CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; "200 Pounds Beauty" ... โฉมงาม กับ ร่างกายอสูร

      เกรด A -> 9-10 คะแนน (23 คน)
      เกรด B -> 7-8 คะแนน (8 คน)
      เกรด C -> 5-6 คะแนน (1 คน)
      เกรด D -> 3-4 คะแนน (1 คน)
      เกรด E -> 1-2 คะแนน (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 33 คน

     69.70%
     24.24%
     3.03%
     3.03%
     0.00%


    บนโลกสมัยใหม่ และโลกที่แวดล้อมไปด้วยความเครียด คนทุกคนที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ย่อมมีปัญหาชีวิตเป็นของตัวเองกันแทบทั้งนั้น

    ซึ่งสำหรับปัญหาใหญ่ๆที่กำลังหนักหัวอกหนักหัวใจของบรรดาผู้หญิง เพศแม่ในยุคปัจจุบัน ถ้าเกิดไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองยังอาศัยอยู่บนคานเป็นสำคัญแล้ว ถัดมาจากนั้นก็ย่อมต้องเป็น เรื่องของ 'น้ำหนักตัว' และ 'ความอ้วน' อย่างแน่แท้...

    ซึ่งอันนี้ก็ต้องถือเป็นเรื่องที่มนุษย์ปุถุชนคนเป็นสาว ย่อมเข้าใจในกงกรรมนี้ของกันและกันเป็นอย่างดี ...กับหนุ่มๆเช่นผม คงจะไปมองอะไรให้ถึงความคิดของพวกเธออย่างลึกซึ้งย่อมไม่ได้หรอก (ถ้าจะให้รู้ดีจริงๆก็มีแต่ ผมต้องไปทำตัวให้เป็นผู้หญิง อย่างลึกซึ้งกันแต่ข้างนอกยันข้างในนั้นเลย...ซึ่งวิธีนั้นเดี้ยนคงไม่ขอเสี่ยงหรอกฮ้าาา)

    มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยความคิดในด้านตื้นๆ (แต่ไม่เขินจนเกินไป) ก็ขอมองว่า ความอ้วน มันเป็นเช่น 'อสูรกาย' บนเรือนร่างของโฉมงาม ซะละกัน...

    จากที่ผมได้เรียนรู้มากับบรรดาเพื่อนสาวทั้งหลายของผม (ว้าย! อีคนเขียนนี่ แอบจิตเนาะตะเอง ...ใช้คำว่า เพื่อนสาว แทนผู้หญิงด้วยล่ะ) ...และด้วยการวิจัยโดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่าง (ขอทำตัวให้มันเป็นนักวิชาการสักหน่อย) ผมได้ค้นพบว่า ผู้หญิง 1 ใน 1 ย่อมมีความกังวลกับเรื่องอสูรในร่างกายของเธอ (เอ็งใช้คำว่า ทุกคน เลยจะดีกว่ามั้ย ไอ้คุณนักวิชาการ)

    และจากการสังเกตการณ์โดยอาศัยพนักงานผู้เก็บสถิติด้วยนั้น (ซึ่งมันก็คือ ไอ้คนที่กำลังตัวเป็นนักวิชาการเนี่ยแหละ) สำหรับในบางคนที่กังวลมาก... ก็จะเป็นประมาณ แค่กินข้าวจานเดียว แล้วพุงน้อยออก ก็คิดเป็นตุเป็นตะว่า "ฉันอ้วนแล้วเนี่ย" ในส่วนบางคนที่กังวลน้อย... ก็มักจะเป็นพวกกินจุ๊บ กินจิ๊บ กินจ๊อย มันไปเรื่อย ทั้งก็บ่นไปด้วยเรื่อยๆว่า "ฉันอ้วน ฉันอ้วน" (ซึ่งพอหลังจากบ่นเสร็จก็ยังตั้งหน้าตั้งตากินมันต่อไป...-_-')

    ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมได้เรียนรู้มานั้น ...ก็ทำให้ผมได้เข้าใจถึงหลักความจริงที่ว่าเอาไว้โดย อริสโตเติล ว่า "ความอ้วน เป็นบ่อเกิดแห่งความเครียด" (ใครสามารถหาข้อความนี้ ว่ามาจากปากของอริสโตเติลได้ ผมยินดีจะจ่ายเงินซื้อสโมสรแมนยูให้คุณบริหารแข่งกับ แมนซิตี้ เลยล่ะเอ้า)

    (สามบรรทัดก่อนหน้านี้ จงลืมๆมันไปซะ ...ความมีสาระ จะเริ่มต้นตั้งแต่บรรทัดถัดจากนี้ครับ...)

    ในความเป็นจริง อสูรกาย ก็ไม่ใช่แค่เรื่องที่ผู้หญิงจำเป็นต้องกังวลกันเพียงเพศเดียวหรอก ...อย่างบรรดาผู้ชายอย่างผมๆ ก็มีที่ต้องคิดระลึกถึงอยู่เช่นกันซึ่งอันนี้ ถ้ามองในมุมผู้ชายก็เข้าใจได้ว่า มันเป็นอะไรที่ดูดุ๊กดิ๊กน่รังเกียจ มากกว่า อยากเอ็นดูในเวลาที่เราจิ้มๆมัน  

    แต่ด้วยความที่ผู้หญิงมักจะชอบให้อะไรต่อมิอะไรในเบื้องหน้าของตัวเอง ดูเพอร์เฟกต์กันเห็นๆ ...มันก็เลยวิสาสะให้ถือเป็นเรื่องโลกแตก ทุกๆทีที่มองหน้าตัวเองในกระจก ทุกๆหนที่ก้มลงมองหน้าท้องรอบเอว หรือกระทั่งทุกๆครั้งที่ชั่งน้ำหนัก แล้วเพียงเห็นมันขึ้นมาอีกขีดหนึ่งก็พากังวลกันไปไหนถึงไหนแล้ว

    การที่ผู้หญิงชอบทำตัวให้เพอร์เฟกต์ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผิดอย่างแน่นอน แล้วแต่มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนจะคิดถึง ...เพียงหากถ้ามองว่าเบื้องหน้าที่เห็นๆกันอยู่ทุกวัน มันเป็นเพียงแค่เปลือกนอก ความคิดที่ว่า ต้องเพอร์เฟกต์ ต้องดูดีตลอดศก มันก็เป็นเพียงแค่ความฉาบฉวย ...คล้ายเป็นเพียงกระจกส่องตัวตนบานหนึ่งซึ่งมันแค่มีรอยร้าวเล็กๆอยู่บนนั้น แล้วก็พาลจะทำว่า เราต้องเปลี่ยนกระจกบานใหม่แล้ว

    ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ...ถ้าเราต้องมองกระจกทุกๆวัน เห็นรอยร้าวอยู่บนนั้นทุกๆวัน แล้วเราก็ต้องเปลี่ยนกระจกบานใหม่ทุกๆวัน พอเปลี่ยนแล้ววันรุ่งขึ้นก็เห็นรอยใหม่อีกไปเรื่อยๆ ...ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ชีวิตของเรามันก็คงจะมัวแต่ยุ่งเหยิงกับกระจกทุกๆวัน ไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี

    สำหรับบางคน ที่มีเหตุผลต้องการจะเพอร์เฟกต์ มาจากความคิดตัวเอง ยังดูไม่ค่อยหนักหนาสาหัสเท่าไหร่ (ถ้ามองว่ามันเป็นความคิดหนึ่งที่เราอยากจะทำให้มันดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้) ...แต่กับคนที่มีเหตุผลต้องการจะเพอร์เฟกต์ อันมาจากความคิดของผู้อื่น นี่มันก็เป็นอะไรที่น่ากลัวมิใช่น้อย

    ความน่ากลัว อันเกิดมาจากที่ คนอื่นมองเราเป็นอสูรกายเยี่ยงไร เราก็มองตัวเองให้เป็นอสูรกายเช่นเดียวกันเยี่ยงนั้น ...ความคิดที่คนอื่นยัดเยียดให้เราเป็นตัวอะไร เราก็ยินดีจะยอมคิดให้เป็นตัวนั้นไปด้วยอย่างไม่ขัดขืน ทั้งๆที่เราก็เป็นมนุษย์เหมือนๆเขา เรากลับสนแต่น้ำคำของมนุษย์อีกคนที่บอกกล่าวด้วยความคะนองปาก มากกว่าจะลองคิดถึงจิตใจคนได้ฟัง

    คนอื่นที่ว่านี้ มันก็เปรียบกันได้กับรอยร้าวเล็กๆนั้น ที่อยู่บนกระจกที่กำลังส่องตัวตนของเรานั่นแหละ ...ในเวลาที่เรามอง เราอาจจะรู้สึกเจ็บใจที่มันร้าวแตก หากแต่เราก็ยังมัวไปแคร์ไปสนกับรอยร้าว จนต้องมัวแต่เปลี่ยนกระจกอยู่ตลอดทุกๆครั้งที่ได้เห็นรอยร้าวนั้น

    การที่เราชอบจะแคร์น้ำคำของผู้อื่น บางครั้งก็อาจจะเป็นผลดีที่ทำให้เราได้นำมาใช้ปรับปรุงตัวของเราเองได้ ...แต่ก็ยังจะมีบางครั้งด้วยเช่นกันที่เรื่องนั้นมันก็เป็นอีกเรื่องที่แตกต่างจากการที่เราไปสนคำติอย่างจริงๆจังๆ ในทุกๆคำ ทุกๆประโยค โดยที่ยังไม่เอามาไตร่ตรองตั้งคำถามอีกกระบวนการหนึ่งกับตัวเอง ว่า "เราจำเป็นต้องใช่อย่างคำที่เขาพูดทุกๆคำเสมอไปเลยหรืออย่างไร ?"

    สำหรับคำถามนี้ ...ผมอยากจะตอบออกมาตามความเป็นจริง ที่ผมเป็นอยู่ว่า "มันไม่จำเป็นเสมอไปหรอก"

    อย่างตัวผมเองก็เคยโดนคนมองในแง่ลบอยู่เสมอๆ และเขาคนอื่นนี้ก็ชอบใส่ความว่าแกล้งกันไปต่างๆนานา ...หากผมจะใส่ใจก็เพียงแค่บางอย่างที่ควรใส่ กับบางอย่างที่มันแต่งสีเติมสรรกันมากเกิน ผมก็ไม่เก็บมาคิดให้มันฟุ้งซ่าน หนักอกหนักใจอะไรนักหนา

    ซึ่งถ้าเป็นผมที่กำลังมองตัวเองอยู่ในกระจกร้าวๆ บานนั้นอยู่ ...ร้อยทั้งร้อย ผมก็จะต้องพูดกับเงาตัวเองว่า "ช่างหัวไอ้รอยร้าวนั้นเถอะ รอให้กระจกแตกหมดบาน แล้วค่อยเปลี่ยนเนาะแก" (และเงานั้น ก็จะผงกหัวรับเห็นด้วยอย่างแน่นอน)

    "เราเป็นในสิ่งที่เราเป็นอยู่ มันก็ย่อมดีกว่า เราต้องเป็นในสิ่งที่คนอื่นยัดเยียดให้เราเป็น" ...นี่คือ หลักความจริงของชีวิตข้อหนึ่ง ที่มีบัญญัติเอาไว้ในกฎเกณฑ์การเกิดเป็นมนุษย์ ...ถึงเราอาจจะต้องทำการเห็นด้วยในบางเรื่องเพราะมันเป็นความจริง หากแต่ความจริงในอีกบางเรื่องมันก็ไม่ได้หมายความให้เราต้องยึดมั่นถือมั่นมันอย่างหนักแน่นไปซะทุกอย่าง ...เช่น บรรดาสาวๆ ที่กำลังมีความกังวล เรื่องอ้วน ก็ไม่ใช่เรื่องจะต้องควรไปทั้งหมด ที่เราไปมองในมุมอีกคน หรือไปฟังคำคนนั้นคนนี้มา แล้วจำเป็นต้องเห็นดีเห็นงามที่จะลดความอ้วน

    เพราะ ยาลดความอ้วนที่ดีที่สุด ย่อมไม่ได้เกิดมาจากการผสมสารตัวยาที่มีวัตถุดิบเป็น น้ำลาย สายตา และ ความคิดของคนอื่น ...

    หากแต่ มันจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ เราเลือกจะผสม ความแคร์ตัวตน ความมั่นใจ และ ความเป็นตัวของตัวเอง ลงไปให้กลายเป็น หนึ่งเม็ดยาขนานดีที่จะทำให้ชีวิตของเรามีความสุข ยิ่งไปกว่าหลายเม็ดยาที่คนอื่นเขาช่วยผสมให้เราต้องกินมาอีกที

    และสุดท้ายสำหรับสาวๆที่ทั้งกังวลเรื่องอ้วน แล้วจะกลัวขึ้นคานไปด้วย ...ผมที่เป็นผู้ชายจริงใจ(แล้วจริงจัง) ก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า "คนอ้วนแล้วน่ารักนิสัยเวรี่กู๊ด ย่อมเยี่ยมกว่า คนผอมเพียวแต่ทำตัวซูเปอร์โลว์" เป็นไหนๆ นะจ๊ะ

    "200 Pounds Beauty" ... หนังโรแมนติก คอมเมดี้ made in 'Korea' ที่มีกำเนิดเกิดมาจาก manga in 'Japan' (จะสร้างเป็นหนังทั้งที เหตุไฉนปลาดิบถึงยอมให้กิมจิคว้าก้างไปซะงั้นเนี่ย) และชื่อในภาษาไทยว่า "คันนะซัง คนจะสวยช่วยไม่ได้" ก็ติดว่าเป็นการ์ตูนอีกเล่มที่มีคนอ่านในเมืองไทยไม่น้อยเลยทีเดียว

    จากที่ผมถามเพื่อนสาวที่เคยอ่านการ์ตูนนี้มาก่อน เนื้อหาของหนัง กับหนังสือ แตกต่างกันเกือบสิ้นเชิง ...ที่ยังคงไว้จากการ์ตูนมาเป็นหนัง ก็คือ ตัวละครนางเอกที่เคยอ้วนฉุ แล้วต่อมาก็ไปศัลยกรรมทำความงามจนผอมเพียวลม  

    การ์ตูน ...เป็นเรื่องของ "คันนะซัง" เด็กมหาลัยมีฐานะดี แต่ยักกะไม่มีเพื่อนคบหาเลียแข้งเลียขาเลย มิหนำซ้ำโดนคนรอบข้างกลั่นแกล้ง กดดันจนกระทั่งต้องไป ศัลยกรรม ให้กลายเป็นสาวสวย ประหนึ่งดาวมหาลัย ที่หมายจะให้หนุ่มที่เธอรัก ได้ตกหลุมมาหลงเธอเสียที

    หนัง ...เป็นเรื่องของ "ฮันนะซัง" หญิงสาวที่มีอาชีพหลักเป็นนักร้องซิงค์ให้คนอื่นลิปเสียงของเธอ (ในขณะที่จ๊อบเสริมรายได้ ก็ใช้เสียงให้เป็นประโยชน์ด้วยการเป็นสาวเซ็กซ์โฟน กระตุ้นความใคร่ของบรรดาผู้ชายหัวงู) เธอมีชายอยู่คนที่เธอแอบทำตัวลับๆรักอยู่ แถมเขาก็ยังเหมือนจะหลงเธออย่างไงอย่างงั้น หากแต่เบื้องหลังที่แท้จริงของ "ซังจุน" กลับคิดกับ ฮันนะแค่เพียงว่า เธอคือเงาเสียงของนักร้องสุดสวยเซ็กซี่ "เอมมี่" ที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ค่ายเทป พร้อมทั้งจะทำทุกอย่างเพื่อรักษา ฮันนะ เอาไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว

    จนเมื่อฮันนะ ได้มารู้ความเป็นจริงจากปากของ  เธอก็เจ็บปวดหัวใจจนอยากจะฆ่าตัวตาย แต่สุดท้ายเธอก็ฉุกนึกขึ้นมาได้ว่า ยังมีอีกหนทางที่เธอจะทำให้มีชีวิตที่เป็นสุข อันคือ การศัลยกรรม หมดทั้งตัว ให้กลายเป็นสาวสวย ที่หมายจะให้ ชายตามองเธอที่เปลือกหน้า มากไปกว่า เนื้อในที่เป็นของทำมาหากินของเขา ...หากแต่ ฮันนะ ก็ยังไม่ได้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้อยู่ดี เมื่อเธอต้องโกหกว่า เธอคือ "เจนนี่" สาวลูกครึ่งเกาหลี-อเมริกา ต่อหน้า และคนรอบข้าง ...ซึ่งตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ความจริงอาจโดนเปิดเผยได้ ก็คือ เอมี่ ที่พยายามหาหนทางจับผิดว่าที่แท้จริงแล้ว เจนนี่ คือ ของปลอม

    v v อ่านต่อข้างล่าง...ครับ v v

    แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 50 16:18:17

    จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN - [ 27 ส.ค. 50 16:06:37 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com