จากจุดเริ่มต้นเดียวกัน 1 ไอเดีย 2 คนคิด รวมร่าง ผนวกตัว กลายเป็น 2 หนังคัลต์ ใน 1 โปรเจกต์ฉายควบที่สร้างขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงโรงหนังชั้นสองในยุคก่อนเก่าที่ใช้ชื่อเรียกว่า "Grindhouse"
ด้วยความที่ ป๋า "เควนติน ทาแรนติโน่" และ เฮีย "โรเบิร์ต รอดริเกวซ" เคยๆ กับการดูหนังแบบฉายควบ ครั้งสมัยยังวัยหนุ่มฉกรรจ์ ...สองเพื่อนซี้ ที่เคยเจอะกันในร้านวิดีโอ (คนหนึ่ง เป็นพนักงานขาย อีกคน ก็เป็นลูกค้า) และบังเอิญได้มารู้นิสัยใจคอ ถึงความที่มีอะไรเหมือนๆกันในหลายอย่าง ก็เลยคิดพิเรนทร์เหมือนๆกันว่าจะทำอะไรขึ้นมาสักอย่าง ที่เรียกได้ว่า ทั้งแหวกตลาด และ กล้าตาย ไปพร้อมๆกัน
Grindhouse ถือว่ารุ่งเรืองฮอตฮิตมากในสมัยยุค 70s ...นับว่าเป็นโรงหนังในฝันสำหรับคอหนังแนวลาบเลือด ชอบการทารุณ สนุกสะใจ กับการได้เห็นอะไรที่หยะแหยง ทั้งยังจะมีการล่อนจ้อนและเสพสมบ่มีสมอย่างโจ๋งครึ๋ม ตะลึ่งตึ่งโป๊ะ!!! ...โรงหนังรูปแบบนี้จะมีแนวการฉายเน้นจำพวกหนังเกรดบี ใช้ทุนต่ำเตี้ย โดยไม่ไปสนกระแสสังคมว่าหนังโรงใหญ่กำลังฮิตฉายอะไร แล้วต้องทำตาม ...Star Wars เอย Jaws เอย หนังออสการ์เอย ยากจะได้แอ้มที่นี่
ทว่าเมื่อมาถึงในยุคที่โรงหนังชนิดซีนีเพล็กซ์ได้ถือกำเนิดขึ้นมา นั่นก็นับเป็นจุดสิ้นสุดของโรง Grindhouse เลยทันที... เวลาเป็นวันที่ผู้คนเคยหมดไปกับการนั่งดูหนังคัลต์ฉายควบ ได้ลดน้อยลงเหลือเพียงแค่ 2 ชั่วโมง กับการนั่งดูหนังตลาดรอบเดียว จบแล้วก็เดินออกจากโรงในทันใด
กลิ่นอายของวันวานอันหอมหวานกับความทรงจำดีๆ ที่ สองผู้กำกับเด็กแนวเคยมีต่อหนังควบใน Grindhouse ...ได้ก่อให้เกิดแนวคิดที่คนทั้งคู่อยากจะร่วมคารวะให้ความเก๋ากึ๊กที่ช่วยทำให้เขาได้มีตัวตนเป็น เควนติน และ โรเบิร์ต ในทุกวันนี้
หากแต่ 2 หนังสั้นที่เขาทั้งสองร่วมด้วยช่วยกันสร้างจนกลายมาเป็นหนึ่งโปรเจกต์ Grindhouse นี้ จะมีคำว่า "คัลต์" "เกรดบี" และ "ฉายควบ" จำกัดความปะหน้าเอาไว้ก่อน ...มันก็เลยเป็นการจำกัดคนดูโดยอัตโนมัติ ยังผลให้รายรับสุดท้ายในอเมริกา ไม่ทันจะได้แตะกับทุนสร้างที่ยังใช้ไปมากกว่าซะอีก
นั่นจึงเป็นเหตุเป็นผลอันสมควรที่จะทำให้สองหนังสั้น Grindhouse ในต่างประเทศ (ที่ไม่มีใครแก่พอจะรู้จักโรง Grindhouse) ต้องถูกแยกฉายอย่างเลี่ยงไม่ได้
จากหนังหนึ่งเดียว ความยาว 3 ชั่วโมงกว่า ในอเมริกา ...ก็ถูกทีมผู้สร้าง และ 2 ผู้กำกับ ทำศัลยกรรมแยกส่วน ให้หนังสั้น 2 เรื่อง ต้องแตกตัว เป็น 2 หนังยาว (ที่มีฉากเพิ่มเติมจากของดั้งเดิมมาเป็นการทดแทน) นอกอเมริกา ...
"Death Proof" โดย "ป๋าเควน"
ว่าด้วยเรื่องราวของหนึ่งบุรุษจอมบ้าบิ่นนาม "สตั้นท์แมน ไมค์" ...ที่ในเวลานอกเหนือจากงานแสดงหนัง เขามักจะเอาเวลาว่างใช้ให้หมดไปกับการสวมวิญญาณเป็นนักฆ่า ชอบตามล่าตามฆ่าบรรดาเหยื่อที่เป็นสาวๆสวยๆมาสังเวยด้วยความสะใจ ...โดยมีอาวุธเป็นรถสตั้นท์คู่ใจ ที่เขาให้ความรับรองว่า ถ้าใครได้นั่งแล้ว จะต้องได้รับการประกันความตาย (Death Proof) อย่างแน่นอน
จากที่เราเคยรู้จักตัวตนของป๋าเควน ในหนังทุกเรื่องที่ผ่านมา ...สิ่งหนึ่งที่ทุกเรื่องจะต้องมีให้เห็นเหมือนๆกัน ก็คือ 'การสนทนาแบบยาวยืดย้วย' ที่เหล่าตัวละครจะพากันร่ายยาวโดยไม่สนใจว่าผู้ชมที่ถ่างตามองจะรู้สึกมึนงงกงเต็กกันเช่นไร ...และใน Death Proof ที่เขาตั้งใจจะทำเป็นคัลต์เกรดบี มันก็ยังคงไม่วายจะยอมทิ้งในสิ่งที่แสดงถึงความเป็นเขา
ขอรับรองได้เลยว่า ถ้าใครที่เคยดู "Pulp Fiction" หรือว่า ล่าสุดกับ "Kill Bill Vol.2" แล้วรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ ...Death Proof ก็จะเป็นเช่นนั้นอย่างไม่ต่างกัน หนังหมดเวลาเกือบร้อยละ 80 ไปกับการพูดพล่าม พร่ำบ่นไปเรื่อย และเรื่องส่วนใหญ่ที่เราจะได้ยินออกมาจากไดอะล็อคการสนทนา ก็ล้วนจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อเรื่องเลย
แม้กระทั่งกับตัวผมจะมีความชอบใน Pulp Fiction และหลงใหลในเสน่ห์คำพูดที่ตัวละครไม่ได้จะทำให้เราเข้าใจอะไรในเรื่องราวเลย ...หากแต่สิ่งที่ผมเคยรู้สึกหลงใหลกับมีให้รู้สึกแค่ในครึ่งแรก ...หากกับครึ่งหลัง มันก็ยังคือหนังเรื่องเดียวกัน แต่จับฉายต่อด้วยฟิล์มคนละม้วน
ครึ่งแรก ...หนังสนุกได้โดยพึ่งพิงกลิ่นอายความเป็นหนังเก่า ทางเทคนิคที่มักจะต้องมีผิดพลาด (ฉากโดด , ฟิล์มมีรอยสี , การรีเวิร์สซ้ำคำพูด) ถ้ามองว่าเป็นหนังยุคปัจจุบันก็เรียกได้เลยว่า โปรดักชั่นห่วย ทำลวกๆเหลือรับทาน แต่ด้วยความที่ Grindhouse ตั้งใจให้ออกมาเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ก็เลยเป็นการกระทำที่ช่างกล้า และก็ใจมากๆ ...นอกเหนือไปจากการมีสไตล์ บทสนทนาของป๋าเควน ในตอนนี้ก็ถือว่า ดูมันส์ ฮา เพลินๆ สาวก๊วนนี้เมาท์ได้แร่ดดี แต่ที่ถือว่าสุดยอดที่สุด ก็ต้องยกให้ ฉากการซิ่งฆ่า ที่เสนอความโหดหลายมุมกล้องได้เจ๋งสุดๆ (ยิ่งมารู้ว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้พึ่งซีจีเลย ก็ยิ่งโอ้โห ทำอย่างไงวะนี่)
ครึ่งหลัง ...หนังโดดจากครึ่งแรกมาเป็นเวลา 14 เดือน เทคนิคการใช้ภาพก็คืนมาสู่การบ่งบอกเวลาปัจจุบัน (แถมยังมีสัญลักษณ์อะไรอีกหลายอย่างที่เราได้ยินได้เห็น จนเชื่อว่านี่คือปัจจุบัน) ...มันอาจจะดีสำหรับเราๆที่รู้สึกว่าเนี้ยบขึ้น มันดูชัดๆ ไม่น่ารำคาญตา แต่มันไม่ดีที่ผมกลับรู้สึกว่ามันโดด อารมณ์เพลินๆมันหลุดออกไปเลย และก็ดูก็ชมช่วงนี้ได้ไม่อินอีกต่อไป แม้กระทั่งบทสนทนาของสาวแร่ดอีกก๊วน ก็ดูจืดชืดลงไปถนัดตา กลายเป็นการพล่ามอะไรไม่รู้ที่น่าเบื่อเสียนี่ ...แต่ก็อาจจะยังดีอยู่หน่อยๆที่ ช่วงท้ายในฉากไล่ล่า ทำออกมาได้มันส์ ดุเดือด และตื่นเต้นระทึกใจ สมจริง อีกทั้งสาว แมรี่ อลิซาเบธ วินสตีด ก็เป็นอะไรที่สวยใสน่ามองให้แก้เซ็งได้เป็นอย่างดี
ทั้งสองครึ่ง ...ขอชมว่า "เคิร์ต รัสเซลล์" เล่นได้เถื่อนสุดๆ จิตหลุดโคตรๆ (ฉากจบของเขา เลยเป็นอะไรที่สะใจของคนดูมากๆ พากันฮาครืนอย่างบ้าคลั่ง หัวเราะยิ่งกว่าทุกฉากที่ผ่านๆมาๆ)
VV อ่านต่อข้างล่างครับ VV
แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 50 14:20:20