ความคิดเห็นที่ 17
ต่อๆ
--------------
Rep. III
scientology ยังไม่มีคำสัพท์บัญญัติในภาษาบ้านเรา เอาไงดีเนี่ย....
กำลังสงสัยว่าตัวเองจะทำตัวเป็นผู้รู้มากบัญญัติศัพท์ ฉบับเราใช้เอง แต่ชาวบ้านจะไม่ใช้กะเราด้วยสิ....
ต่อนะคะ
ความเป็น scientology นั้น มาจากพ้นฐานความเชื่อจิต-ประสาท และเทคนิคของวิทยาศาสตร์ประยุค เค้าจะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า E-Metre เป็นตัววัด โดยวิธ๊การแบบ Galvanic skin response ซึ้งเป็นเครื่องมือไฟ้ฟ้า วัดความต้นาทางของผิวคนเราต่อไฟฟ้า เป็นความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมทางความรู้สึกและการกระตุ้นทางอารมณ์ ซึ่งจะส่อถึงภาวะอารมณ์ทางจิตเช่น ความกลัว, โกรธ,ผิดชอบ ความรู้สึกทางเพศ โดยวิธีการนี้จะทำให้ไปเชื่อมโยงและทราบถึงอวัยวะภายในได้ด้วย
____
Rep. IV
ข้างบนคือภาพของ E-Metre ค่ะ
พยายามจะเขียนสั้นๆ แต่รู้สึกไม่ค่อยจะสั้นเลย มาคุยเรื่อง การวัดฯต่อนะคะ
ฮับบาร์ดเชื่อว่า คนเรามีจิตที่เรียกว่า reactive mind หรือ เรียกอีกอย่างว่า engrams ซึ่งเป็นจิตที่รับ ซึมซับเอาความเจ็บปวดและภาพเห๖การณ์ในอดีตไว้ engrams จะต้องได้รับการชำระ ซึ่งการชำระดังกล่าวนี้ ทำได้โดยใช้ E-metre เป็นอุปกรณ์นั่นเอง
การชำระ"จิต" เรียกว่า operating thetan ฮับบาร์ดนิยามไว้ว่าเป็น "การรู้-การพยายาม ที่ทำให้เกิด ชีวิต ความคิด เหตุการณ์ พลังงาน พื้นที่และเวลา (MEST) ถือเป็นส่วนประกอบทางกายภาพของจักรวาล
operating thetan เขียนด้วยอักษร o กับ T โดยที่T อยู่ใน O แบ่งออกเป็น 1-8ระดับ ในปัจจุบัน แท่ฮับบาร์ดกล่าวไว้คือ 15 ระดับค่ะ นี่คือที่มาของการทดสอบและชำระ ราคาแพงและดูเป็นลัทธิเชิงพาณิชญ์ที่โลกและคนที่ไม่ใช่(สาวก )และไม่เชื่อ โจมตีด้วยข้อกังขาในการหาเงินแบบใหม่ เรียกวิธีการชำระทางจิตนี้ว่า auditing
ขอเติมความเห็นส่วนตัวนะคะ Scientology นี่คงคล้ายๆกับการเกิดของศาสตร์ใหม่ๆบนโลกเช่นนิเทศศาสตร์เป็นต้น ที่เดิมมาจากรากเหง้าของวิชาการพูด (1900-20) แตกแขนงเป็นวิชาการที่ต้องมีความรู้ องค์ประกอบและข้อสมมุติฐาน ยุคแรกของนิเทศนี่ได้นำเอาความรู้(แนวคิด-ทฤษฎี)ทางสังคมศาสตร์ ซึ่งก็คือการศึกษาระบบสังคมด้วนแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ มาศึกษาค่ะ ต่อมาก็รู้สึกว่าแค่สังคมศาสตร์มันไม่พอ เลยลากมานุษยวิทยามาศึกษาร่วมด้วย (คล้ายๆสังคมศาสตร์ แต่มุ่งเน้นที่การศึกษาแบบวิถีของมนุษย์ที่ไม่อาจตั้งเป็นกฏตายตัวแบบวิทยาศาสตร์ได้) จากนั้นเมื่อโจทย์(ปัญหา)ทางการสื่อสารมากขั้น เทคโนโลยีทางการสื่อสารเปลี่ยนแปลงสังคมมากเข้า ก็เลยมีการศึกษาโดยนำสาขาอื่นๆมาประกอบเช่น ภาษาศาสตร์ ระบบสัญญวิทยา วัฒนธรรมฯลฯ จนเป็นนิเทศแบบทุกวันนี้...
scientology นั้นยังประกอบไปด้วยวิธีการทาง Etymology (การศึกษาเกี่ยวกับคำ-ประวัติศาสตร์ของการใช้คำ-การเปลี่ยนแปลงความหมายและที่มา) ด้วยค่ะ
สรุปคือ scientology เป็นแนวคิดลูกผสมของศาสตร์ต่างๆค่ะ (ง่ายและหยาบที่สุด เท่าที่จะพูดได้ตอนนี้) ***ขอบอกนิดหน่อยว่า "ความเชื่อ" ต่างๆจะรวมตัวกันเป็น "ระบบคุณค่า" แล้ว "ระบบคุณค่า" เมื่อผ่านกาลเวลาและ เอามาทำการศึกษา-เผยแพร่จะกลายเป็น "แนวคิด" "แนวคิด" เมื่อได้รับการทดสอบ-พิสูจน์จะกลายเป็น "ทฤษฏี" "ทฤษฏี"ต่างๆที่ใกล้เคียงหรือศึกษาในเรื่องเดียวกันจะรวมตัวป็น "ศาสตร์" ในที่สุด (เช่นวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ พฤกษศาสตร์ ฯลฯ)
ผู้คนศึกษา "ศาสตร์" เพื่อที่จะนำมันมาแก้ปัญหาต่างๆ รอบตัวเรา (เป้าหมายดังเดิมของการเรียน) ต่างกันตรงที่ว่า เด็กๆบ้านเรา ศึกษา "ศาสตร์" เพื่อที่จะรู้และเข้าใจแล้วเอามันไปสอบให้ได้เกรด 4 ค่ะ
ลองย้อนกลับไปดูนะคะ ว่าเราเรียนรู้ทำความเข้าใจศาสตร์ต่างๆแล้วมาแก้ปัญหาให้ตัวเองได้หรือไม่ ถ้ารู้ไปไร้ประโยชน์ก็บอกอะไรกับตัวเองหน่อยค่ะ
ส่วน scientologyนั้น ความมุ่งหมายเพื่อชำระ "จิต" ถ้าทำได้ก็ถือว่าแก้ปัญหาได้ แต่จะแก้ปัญหาให้เราได้หรือไม่ได้นั้น เราต้องพิสุจน์ค่ะ อย่ายึดผลจากของคนอื่นและ "น้ำลาย"นักวิชาการที่มาพ่นให้เราฟังจนเกินไป นึกถึงการรักษาโรคของหมอแหละค่ะ มีได้-มีพลาด เมื่อที่สุดแล้ว ถ้าวิธีการของมันแก้ปัญหาให้เราไม่ได้ เราก็ต้องหาทางอื่นต่อค่ะ
-----
ขอบคุณคุณฝนเดือนเจ็ดอีกทีนะคะ
ถ้าอยากทราบเพิ่มเติมลองไปถามที่ห้องสมุดนะคะ ที่นั่นผู้รู้เยอะ ^^
จากคุณ :
นู๋ ม.
- [
21 ส.ค. 50 23:05:17
]
|
|
|