อ่านปากของฉันนะ ว่า 'เฌอแตม'
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=06-08-2007&group=2&gblog=78

    สำหรับทุกคนที่ได้เผลอเข้ามาในกระทู้รีวิวนี้ ...อย่าเพิ่งรีบออกไปนะครับ อยากขอให้ช่วยลง ความเห็นของคุณกับความรู้สึกต่อหนังเรื่องนี้ ได้ประทับเก็บไว้ในกระทู้นี้ด้วย ... "1 Comment ของคุณ มีค่าเท่ากับ 1 Happy ของจขกท."

    ขอบคุณครับ รักคนอ่าน

    แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 50 21:28:09

     
     

    จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN - [ 6 ส.ค. 50 21:19:38 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com