ความคิดเห็นที่ 1 แล้วการพิมพ์ภาษาให้ถูกต้องเวลาตั้งกระทู้มันยากนักหรือไง คนเขารำคาญหรอกถึงติติง เป็นคนไทยก็ควรพิมพ์ภาษาไทยให้ถูกต้องเวลาตั้งกระทู้ ไม่ใช่อ้างนู่นอ้างนี่เพราะอยากพิมพ์ให้มันเพี้ยน มันไม่เท่หรอกนะ จากคุณ : เสียงจากบ้านนา - [ 31 ส.ค. 50 16:30:52 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เราก็จบเอกภาษาไทยมา ยอมรับว่ามีบางคำที่ไม่แน่ใจ (เพราะเราไม่ใชพจนานุกรมเคลื่อนที่) แต่ก็พยายามใช้ให้ถูกที่สุด อันไหนไม่แน่ใจก็ค้นคว้าค่ะ เรามองว่า ถ้าเราไม่ปลูกนิสัยการอ่านการเขียนที่ถูกต้อง มันก็จะติดเป็นนิสัย แล้วคำมันก็จะเพี้ยนไปถาวรในที่สุด ถ้าผิดพลาดกันนิดหน่อยไม่ตั้งใจก็พอทำใจ แต่ผิดแล้วไม่ปรับปรุงก็คงไม่น่าให้อภัยนะคะ ถ้าคุณ จขกท. คิดว่า โลกมันเปลี่ยนไป ภาษาก็ต้องเปลี่ยนตาม ไม่เห็นด้วยเลยค่ะ ถ้าอย่างนั้นเราจะมีภาษาไทยไว้อีกทำไม หรือภาษาอื่นๆ เองเค้าก็มีไวยากรณ์ มีแบบแผน คำที่ใช้ผิดเพี้ยนไปก็ถูกจัดในกลุ่มคำสแลงทั้งนั้น และคำสแลงบ้านเค้าก็ถือว่าไม่สุภาพ ใช้กันเฉพาะกลุ่มด้วยซ้ำค่ะ ภาษาบาลี สันสกฤต ที่เลิกใช้ เพราะผู้ที่เคยใช้ เค้าตกเป็นเมืองขึ้น ภาษาจึงต้องไปใช้ตามประเทศที่ครอบครองเค้าอยู่ และค่อยๆ ถูกกลืนไป ถ้าเรายังคิดจะใช้คำเพี้ยนๆ หรือไทยคำ อังกฤษคำ ไม่ช่วยกันอนุรักษ์ไว้ อีกหน่อยมันก็อาจจะสูญหายไปจริงๆ ก็ได้ค่ะ อย่าให้ชาติไทยถูกกลืนมากกว่านี้เลย ปล. อย่ามองว่าเราแก่ ถึงมาพูดเรื่องนี้นะ เราเพิ่ง 20 ต้นๆ เองขอบอก ไม่ต้องแก่ก็คิดเรื่องดีๆ ได้ค่ะ จากคุณ : คนช่างคุย - [ 31 ส.ค. 50 16:42:20 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ภาษาพูดไม่เท่าไหร่หรอกครับ ตามกระแสมาแล้วก็ไป แต่ ภาษาเขียน ควรใช้ให้ถูกต้องจะดีกว่านะครับ จากคุณ : ดาวรวงข้าว - [ 31 ส.ค. 50 16:43:01 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องก็ดีนะครับ ไม่ถึงกับเป็นการทำให้ภาษาตายไปหรอก แต่คำบางคำก็เหมาะกว่าและได้อารมณ์มากกว่า ในแต่ละสถานการณ์ ดังที่จขกท.ได้ยกตัวอย่างมาก สำหรับผมยอมรับได้ครับ ทีนี้มาเรื่องการติติงบ้าง ในพันทิปเนี่ย บางครั้งก็บอกกันได้น่ารักดีครับ น่าฟัง แต่อย่าง คห.1 นี่ ผมไม่ชอบเอาซะเลยให้ตายสิ จากคุณ : dans Juillet - [ 31 ส.ค. 50 16:46:22 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ู^ ^ คุณ คห. ที่ 1 ครับถ้าหากว่ามันต้องขนดนั้นจริงๆ ก็ควรต้องพิมพ์ภาษาเขียน ไม่ใช่ภาษาพูดสิครับ เช่นคำว่า "เวลาตั้งกระทู้มันยากนักหรือไง" มันก็คงต้องพิมพ์ว่า"เวลาตั้งประเด็นแสดงความคิดเห็นมันยากนักหรืออย่างไร" สินะครับ ผมว่าบางข้อมันก็ต้องยกเว้นกันบ้างนะครับ * ปล. ไม่ได้ัตั้งใจจะก่อกวน แต่ผมว่าน่าจะมีข้อยกเว้นบ้าง มันคงไม่ทำให้ภาษามันวิบัิติหรอกครับ จากคุณ : NiOS - [ 31 ส.ค. 50 16:51:42 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ก็ไม่ถึงกับต้อง ประธาน + กริยา + กรรม + ส่วนขยาย (ถ้ามี) นะคะ แต่ว่าควรเขียนให้ถูกคำถูกความหมายมากที่สุด ไม่พยายามแผลงคำเพื่อความคะนองและความเคยชินตามภาษาพูดอย่างเดียว และเมื่อมีคนมาบอกว่า เราใช้คำไม่ถูกต้องหรือสะกดผิดก็ต้องรับฟังค่ะ อีกอย่างหนึ่งการตรวจทานก่อนกดส่งข้อความก็ทำให้มีสมาธิเพิ่มขึ้น ใจเย็นลง และอาจจะลดความรุนแรงของถ้อยคำได้ค่ะ คำอย่างที่ จขกท.ยกตัวอย่างมา "...คำว่า มั่งเดะ อะนะ คริคริ..." เรารับได้ค่ะ อ่านแล้วได้อารมณ์มากกว่า แต่ที่ไม่ชอบคือ "ทามมาย ,อารายอ่า ฯลฯ" คำแบบนี้ไม่ใช่ภาษาพูดนะเราว่า ส่วนการสะกดผิดโดยไม่ตั้งใจ ไม่ได้ทำเพื่อสื่ออารมณ์หรือเพื่อให้เกิดจินตภาพ คือเกิดจากความเข้าใจผิดในภาษาจริงๆ แล้วมีคนมาแก้ให้เราเข้าใจถูก อันนั้นดีแล้วนะคะ จากคุณ : ธนิสรา (ธนิสรา) - [ 31 ส.ค. 50 17:04:11 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ^ ^ ^ เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 5 อย่างแรงเลยค่ะ   จากคุณ : Ms.Marrie - [ 31 ส.ค. 50 17:07:38 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 31 ส.ค. 50 17:08:45 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อ่านะ!  ตอบทันใจจัง ผมว่า ประเด็นไม่ได้อยู่ที่จะพิมพ์ผิดพิมพ์ถูกซักหน่อยนะครับ ถ้าเค้าอาจตั้งใจพิมพ์สื่อความหมายอย่างงั้น แต่เป็นเรื่องว่าบางคนรำคาญ ก็มาอ้างว่า หัดใช้ภาษาไทยให้ถูกหน่อย ชั้นขี้เกียจเดาว่าความหมายนี้ เพราะเสียเวลาชั้นมากๆ อันนี้ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน แต่ถ้าผมตั้งใจพิมพ์ผิดๆ ถูกๆ เพื่อสื่อความหมาย คนหนึ่งแหละ ที่ไม่คิดจะแคร์ว่าใครจะรำคาญหรือเปล่า ก็แฮปปี้ดี ที่อ่านคำน่ารักๆ และก็เชื่อว่าหลายๆคนก็แฮปปี้ดี ที่จะอ่าน โดยไม่จำเป็นจะต้องไปแคร์กับความรู้สึกรำคาญของใครบางคน ถ้าถามว่า การพิมพ์ภาษาไทยให้ถูกต้องเวลาตั้งกระทู้มันยากนักหรือไง บางคนอาจจะตอบว่ายากครับ เช่น ประเด็นพิมพ์ไม่เป็น  คือ ไม่ได้ทำอาชีพเสมียน บัญชี หรือรับจ้างพิมพ์ดีด แคะทียี่สิบแปดคำต่อวินาที ต้องอาศัยจิ้มดีดๆ การันต์มันอยู่ตรงไหน เอ๊ะ ศ ศาลามันอยู่ที่ไหนล่ะ อันนี้ก็น่าจะเห็นใจเขาใจเราไม่ใช่หรือ ประเด็นไม่รู้จริงๆ เนี่ยภาษาไทย เช่น ก็เรียนภาษาไทยตามที่เค้าบังคับให้เรียนอะ คำนี้มันแปลว่าอะไรก็ไม่เคยจะได้ใช้ซะที แต่คุ้นๆว่าเป็นแนวๆนี้ ก็โพสๆกันไป แต่พอผิดขึ้นมา โดนด่าอีก อ่าวซวยเลยตรู โดนยำเละเลย แล้วอย่างงี้มันจะแก้ปัญหาตรงไหนครับ บอกจะสนับสนุนใช้ช่วยใช้ภาษาไทยให้ถูกมันดีอย่างงั้นอย่างงี้ แต่พอเค้าจะเริ่มต้นใช้ แบบผิดๆถูกๆ ก็โดนรุมด่า(เฉพาะบางท่าน) บางคนก็ได้ใจใหญ่ ยิ่งด่ายิ่งยุ ใช้ให้มันมั่วไปเลยดีกว่า แต่ที่หนักว่าก็ ไม่กล้าใช้ เสียเซล์ฟ ไปเลย แล้วภาษามันจะพัฒนาได้ยังไงกันล่ะครับ ถ้าทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องจริง มันก็จะเป็นคำตอบของ ประโยคที่ว่า "เป็นคนไทยควรพิมพ์ภาษาไทยให้ถูกต้องตลอดเวลา อ้างนู่นอ้างนี่เพราะอยากพิมพ์เพี้ยน มันไม่เท่หรอก" นั้นนี้ เรื่องการพิมพ์ผิด พิมพ์ถูก อาจมีหลายปัจจัย มันอยู่ที่ว่าคุณได้เปิดใจมองให้ละเอียดหรือเปล่า และผมก็คนหนึ่งแหละ ที่ไม่คิดว่าการสื่อสารภาษาไทย แบบผิดๆถูกๆ จะทำให้ใครดูดี เท่ห์หรือมีเสน่ห์ขึ้นมากมายใส่เสื้อผ้าแพงๆ แต่งตัวดีๆ ไม่ง่ายกว่าหรือ จับต้องได้ดีกว่าเสียอีก และก็เชื่อว่าหลายๆคนคงเป็นอย่างงั้น ประเด็นนี้ไม่อยากให้คิดว่าเถียง เพราะที่เข้ามาตอบก็อยากให้มองหลายๆมุม ไม่ใช่ว่ารำคาญใครก็ด่าเค้าเข้าไป แล้วคิดว่าจะได้รับการปรับปรุง ผมว่าไม่น่าจะเกิดผล เพราะอย่างน้อยที่สุด คนที่รำคาญจนมาตั้งกระทู้เนี่ย ก็คือผมคนนึ่งที่รำคาญคนที่รำคาญอีกทีหนึ่ง จากคุณ : kitachi - [ 31 ส.ค. 50 17:08:49 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่ซีเรียสครับ ขอแค่อ่านรู้เรื่องก็พอ พิมพ์ผิดมากก็ไม่ไหว แต่พิมพ์ถูกก็เป็นเรื่องที่ดี ส่วนภาษาพูดหรือพวกแสลง ผมกลับชอบแฮะ แต่ถ้ามากเกินไปจนทำให้อ่านไม่รู้เรื่องรึรำคาญก็ไม่ไหว จากคุณ : เหมียวเอง (6 Degrees of Inner Turbulence) - [ 31 ส.ค. 50 17:09:52 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เหนด้วยกาบจ้าวขงกาทุ็มั่กๆเรยยยยคัฟส์ ทามมายพุ่หย่ายม่าค่าวจายวายรู่นเรยยย พาสามานก้อต้องเปลยี่นปายตามยุกซาหมัยสิ อิอิ อุอุ โอย พอละ เหนื่อยมากเขียนแบบนี้ จากคุณ : สะพายกล้องท่องโลก - [ 31 ส.ค. 50 17:11:10 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แล้วอย่างในกรณี คุณมดดำ ทำหน้าที่เป็นพิธีกร ละคะ เรียกว่าใช้ภาษาไทยได้ถูกต้องไหมคะ ในขณะที่ทำหน้าที่อยู่ อยากทราบว่าคนดู รู้สึกอย่างไรค่ะ จากคุณ : อะตอม (atom magazine) - [ 31 ส.ค. 50 17:11:54 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เห็นด้วยครับ อึดอัด เคยพูดไปแล้ว ถ้าสมัยก่อนมีเวบบอร์ด ตอนนี้คงไม่มีคำว่ามะพร้าวมั้ง เพราะคนอาจเข้าใจว่าเปลี่ยน"หมาก"เป็น"มะ"แล้วจะ วิบัติ.. หรือเปล่า ผมไม่รู้ทีมาแน่ชัด แต่ตอนหลังก็เรียกว่าการทอนคำ ตัดคำไปตามเรื่อง คิดว่าถ้า ฉันจะกลายเป็น ฉาน เป็นจะกลายเป็น เปง จริง ๆ แล้วล่ะก็ อนาคตอาจจะมีการบัญญัติว่านี่คือหลักภาษาไทยชนิดหนึ่งเรียกว่าการลากเสียงก็เป็นได้ หุหุ ช่วยออกความเห็นกันหน่อยครับ แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 50 17:20:28 จากคุณ : Dr.boyze - [ 31 ส.ค. 50 17:12:57 ]

ความคิดเห็นที่ 14 "ในหลวง"ทรงห่วงการใช้ภาษาไทยในปัจจุบันนี้ ว่าเริ่มมีความผิดเพี้ยนไปจากเดิม http://www.dek-d.com/content/view.php?id=3319 // ลองแวะซักนิดนะ จากคุณ : กรุณาใช้บริการช่องถัดไป - [ 31 ส.ค. 50 17:16:35 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมว่าเราถกประเด็นเรื่องเฉพาะในเวบบอร์ดนี้นะครับ กรุณาอย่านำเบื้องสูงมาพาดพิง อีกอย่าง นี่คือข่าวที่ได้รับการเขียนต่อมาอีกทอดหนึ่ง แน่ใจได้อย่างไรว่าจะถูกต้องตามพระประสงค์ จากคุณ : kitachi - [ 31 ส.ค. 50 17:20:17 ]

ความคิดเห็นที่ 16 โอเค ครับ // ไม่ว่ากันจ่ะ จากคุณ : กรุณาใช้บริการช่องถัดไป - [ 31 ส.ค. 50 17:26:41 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เราว่า kitachi คุณดูเดือดร้อนจัง เราว่าคุณตอบมาเหมือนแก้ตัว หาข้ออ้างให้ตัวเองถูกซะมากกว่า อย่างกระทู้ข้างล่างเห็นๆเลย เราเชื่อนะคนในบอร์ดนี้ฉลาดพอ เขารู้ว่าใครพิมพ์ผิดแบบไม่ตั้งใจและใครพิมพ์ผิดแบบจงใจเพราะนึกว่าเท่ เราไม่ได้ว่าคนตอบกระทู้แสดงอารมณ์แบบภาษาพูด แต่ว่าคนตั้งกระทู้ต่างหาก คุณตั้งกระทู้เพื่อให้คนอื่นมาแสดงความเห็นกับประเด็นคุณใช่มั้ย ถ้าคุณตั้งกระทู้ใช้ภาษาผิดๆถูกๆความหมายมันก็เปลี่ยนไป แถมคนเข้ามาอ่านแทนที่เค้าจะเข้าใจประเด็นก็ต้องมานั่งทำความเข้าใจอีกว่าคนตั้งมันพิมพ์อะไรของมัน บางคนใช้ภาษาวิบัติ เช่น เปงไร อาราย บอกตรงๆอ่านแล้วรำคาญ มีสติปัญญาและความคิดขนาดตั้งกระทู้เองใช้คอมเป็นแล้ว ยังใช้ภาษาเหมือนเด็กหัดพูด อย่างงี้มันน่ายอมรับนักหรือ แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 50 17:32:56 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 50 17:32:37 จากคุณ : เสียงจากบ้านนา - [ 31 ส.ค. 50 17:29:19 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อ้อ ลืมพูดอีกอย่างหนึ่ง ตัวผมเองก็พยายามที่จะใช้อย่างถูกต้องนะ แต่ก็นะ ... บางที บางอารมณ์มันก็อยากจะสนุกหรือบ่งบอกอารมณ์ตอนนั้น ๆ ออกมา บางทีผมอ่านความเห็นบางคนนึกหน้าออกเลยก็มี อย่างคำว่า "เดี๋ยวผมจะออกไปกินข้าวแล้ว" ถ้ามีคนโพสว่า "เด๋วเราจาปายกินข้าวแว้ววว" ก็ให้อารมณ์เด็ก ๆ ซึ่งคนสมัยนี้ไขว่คว้า บางคนก็จะใช้แค่บางตัว อย่างเช่นเขียนมาถูกต้องหมดแล้วลงท้ายด้วย "จางเยยยยยย" เราก็จะเข้าใจว่านี่คือความรู้สึกแบบยานคางหน่อย ๆ พูดยากน่ะครับ จากคุณ : Dr.boyze - [ 31 ส.ค. 50 17:29:51 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตึงไปมันก็ไม่ดี หย่อนไปมันก็ไม่งาม มันต้องรู้จักพอประมาณค่ะ บางกรณี คำแปลกๆบางคำ มันก็สื่ออารมณ์ได้มากกว่า แต่มากไปก็กลายเป็นน่ารำคาญ อยู่ที่คนใช้ เลือกใช้ให้พอดี ให้เหมาะสม จากคุณ : เจ้านิ - [ 31 ส.ค. 50 17:33:27 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ภาษาดิ้นได้ เล่นได้ สนุกออก จากคุณ : กุ๊กคุง - [ 31 ส.ค. 50 17:36:21 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ^ ^ จริงครับ ที่สำคัญคือมันไม่ตาย เอ่อ คิดไว้นานมาก ๆๆๆๆ แล้วครับ อยากจะลองโหวตว่าท่านเห็นว่าการใช้คำแบบนี้จะทำให้ภาษาวิบัติหรือไม่ ... ผมกลัวบอร์ดจะลุกเป็นไฟ อยากจะเก็บข้อมูล แล้วรอดูไปสัก 10-20 ปี จากคุณ : Dr.boyze - [ 31 ส.ค. 50 17:46:28 ]

ความคิดเห็นที่ 22 สำหรับเรานะคะ ถ้าเราเกิดสะกดผิด โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วมีผู้ตอบกระทู้คนอื่น ๆ  มาแก้ไขให้ เราก็จะน้อมรับฟังนะคะ บางครั้งเรายอมรับค่ะ ว่าก็พิมพ์เป็นภาษาพูดเหมือนกัน เหมือนกับว่าอยากพูดยังไง ก็พิมพ์แบบนั้น เพราะเรารู้สึกว่ามันเหมือนกับเพื่อน ๆ กำลังปรึกษากันเกี่ยวกับกระทู้นั้น ๆ แล้วมันให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเองมากกว่าภาษาที่เป็นการเป็นงาน อันนี้เรายอมรับได้นะคะ แต่ที่อ่านทีไร ปวดหัวทุกทีก็จะเป็นแบบ "ทามมาย" "คราย" "เป็นอาราย" พวกนี้อ่ะค่ะ เจอความเห็นไหนตอบแบบนี้ เราข้ามไปเลยค่ะ จากคุณ : lollilily - [ 31 ส.ค. 50 17:51:37 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มันแล้วแต่ความตั้งใจค่ะ อย่างที่เคยโพสต์ไว้ ถ้าผิดพลั้งไปบ้าง หรือต้องการใช้ภาษาพูด เราก็รับได้นะ แต่ถ้าผิดแบบงี่เง่า ผิดมโหฬาร ผิดแบบตั้งใจให้มันเพี้ยนอันนี้ก็ไม่สนับสนุนค่ะ จากคุณ : คนช่างคุย (คนช่างคุย) - [ 31 ส.ค. 50 18:22:10 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ไปกันใหญ่แล้วคุณเสียงบ้านนาครับ ผมว่าคุณต่างหากที่มีปัญหาด้านการแปลความ แล้วชักนำไปสู่ประเด็นอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง เพราะคุณเป็นคนตอบคนแรก ถูกต้องมั้ย ประเด็นเรื่องการใช้คำให้ถูกความหมาย กับเรื่องการเลือกใช้คำเพื่อการแปลความหมายก็คนละเรื่องกันนะครับ ที่เราพูดกันอยู่ตรงนี้คือ การใช้คำไทยให้ถูกต้องไม่ใช่หรือ ไม่เกี่ยวกับทักษะการใช้ภาษาเพื่อบรรลุการสื่อสาร ประเด็นเรื่องร้อนไม่ร้อนตัวเนี่ย ผมตอบว่าตอนตั้งกระทู้ไม่ได้ร้อนหรอก แต่มาร้อนเพราะสิ่งที่คุณตอบมาต่างหากเพราะคุณตั้งใจ Discredit คนตั้งกระทู้ ด้วยเหตุผลส่วนตัวว่าก็ชั้นรำคาญ!!! ผมเป็นคนครับ และก็คิดว่าเป็นคนที่มีทักษะการใช้ภาษาที่อยู่ในระดับดี ไม่งั้นไม่เป็นเสมียนได้หรอก ประเด็นคือ ผมไม่ได้เป็นคนที่ชอบใช้คำทามมาย อาไรเหยออ เพราะไม่ค่อยชินและขี้เกียจพิมพ์แบบนี้ แต่ผมก็ไม่เคยโพสต่อว่าใคร เพราะว่าเค้าทำไมถูกใจเรา จนทำให้คนอื่นต้องรำคาญ ผมกลับเลือกที่ไม่อ่านมัน หรือไม่ก็แนะนำดีๆ ว่า คำที่ควรจะเป็นน่าจะเป็นแบบนี้   เรื่องการตัดสินใจว่า ใครจะมีวิจารณญาณเพียงพอหรือไม่ หรือใช้ข้ออ้างหรือคนในนี้ฉลาดพอหรือไม่ อันนี้ไม่คิดตอบครับ เพราะคนในนี้รู้ดีว่า สถานการณ์เป็นอย่างไร สิ่งที่ผมมอง ไม่ได้มองแต่ตัวเองครับ เพราะพยายามมองให้กว้างๆว่า ในความเป็นจริง มีเหตุเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ แล้วก็พิสูจน์แล้วว่ามีจริง ผมอยากให้ คุณเสียงจากบ้านนา เปิดใจนิดนึงสิครับ อย่ามองแต่มุมของตัวเอง เพราะยิ่งปิด ก็หมายความว่าคุณเปิดช่องว่างให้คนอื่นเห็นเนื้อแท้ของตัวคุณเอง ตัวอย่างเช่น "มีสติปัญญา และคิดได้ถึงขนาดตั้งกระทู้เอง ใช้คอมเป็นแล้ว ยังใช้ภาษาเหมือนเด็กหัดพูด อย่างงี้มันน่ายอมรับหรือ" ซึ่งผมว่า  มันคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง ....อย่าคิดมากครับ เอาหัวไปคิดอย่างอื่นทีสร้างสรรค์กว่านี้สบายใจกว่า จากคุณ : kitachi - [ 31 ส.ค. 50 18:23:04 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ตอบคุณคนช่างคุย กรณีของคุณผมว่า น้อยคนนักนะครับ ที่จะคิดได้แบบนี้ อาจเป็นเพราะคุณเรียนมาด้านภาษาไทย แต่คนไทยอีกเป็นล้านที่ไม่ได้เรียน คือในความเป็นจริงใคร จะพกพจนานุกรมมาเช็กคำให้แน่ใจทุกครั้งล่ะจริงมั้ยครับ ผมเห็นด้วยนะว่า ทุกคนไม่ได้อยากจะใช้คำให้มันผิดหรอก อยากใช้ให้ถูก แต่ประสบการณ์และในทางปฎิบัติมันอาจจะทำได้ไม่ดี มันก็สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน และความตั้งใจถูกมั้ยครับ และผมก็เห็นด้วยนะว่า ควรปลูกนิสัยการใช้ภาษาไทยด้วย ถามต่อว่า การปลูกนิสัยการใช้ภาษาไทยที่ดี ควรทำยังไง "ตำหนิด่าว่าคนผิดอย่างงั้นหรือ"" หรือว่า "อะลุ่มอะล่วย(ไม่รู้พิมพ์ผิดหรือเปล่า) ให้เค้าใช้ผิดๆถูกๆกันบ้าง(ขอให้ได้ใช้) แล้วค่อยมาชี้แนะกันดีๆ " แต่ผมชักจะไม่เห็นด้วยกับคุณ คนช่างคุยในประเด็นที่ว่า โลกเปลี่ยนแล้วภาษาจะไม่เปลี่ยนตาม ถ้าคุณมองทางสังคมศาสตร์ออก ภาษามันเป็นเครื่องมือสื่อสาร มันเป็นเรื่องของสังคม เรื่องของมนุษย์ มนุษย์คือคนกำหนดกฎเกณฑ์ของมันให้มีขึ้น มันจะมีการควบรวมกันทางวัฒนธรรม ก็เป็นเรื่องปกติ เหมือนกับที่เราไปหยิบยืมภาษาจากต่างชาติมา มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตั้งแต่พระเจ้าเหาแล้วครับ เพียงแค่วันนี้ มันมีชาติตะวันตกเข้ามามากขึ้น มีมิติของสื่อที่เป็นเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มขึ้น เราฝีนการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนแต่งกลอนจีบกัน ต่อมาก็มีกลอนเป็นสมุด ซึ่งลักษณะของกลอนก็คล้ายกับกลอนฝั่งตะวันตก ที่มีสัมผัสแค่คำท้ายของแต่ละประโยค และคำไม่ตายตัวมากขึ้น ปัจจุบัน มีใครแต่งกลอนจีบกันบ้างครับ มีแต่ส่งข้อความสั้นๆ กันทางมือถือ หรือส่งเป็นภาษาสัญลักษณ์ทั้งนี้ ทั้งหมดนี้ ผมกำลังยกตัวอย่างเรื่องพัฒนาการด้านภาษาของเรา เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเวบนี้ แต่ก่อนภาษาไทย มันทำให้นึกภาพไม่ได้ ต่อมาคนเราคิดเป็นภาพมากขึ้น ต้องการสื่อสารที่ตอบความรู้สึกมากขึ้น มันก็เลยต้องมีคำแสดงอารมณ์ ที่เรียกว่า แอ๊บแบ้ว หรือ แสดงความสดใสน่ารักในท่าทีของภาษา ถ้าคุณมองอย่างผู้สังเกตการณ์ดีๆ มันเป็นเช่นนี้มานาน เป็นธรรมชาติครับ แล้วคุณคิดว่าจะฝืนการเปลี่ยนแปลงนี้ได้หรือ  คุณกลัวการกลืนกลายทางวัฒนธรรมหรือ ผมว่าถ้าเรารู้จักที่จะอยู่กับมัน มันอาจจะได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับวันนี้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่า เราแฮปปี้ที่จะอยู่กับอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ใครจะรู้ วันหนึ่งแสลง ก็อาจกลายมาเป็นคำหลักโดยไม่รู้ตัว อาจกลายเป็นคำฮิตที่เรารู้ความหมายกันโดยไม่ต้องมานั่งอธิบายอีก ผมกำลังชี้ประเด็นว่า โลกมันเปลี่ยน ภาษามันก็มีการเปลี่ยนจริงๆ มันเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ โดยที่เราไม่ทันรู้สึก ถามว่าเราฝืนได้มั้ย อาจจะได้ถ้าทุกคนยืดหลักการว่า จะไม่เปลี่ยนมัน (แต่เพื่ออะไร เพื่อว่าเราจะได้ภาคภูมิใจในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมกันมาหรือ?) คิดในมุมคนคิดมาก ผมว่า เรื่องภาษามันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องที่ ในหลวงในอดีต ยอมสละดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศสแล้วรักษาแผ่นดินส่วนใหญ่เอาไว้ ต่างกันแค่รูปแบบที่เปลี่ยนไป ซึ่ง ณ วินาทีนี้ เราก็ยังคงถกเถียงกันอยู่ว่า มันยังไง ในขณะที่คนรุ่นใหม่ต้องการการสื่อสารที่ตอบความรู้สึก และคนรุ่นเก่ากลับอยากยึดหลักความถูกต้องตามที่ควรจะเป็น หึหึหึ จากคุณ : kitachi - [ 31 ส.ค. 50 18:53:35 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้าย่อคำ ย่อเสียง หรือยืดคำ ตัวอย่างเช่น อะนะ , ปายหนาย , หุหุ , อิอิ อะไรทำนองนี้ ผมก็รับได้นะ เหมือนเป็นการแสดงหรือสื่อถึงอารมณ์ผู้พูด(พิมพ์) ขณะนั้น แต่คำที่พ้องเสียง แล้วตั้งใจเขียนให้มันผิดๆ เช่น ทัมมัย อรัยย์  หัวจัย หั้ย แบบเนี่ย  เห็นแล้วจี๊ดครับ ไม่ได้ช่วยให้พิมพ์เร็วขึ้นเลย และทำให้คำนั้นดูน่าเกลียดกว่าเดิมด้วย จากคุณ : SamuDi Knight - [ 31 ส.ค. 50 18:56:07 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เราเห็นด้วยกับการแก้ไขนะคะ   เพราะ เวบบอร์ด ก็เป็นสื่อสาธารณะอย่างหนึ่ง ใครๆก็สามารถเข้ามาอ่านได้  แม้แต่เด็กๆ ดังนั้น  เรารู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งที่จะต้องใช้ภาษาให้ถูกต้อง (ถูกต้องในที่นี้หมายถึงว่า สะกดอย่างถูกต้อง  และใช้คำที่มีความหมายเหมาะสม) เพื่อไม่ให้คนที่มาพบเห็นจำไปใช้แบบผิดๆ คำว่าใช้ถูกต้องในที่นี้  ไม่ได้หมายถึง  "การใช้คำที่เป็นทางการนะคะ" เพราะแม้แต่คำที่เป็นภาษาพูด  มันก็มีการสะกดที่ถูกต้องของมัน เช่น คำว่า "คะ"  กับ "ค่ะ"  ซึ่งพบว่ามีคนที่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า เมื่อไหร่ใช้ "คะ"  เมื่อไหร่ใช้ "ค่ะ" เป็นจำนวนมากทีเดียว...............ตรงนี้ต่างหากที่น่าเป็นห่วง เวลาที่พบกระทู้ที่สะกดคำผิดๆ  เพียงเพราะว่าคุณไม่ตรวจทานข้อความก่อนกดส่ง มันก็ฟ้องถึงความไม่ละเอียดรอบคอบ  และเลินเล่อของตัวคุณเอง แต่เราไม่เห็นด้วย  ถ้าเป็นกรณีที่สะกดผิด เพราะ "ไม่รู้ว่าผิด" แล้วจะบอกว่า  เค้าสะกดผิดนิดๆหน่อยๆ ไม่เห็นจะเป็นไร   ภาษามันดิ้นได้  เดี๋ยวนี้โลกมันพัฒนาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ฯลฯ เพราะ  ถ้าเราปล่อยให้เค้าสะกดผิดไปแบบนั้นเรื่อยๆ   สุดท้ายก็จะไม่รู้ว่าที่ถูกนั้นคืออะไร.............แล้วเอาสิ่งที่ผิดๆไปใช้ในชีวิตประจำวันไงคะ เราเคยโพสตอบไว้ในกระทู้หนึ่ง  และขอนำมายืนยันในที่นี้อีกครั้งว่า "เราไม่เคยปฏิเสธการใช้ภาษาวัยรุ่น หรือภาษาพูดมาพิมพ์ตอบกระทู้ ตราบเท่าที่ คนนั้นๆสามารถใช้ภาษาในแบบที่ถูกต้องได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง  เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นต้องใช้ แต่ถ้าคุณไม่สามารถภาษาในแบบเป็นทางการให้ถูกต้องได้ คุณก็อย่าเอาคำว่า  ภาษาวันรุ่น  หรือ ภาษามันดิ้นได้ มาเป็นข้ออ้างให้สามารถใช้แบบผิดๆต่อไปได้  โดยที่ไม่คิดจะแก้ไข" สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ  ในเวลานี้  มีคนจำนวนมาก ที่ไม่สามารถแยกแยะภาษาที่ใช้ในโลกอินเตอร์เนต (หรือภาษาแชท) กับภาษาที่ใช้อย่างเป็นทางการได้ คุณ จขกท. เป็นเสมียนก็น่าจะรู้ถึงความสำคัญของใช้ภาษาในการพิมพ์จดหมายต่างๆดีนะคะ คุณลองนึกภาพเอาเองแล้วกัน  ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ (ที่จริงตอนนี้ก็เริ่มแล้วล่ะ) จะมีบุคลากร ที่แม้แต่คำง่ายยังสะกดไม่ถูกอยู่ในระบบการทำงานจำนวนมาก แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ส่วนที่ว่าบางคนใช้คำว่ารุนแรงเกินไป  อันนี้ไม่ขอออกความคิดเห็นค่ะ ตัวเราเองไม่เคยเป็น............. ถ้าเค้าพิมพ์พลาด  เราก็แค่แซวค่ะ แต่ถ้าสะกดผิดเพราะไม่รู้จริงๆ  ............ เราก็บอกดีๆ จากคุณ : coccinelle - [ 31 ส.ค. 50 19:05:48 ]

ความคิดเห็นที่ 28 รู้แต่ว่าไม่ชอบพวกที่ใช้ "นะคะ" เป็น "นะค่ะ" "น่ะคะ" อะไรแบบนี้ แค่ผันเสียงให้ถูกแค่นี้ยังทำไม่ได้เลย แย่อ่ะแบบนี้ จากคุณ : serial_killer - [ 31 ส.ค. 50 19:24:53 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ยอมรับว่าบางครั้งก็เขียนภาษาไทยในอารมณ์ที่ส่งผลให้ภาษาวิบัติเหมือนกันค่ะ แต่มันก็แสดงได้ถึงอารมณ์เราในตอนนั้น เช่น "ดีใจที่สุดเร้ยยยยยยยยยยยยย" เป็นต้น แต่บางครั้งก็รู้สึกหงุดหงิดรำคาญกับบางข้อความที่เขียนภาษาวิบัติแทบทุกคำพูด นิดหน่อยก็พอได้ แต่บ่อยไปมันก็น่ารำคาญ จากคุณ : โอ่งดิน - [ 31 ส.ค. 50 20:09:57 ]

ความคิดเห็นที่ 30 สำหรับผมถ้าเขียนผิดหรือเขียนภาษาวัยรุ่นแบบลากยาวหรืออะไรหลายๆอย่างเวลาอ่านผมรู้สึกว่ามันน่ารำคาญครับอ่านลำบากมากขอบอกจ้า จากคุณ : pajakarat - [ 31 ส.ค. 50 20:14:22 A:58.8.175.21 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 ประเภท 'อะนะ' 'คิคิ' 'คร๊าบ' พวกนี้ไม่เท่าไหร่นะ แต่ประเภทคำของเค้าดีๆ พวกเอาแต่สะดวกมักง่าย พิมพ์ซะอ่านไม่รู้เรื่อง อย่างเช่น หนังไทยพากษ์ไทย ก็เป็น หนังไทยภาคไทย เลยเห็นะไม่ใช่ไม่เคย กรณีแบบนี้ คือ อ่านแล้วงง คนละความหมายกันเลย แถมเหมือนตั้งใจพิมพ์แบบเอาแต่สะดวก เพราะkeyมันคนละทางกันเลย แบบนี้แย่ๆ จากคุณ : เอ้อ - [ 31 ส.ค. 50 20:16:01 A:203.214.158.137 X: TicketID:113464 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เห็นด้วยกับ# 3 และ 31ครับ คำบางคำก็ควรใช้ให้ถูก เพราะถ้าสะกดผิด ความหมายมันจะต่างกันไปเลย คำบางคำก็เป็นคำง่ายๆด้วย อย่างนี้ ชื่อเธออยู่ในอันดับแลกๆ เรื่องมันเป็นยังไง เหล้าให้ฟังหน่อย มืดแล้ว กับบ้านกันเถอะ มันไม่ใช่อย่างนั้นหลอกหน้า มีใครคล่องใจตรงไหนบ้าง มีปลาอยู่เต็มค่องเลย แทนที่อ่านแล้วจะเข้าใจ กลายเป็นอ่านแล้วมึนแทน จากคุณ : ลูพเรฟิล - [ 31 ส.ค. 50 20:43:07 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ป๋มเหงด้วยกะจ้าวของกะทุ้นะงับ ม่ายเหงต้องไปซีเรียสกะมังเลย งุงิ ภาษามานดิ้นได้ ดุ๊กดิ๊กน่าเอนดูออก ชิมิ จากคุณ : สตอเบอร์รี่นมเขย่า (<Strawberry Milk Shake>) - [ 31 ส.ค. 50 21:07:03 ]

ความคิดเห็นที่ 34 พอดี ๆ ครับ   ที่ผมรำคาญ(ด้วยคน) เรื่องหนึ่งก็คือ บางคน แค่พิมพ์ผิด (แบบไม่ตั้งใจ)หน่อยเดียว ก็มีบางคนเข้ามาด่าอย่างกะเป็นฆาตกรยังไงยังงั้นเลย อะไรมันจะขนาดนั้น ค่อย ๆ สอนแบบอ่อนโยน  ก็ได้ ได้ทั้งภาษาถูกต้อง  และความรู้สึกดี ๆ กลับไปด้วย แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 50 22:42:21 จากคุณ : ขุนไกรครับผม - [ 31 ส.ค. 50 21:16:12 ]

ความคิดเห็นที่ 35 จากคห.25 ของ จขกท. คุณkitachi ขอบคุณค่ะที่เสนอแนวคิดมา เราอาจมองอย่างนั้นเพราะเราเรียนมาและถูกอบรมมาอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละค่ะ แต่ที่เราตอบโพสต์ไปในคห.2 เราหมายถึงเรื่องของการสะกดคำค่ะ และได้โพสต์ไปอีกครั้งในคห.23 ว่า มันก็แล้วแต่ความตั้งใจของผู้เขียน ถ้าเป็นภาษาพูด เราก็รับได้นะ บางทีเราเองก็ใช้เวลาคุย msn แต่อย่าลืมนะคะว่า นี่เป็นเว็บบอร์ด มันจะอยู่ไปนานแค่ไหนไม่รู้ ใครจะมาอ่านก็ได้ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ แล้วถ้าผู้ใหญ่อย่างเราๆ ใช้ให้มันถูก อย่างน้อยเด็กๆ เข้ามาอ่าน เค้าก็จะได้รู้ในสิ่งที่ถูก หรือบางคนที่อาจใช้คำไม่ถูกหรือไม่ได้เรียนมา แล้วเคยเขียนมาผิดๆ มาเจอที่ถูก ก็ยังได้สังเกตว่า เออ เราเขียนมาผิดนะ จะได้ช่วยกันแก้ไข คุณลองคิดสิคะว่า หากวันหนึ่ง ภาษาในรายการโทรทัศน์ เป็นอย่างนี้ ครายจาปายกินข้าวกะราวม่างงงง ??? คุณจะรับได้แค่ไหนคะ อิอิ ภาษามันผิดเพี้ยนไปเรื่อยๆ เราก็เข้าใจ แต่อย่างน้อย ตัวสะกดต่างมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนะคะ หรือถ้าเปลี่ยนบ้างก็ต้องใช้เวลา แต่สมัยนี้มันเร็วมากๆ แต่ละคนใช้ไม่เหมือนกันจนหาแบบแผนแทบไม่ได้ อย่าช่วยกันสนับสนุนเลยค่ะ ถึงมองในมุมที่เรียนมา แต่ก็มองอย่างคนที่เป็นคนไทย ใช้ภาษาไทย และไม่อยากให้ความเป็นไทยถูกกลืนค่ะ จากคุณ : คนช่างคุย - [ 31 ส.ค. 50 21:29:41 ]

ความคิดเห็นที่ 36 แฮ่ ๆๆ ในฐานะของมือสมัครเล่นด้านภาษา แต่ใช้ภาษานี้มา 25 ปี ลองนึกคำไทยที่มีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงจากคำเดิมกันไหมครับ แล้วบอกด้วยว่าเปลี่ยนลักษณะใด ... อย่างคำว่าฉันนั้น เป็น ฉะนั้น มันทอนเสียงทอนคำ...เป็นต้น ... ปล.ที่นี่มีห้องภาษาไหมครับ ถ้าแตกกระทู้ที่นี่เกรงว่าจะโดนว่าไหม จากคุณ : Dr.boyze - [ 31 ส.ค. 50 21:35:52 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ตอบคุณ Dr.boyze ที่เด่นๆ รู้สึกจะเป็นคำว่า "พ่าย" สมัยโบราณคำนี้แปลว่า "ชนะ" ครับ แต่ปัจจุบันมีความหมายว่าแพ้ กลับกันแบบหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย สมัยเรียนอาจารย์ผมยังพูดเล่นๆเลยว่า อนาคต คำว่า "ขาว" กับ "ดำ" ความหมายอาจจะสลับกันก็ได้ จากคุณ : เหมียวเอง (6 Degrees of Inner Turbulence) - [ 31 ส.ค. 50 22:33:54 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คิดเหมือน #31 กับ #32 ค่ะ ภาษาแชตไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก แต่ที่ผิดแบบ - หน้ารัก, หน้าตี, หน้าสงสาร, น้องคนนี้น่าตาดีนะ, ถ้าจะดี, ถ้าจะแย่, ถ้าจะบ้า, เราไม่หลอกเธอหลอก .... อ่านแล้วสะดุ้งทุกที และก็แทบไม่น่าเชื่อว่ามีคนใช้ผิดเยอะมาก จากคุณ : jigij - [ 31 ส.ค. 50 22:37:57 ]

ความคิดเห็นที่ 39 http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?langทำให้ประเทศไทยเรียกว่าแย่ เพราะว่าชาวต่างประเทศต้องการให้คนไทยโง่ จะได้เอาเปรียบได้ เพราะฉะนั้นก็ดีใจที่ได้พบท่านในวันนี้ ก็รู้ว่าท่านเข้าใจหน้าที่ของท่าน ที่ท่านรัฐมนตรีบอกว่าอยากจะให้พูดให้เข้าใจ ความจริงไม่ต้อง เพราะว่าท่านทั้งหลายเข้าใจถึงหน้าที่ของท่าน เราก็เคยพูดถึงว่า ถ้าเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศไม่เข้าใจถึงหน้าที่ของตน ลำบากมาก เพราะว่าเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศต้องมีความรู้ถึงความเป็นอยู่ในประเทศ และเข้าใจถึงความต้องการ ความรู้ของชาวต่างประเทศ ก็ดีใจที่ท่านได้มีการประชุมกันทุกปี ฉะนั้น เข้าใจว่ามีหน้าที่อะไร ส่วนใหญ่ท่านก็ได้พยายามที่จะศึกษาความเป็นอยู่ของประเทศ ความต้องการของประเทศ ฉะนั้น งานการที่ท่านทำ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศชาติ “อย่างทุกปีท่านก็มาประชุม แล้วก็ได้ศึกษาความเป็นอยู่ประเทศในที่ต่าง ๆ ศึกษาอย่างลึกซึ้ง คือไม่ได้ไปเที่ยว แล้วก็ไม่ศึกษา ก็เท่ากับไม่รู้เรื่อง ท่านไปแล้วก็ไปดูว่า ความเป็นอยู่ของประเทศ ไม่ใช่ทั้งประเทศทั่วไป แต่ไปดูเป็นแห่ง ๆ แต่ดูอย่างลึกซึ้ง อันนี้ที่สำคัญ ฉะนั้น ที่ท่านได้ไปศึกษาเป็นแห่ง ๆ ทุกปี ก็เป็นประโยชน์มาก คราวนี้ท่านก็ได้ดูทางตะวันออกของประเทศ แต่ก็ได้ไปที่อื่นเหมือนกัน ฉะนั้น ท่านก็จะได้รู้ว่าความต้องการในท้องถิ่น ไม่เฉพาะที่กรุงเทพฯ ว่าประเทศมีความต้องการอะไร จะได้ไปเล่าให้ชาวต่างประเทศที่ท่านไปประจำอยู่ ว่าเมืองไทยมีความต้องการอะไร แล้วรู้สึกว่าชาวต่างประเทศเข้าใจว่าเมืองไทยมีความจำเป็นที่จะพัฒนาประเทศให้ทันสมัย และให้ถูกต้องตามความต้องการของโลก ฉะนั้น ก่อนที่ท่านไป ไปถึงไปตรวจ ไปศึกษาประเทศในแง่ต่าง ๆ ก็ได้ประโยชน์มาก” จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาธิคุณให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่กราบบังคมทูลถามเรื่องต่าง ๆ เช่น เรื่องพลังงานทดแทน ฝนหลวง การใช้ภาษาไทย และเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งทรงตอบทุกคำถาม เอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา กราบบังคมทูลว่า มีชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยที่สนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ศิลปวัฒนธรรมของไทย และพยายามทำตัวเป็นคนไทย แต่ในขณะเดียวกัน มีคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสมัยใหม่ และเยาวชนที่กำลังเติบโตขึ้นมา พยายามที่จะทำตัวสืบอารยธรรมตะวันตก ซึ่งในสิ่งนี้ แม้กระทั่งคำนิยามของคำว่าความเป็นไทย แม้กระทั่งสิ่งที่จะอธิบายว่าอะไรคือความเป็นไทยก็ยังค่อนข้างสับสน จึงขอพระราชทานพระราชดำริในเรื่องนี้ เพื่อที่จะได้นำไปถ่ายทอด ไปชี้แจงให้ชาวต่างประเทศที่พำนักอยู่ในประเทศไทย และชาวไทยที่พำนักในต่างประเทศได้เข้าใจคำตอบที่ถูกต้อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสว่า “ความจริงข้าพเจ้าไม่ได้ไปจากประเทศไทย ข้าพเจ้า มาประเทศไทย เพราะว่าเกิดที่ต่างประเทศ แต่การที่เกิดต่างประเทศและอยู่ต่างประเทศมาระยะหนึ่ง ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องเลย เพราะว่ามาถึงจะต้องอธิบายถึงชีวิต ชีวประวัตินิดหน่อยว่า เกิดเมื่ออายุศูนย์ขวบ เกิดในประเทศอเมริกา ซึ่งท่านทั้งหลายก็ยังไม่เกิด เมื่อข้าพเจ้าเกิดมาก็ยังไม่มีความรู้ มารู้ทีหลังว่าเกิดและออกจากประเทศอเมริกา เดินทางไปยุโรป ไปอังกฤษ ฝรั่งเศส ไปสวิตเซอร์แลนด์ และต่อจากนั้น จากสวิตเซอร์แลนด์ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เข้าสู่ประเทศไทยโดยเรือ มาถึงสิงคโปร์ และเดินทางโดยเรือลำเล็กเข้ากรุงเทพฯ เวลานั้นอายุ 1 ขวบ ยังไม่รู้เรื่องอะไร กว่าจะพอรู้เรื่อง พออายุ 5 ขวบ เดินทางจากเมืองไทยไปสวิตฯ เวลานั้นก็ไม่ทราบเรื่องเท่าไร แต่ก็พอรู้เรื่อง และอยู่สวิตฯ ถึงอายุ 10 ขวบ ระหว่างนั้นก็เป็นหน้าที่เรียนที่โรงเรียน และกลับมาเมืองไทยอีกครั้งอายุ 14 ปี มาฉลองวันเกิดที่สวนจิตรลดา ก็มีผู้มาร่วมฉลองวันเกิด มีสมเด็จพระพันวัสสาฯ คือสมเด็จย่าของข้าพเจ้า “สมเด็จย่าท่านมีพระมหากรุณาอย่างใหญ่หลวง ที่ทำให้รู้จักเมืองไทย เพราะว่ามีสมเด็จย่า ตอนนั้นอายุ 11 ขวบ ก็รู้เรื่องเมืองไทยบ้างตั้งแต่เวลานั้น แต่ก็ไม่ได้อยู่นาน 11 ขวบ ก็กลับไปสวิตฯ ตอนนั้นก็ไปเจอสงครามที่สวิตฯ แต่กลับมาเมืองไทยไม่ได้ เพราะว่าเป็นเวลาที่วิกฤติ ตอนนั้น ทางรัฐบาลไทยจะเรียกให้ครอบครัวกลับเมืองไทย สมเด็จพระบรมราชชนนีท่านไม่ยอม เพราะท่านเห็นว่ากลับเมืองไทยก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ากลับมาเมืองไทยก็ไม่ได้เรียนความรู้อะไรเลย ท่านก็บอกสวิตฯ เป็นประเทศที่เป็นกลาง ท่านก็ให้อยู่ แต่ว่าถ้าหากจำเป็นต้องอพยพ ท่านก็เห็นดีอพยพ แต่ในที่สุดก็ไม่ต้อง ชาวสวิตฯ ก็รู้สึกขอบใจที่เราอยู่ที่สวิตฯ นี่ก็เห็นเป็นนโยบายต่างประเทศอย่างหนึ่งเมื่ออายุ 11 ปี “สมเด็จพระบรมราชชนนี ท่านสอนนโยบายที่จะมีในชีวิต ในการทำอะไรที่เหมาะสม ท่าน ก็เลี้ยงดูจนกระทั่งอายุ 18 ปี ซึ่งระหว่างนั้นก็ได้เรียนรู้ถึงต่างประเทศ ชาวสวิสก็พอใจ ยินดีที่ตัดสินอยู่ที่สวิตฯ เขาบอกว่าเป็นประโยชน์กับเขามาก เพราะว่าเขาสบายใจ แต่เขาก็ช่วยเต็มที่ ถึงเวลา อายุยัง ไม่ถึง 18 ปีเต็ม ก็เดินทางมาเมืองไทย ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เดินทางโดยเครื่องบิน มาถึงเมืองไทยในวันที่ 5 ธันวาคมนั้นเอง ก็หมายความว่าอายุ 18 ที่ดอนเมือง ซึ่งคนคงแปลกใจ จากที่อายุ 18 ท่านทั้งหลาย ก็คงทราบว่ามีอะไรบ้าง ข้าพเจ้าเริ่มชีวิตอายุ 18 แล้ว หลังจากนั้นก็ออกไปสวิตฯ อีกครั้ง เพราะว่าตอนนั้นยังไม่มีความรู้พอ ก็เรียนเกี่ยวข้องกับรัฐศาสตร์ เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ตั้งแต่อายุ 18 จนกระทั่งถึงเวลาที่ได้ความรู้พอสมควรก็กลับมาเมืองไทย จากนั้นก็มาอยู่เมืองไทย ไม่ได้ออกไป ต่างประเทศ นอกจากไปชั่วคราว ไปต่างประเทศ ไปเยี่ยมต่างประเทศเป็นทางการส่วนใหญ่ ก็หมายความว่า ที่ได้ความรู้เกี่ยวข้องกับต่างประเทศนั้น ไม่มีความรู้เท่าไหร่ เพราะว่าไปอยู่โรงเรียน ไม่ใช่ไปศึกษา ไปศึกษาเรื่องงานการ ก็พยายามศึกษาประมาณสองสามปีที่ไปเรียนเกี่ยวข้องกับรัฐศาสตร์ “ฉะนั้น ต่างประเทศ ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง มารู้เรื่องต่างประเทศ มาเมืองไทย แล้วก็จากท่านทูตทั้งหลายที่ได้มีความรู้ ได้รู้ว่าคนเราก็จะต้องมีความรู้ต่างประเทศด้วย แต่ว่าเราจะรู้เองไม่ได้ ท่านทูตต่าง ๆ นี่ก็จะเป็นผู้ที่ให้ความรู้กับเรา ฉะนั้น ท่านบอกว่า มา พอทราบว่าข้าพเจ้าจะบอกอะไรได้เกี่ยวกับการต่างประเทศ ข้าพเจ้าไม่ค่อยรู้ ได้รู้จากท่านทั้งหลาย แล้วก็รู้ว่าท่านได้ศึกษาการต่างประเทศมา แล้วได้ปฏิบัติการต่างประเทศ ฉะนั้น ถึงบอกว่าผู้ที่ไปเป็นทูต หรือผู้ที่อยู่กระทรวงต่างประเทศ จะต้องศึกษาเรื่องต่างประเทศ เพื่อประโยชน์ของประเทศไทย ไม่ใช่ไปอยู่กระทรวงการต่างประเทศโดยที่ไม่มีความรู้ หรือมีความรู้ในวิชาอื่น “ที่ท่านทูตบอกว่า ท่านอยากทราบว่าจะอธิบายเรื่องการต่างประเทศอย่างไร ถึงบอกปฏิเสธว่า ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ท่านรู้เรื่องดี แล้วท่านต้องพยายามที่จะนำความรู้ที่ท่านได้หาความรู้และปฏิบัติ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ข้าพเจ้ามาอยู่เมืองไทย ก็ได้ทราบถึงเท่าที่ได้ไปเห็น เท่าที่ได้ปฏิบัติในระหว่างที่เป็นผู้แทนของประเทศไทย ในการไปเยี่ยมเยือนต่างประเทศนั้น ที่มีความรู้แล้วก็กลับมา ก็มาเล่าให้ท่านฟัง “ฉะนั้น การที่ท่านมาพูดถึงว่า ข้าพเจ้าได้ไปอยู่ต่างประเทศ ก็จะนำความรู้ที่อยู่ต่างประเทศ ก็ไม่ได้มากนัก แล้วก็เอาความรู้ที่ได้ในเมืองไทย ก็มีความรู้ ก็ไม่ได้มากนัก แต่ท่านตรงข้ามกับข้าพเจ้า ท่านได้ศึกษาในเมืองไทย และไปต่างประเทศ ก็ไปปฏิบัติและศึกษาพร้อมกัน ด้านนี้ที่สำคัญ ที่จะต้องบอกว่าท่านมีประโยชน์มากต่อข้าพเจ้า เพราะว่าท่านได้ปฏิบัติการต่างประเทศตลอด เรียกว่าตลอดชีวิตของท่าน “ฉะนั้น ท่านก็ทำประโยชน์ได้ต่อบ้านเมืองไทย โดยที่ท่านได้ไปปฏิบัติเป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ และได้ปฏิบัติงานเพื่อให้บ้านเมืองอยู่ดี ท่านมาอยู่เมืองไทย ไม่ใช่ในฐานะอื่น แต่ว่าในฐานะกระทรวงการต่างประเทศ ฉะนั้น กระทรวงการต่างประเทศก็มีประโยชน์ และท่านก็มีประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมาก แต่เดี๋ยวนี้ท่านก็จวนจะเกษียณทั้งนั้น ใกล้จะเกษียณ แต่ว่าท่านก็ได้ทำประโยชน์ต่อประเทศ ในฐานะที่ได้ปฏิบัติในกระทรวงการต่างประเทศ แต่ท่านปฏิบัติในกระทรวงการต่างประเทศมา ก็ต้องเต็มที่ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เอาคนที่ปฏิบัติอย่างอื่น แล้วก็มาปฏิบัติด้านกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีหลายท่านที่ไม่ใช่ผู้ที่เป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศโดยตรง แต่ท่านได้เข้ากระทรวงการต่างประเทศ และได้ทำประโยชน์มีมากหลาย ไม่ใช่ไม่มี “ฉะนั้นก็ นี่ที่เคยพูด แล้วก็ท่านทูตที่ได้ไปเป็นทูต และเป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ เคยปรารภว่า ต้องรู้เรื่องกระทรวงการต่างประเทศโดยตรง ไม่ใช่ไม่รู้กระทรวงการต่างประเทศ ถึงจะเป็นทูต ฉะนั้น ก็ต้องถือโอกาสขอบใจท่านทูตทั้งหลายที่ได้ทำหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศโดยดี และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สามารถที่จะชี้แจงกับชาวต่างประเทศว่าเมืองไทยเป็นอย่างไร เพราะท่านได้ศึกษาทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ” จากนั้น ...... จากคุณ : นข. (นายข่วย) - [ 1 ก.ย. 50 01:33:10 ]

ความคิดเห็นที่ 40 จากนั้น นายอดิศักดิ์ ภาณุพงศ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย กราบบังคมทูลถามเกี่ยวกับกระแสของสังคมในขณะนี้ ซึ่งเป็นความพยายามของทั้งภาครัฐและเอกชน ที่จะส่งเสริมสนับสนุนความเป็นไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินกิจการใด ๆ ที่เกี่ยวกับชาวต่างประเทศ มีปรากฏการณ์อย่างหนึ่งซึ่งสวนทางกัน คือ มีชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยที่สนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ศิลปวัฒนธรรมของประเทศไทย และพยายามทำตัวเป็นคนไทย แต่ในขณะเดียวกัน มีคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสมัยใหม่ และเยาวชนที่กำลังเติบโตขึ้นมา ที่พยายามที่จะทำตัวสืบอารยธรรมตะวันตก ซึ่งในสิ่งนี้ แม้กระทั่งคำนิยามของคำว่าความเป็นไทย แม้กระทั่งสิ่งที่จะอธิบายว่าอะไรคือความเป็นไทย ก็ยังค่อนข้างสับสน จึงขอพระราชทานพระราชดำริในเรื่องนี้ เพื่อนำไปถ่ายทอด นำไปชี้แจงให้กับชาวต่างประเทศที่พำนักอยู่ในประเทศไทย และชาวไทยที่พำนักในต่างประเทศ ได้เข้าใจคำตอบที่ถูกต้อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบว่า “ท่านทูตคงกลุ้มใจที่คนที่ไปอยู่ต่างประเทศ บางทีไม่กี่วัน ลืม กลับมาพูดภาษาไทยไม่ได้ เพราะว่านึกว่าไปต่างประเทศนั้น ต้องไปเรียนรู้ความไม่เป็นไทย ฉะนั้น ก็เห็นใจท่าน เพราะว่าท่านเป็นทูต คนที่ไปต่างประเทศไม่กี่วัน แล้วก็ไปพบกับท่านทูต พูดภาษาไทยไม่ได้ แต่ว่าต่างประเทศ ฝรั่ง ไปพบท่าน มาเมืองไทยไม่นาน กลับไปพูดภาษาไทยได้ อันนี้ ชอบกล ประหลาดมาก “แต่ว่าต้องเข้าใจว่าคนที่ไม่ได้ไปต่างประเทศ แต่ก็ได้มีโอกาสไปต่างประเทศ เขามีปมด้อย คนไทยนั้นส่วนใหญ่ไม่มีปมด้อย คนไทยมีความภูมิใจที่เป็นคนไทย เพราะว่าอยู่เมืองไทย เป็นคนไทย เขาได้ศึกษาว่าเมืองไทย คนไทยมีความดี แต่ผู้ที่ไปต่างประเทศนั้น ผู้ที่ไปเมืองฝรั่ง ไม่ใช่พวกที่ไปเมืองแขก เมืองจีน พวกที่ไปฝรั่ง เพราะว่าเห่อว่าฝรั่งนี่เขาเจริญ เพราะว่าบ้านเมืองของเขามีความก้าวหน้าหลายอย่าง คนไทยก็เลยมีปมด้อยว่า เราไม่มีความเจริญ ปัญหาจึงเกิดขึ้นว่าจะทำยังไงสำหรับแก้ไข ก็เล่าให้ท่านฟังแล้วว่า ข้าพเจ้ามาเมืองไทย หมายถึงออกจากเมืองไทย มาเมืองไทย ไม่รู้ภาษาไทย แล้วก็ออกไป อายุ 5 ขวบ กลับมาอายุ 11 ก็ไม่ค่อยรู้ภาษาไทย ที่จริงรู้ภาษาไทย ก็โดยที่สมเด็จพระบรมราชชนนีไม่พูดภาษาฝรั่งกับเรา ท่านพูดภาษาไทย ก็เลยรู้ภาษาไทย แต่เขียนภาษาไทยไม่ค่อยได้ อ่านไม่ค่อยได้ ตอนอายุ 11 ก็ได้เรียน จนกระทั่งอายุ 18 ก็เขียนภาษาไทย อ่านภาษาไทยไม่ค่อยได้ มาอ่านภาษาไทยได้ทีหลัง แต่ก็อยู่ที่ความพยายามที่จะเรียนภาษาไทย “แต่ผู้ที่ไปหาท่านทูต แล้วพูดภาษาไทยไม่ชัด นั่นส่วนใหญ่เขาก็รู้ภาษาไทย ออกไปสองสามวัน ลืมภาษาไทยไปแล้ว เพราะว่าเป็นคนที่ไม่ศึกษาวิธีที่จะทำ ท่านทูตก็คงต้องล้างสมองเขา วิธีที่จะปฏิบัติ ต้องล้างสมองเขาว่า ประเทศไทยนี่ มีภาษาไทยมานานแล้ว มีวัฒนธรรมไทย มีนานกว่าประเทศในยุโรปหลายประเทศ “ตอนก่อนนี้ ในต่างประเทศเรียกว่า Middle Age หมายความว่าเป็นยุคกลาง ยุคที่ไม่เจริญ เมืองไทยนี่ ยุคกลางของเราเจริญแล้ว ถ้าอยากที่จะให้แก้ไข เราจะต้องศึกษายุคกลางของเราว่าเจริญแล้ว แล้วบอกกับพวกที่เขานึกว่าเมืองไทยไม่เจริญให้เข้าใจ แล้วก็ที่ประเทศไทยนี่ มีภาษาไทย มีตัวอักษรไทยมาตั้งแต่สมัยที่เป็นยุคกลางของฝรั่ง ก็เหมือน Middle Age ของคนฝรั่ง ของเราหลายร้อยปี มีภาษา มีตัวอักษร ของฝรั่งไม่มี เราไม่พูดถึงอเมริกา ไม่พูดถึงแอฟริกา แต่ยุโรปซึ่งเป็นประเทศที่เจริญ แต่ตอนนั้นไม่ได้เจริญ เราเจริญก่อนเขา แต่ว่าที่เมืองไทยจะไม่เจริญก็เพราะว่า มีคนอย่างพวกที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเมืองไทยนี่เจริญมานานแล้ว วิธีที่จะทำต้องยกย่อง หรือต้องพยายามที่จะทำให้เข้าใจว่าเมืองไทยนี่เจริญมานานแล้ว “วิธีที่จะปฏิบัติก็คือต้องสอนเขา ท่านทูตมาจากออสเตรีย ออสเตรียนี่เป็นประเทศที่เจริญ แต่ภาษาของเขาเป็นภาษาเยอรมัน ไม่ได้เป็นภาษาของเขาเอง ของไทยเราเป็นภาษาไทยของเรา ก็หมายความว่า ของเรามีความเจริญมานาน มีภาษาไทยมานาน มีตัวอักษรไทย ก็ต้องอธิบายกับผู้ที่บอกว่าเมืองยุโรปเจริญกว่าเมืองไทย แต่ความจริง เมืองที่อยู่รอบด้านของเรา เขมร ลาว พม่า มีภาษาของตัวเองทั้งนั้น แล้วก็เป็นภาษาที่เจริญมานาน ภาษาที่มีเรียกว่า มีวัฒนธรรม ตัวอักษรของเขมร ตัวอักษรของไทย นี่เป็นตัวอักษรที่มีมาเป็นแรมปี เป็นหลายศตวรรษแล้ว ฉะนั้นก็ต้องอธิบายถึงว่า ของเรามีความเจริญมาก “ข้าพเจ้าได้ศึกษาภาษาสันสกฤต ก็ศึกษาเท่าที่จะศึกษาได้ มีหนังสือ ตัวอักษรของสันสกฤต เป็นอักษรที่ยาก ก็หมายความว่าเป็นอักษรที่โบราณ เก่าแก่ เป็นพันปี หมายความว่าเรามีความเจริญมานานแล้ว ไม่ใช่ด้อยพัฒนา แต่ว่าเรามีความพัฒนานี้ ไม่นับเหมือนกับเด็ก ๆ สมัยใหม่นี้ เด็กสมัยใหม่นึกว่าสมัยใหม่ ภาษาจะต้องเรียกว่า สมัยใหม่ ความจริงภาษาของสันสกฤตสมัยใหม่มาก แล้วก็การก่อสร้าง เรียกว่า ก่อสร้าง ตัวอักษรของเขามีหลายชั้น มีชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นบน แต่ยากถึงลำบากที่จะรู้เรื่องภาษาสันสกฤตนี่ ภาษาตัวอักษร ยากมาก ฉะนั้น คนก็ไม่ค่อยเรียนรู้ เรียนรู้ยากมาก มีเป็นชั้น ๆ แต่ว่าก็มีเหตุผลที่จะมีชั้น ๆ เป็นภาษาที่ละเอียดลออมาก ฉะนั้น ถ้ามีใครมาทำท่าว่า คนไทยทำไมไม่เจริญ ไม่พัฒนา ก็เพราะว่าไม่ได้เรียนเอง ถ้าเรียนก็จะเห็นว่าคนไทยพัฒนามาก ไม่รู้สึกว่ามีปมด้อย ว่าคนไทยไม่พัฒนา ที่จริงพัฒนามาก แต่ว่ามันไม่ออกมาเป็นตึก 100 ชั้น ตัวภาษาเองมันเป็นตึกสามสี่ชั้น แต่ไม่ทำเอง “ถ้าท่านทูตอยากจะอธิบาย พวกที่มาแล้วหาว่าคนไทยไม่ก้าวหน้า ศึกษาภาษาไทยเอง แม้ไม่ต้องถึงไปเรียนภาษาสันสกฤต ภาษาไทยเองก็เลยมีหลายชั้น หมายความว่าตัวอักษรต่าง ๆ เรามีสูง สูงมาก แล้วก็ถ้าเรียนรู้ภาษาไทย ก็รู้สึกน่าชื่นชม เสียงของภาษาไทยก็มีหลายเสียง เราจะเขียนภาษาฝรั่งออกมาเป็นภาษาไทยก็ได้มาก มากกว่าฝรั่งเขียนภาษาไทย ฉะนั้น ท่านไม่ต้องกลัว ท่านศึกษาต่อไป แล้วไปอธิบายให้กับพวกที่เขาล้าสมัย พวกที่เขาเรียกว่า Primitive พวกฝรั่งที่ Primitive ไม่ต้องกลุ้ม ไม่ต้องมีปมด้อย จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายถึงเรื่องโลกร้อนและการทำฝนเทียม   ....... จากคุณ : นายข่วย - [ 1 ก.ย. 50 01:33:31 ]

ความคิดเห็นที่ 41 จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายถึงเรื่องโลกร้อนและการทำฝนเทียม ว่า “เรื่องทำฝนหลวง ฝนเทียม เรื่องโลกร้อน การเปลี่ยนแปลง ก็ทำให้โลกนี้เปลี่ยนแปลงเป็นทางร้อน แต่ว่าถ้าศึกษาดูดี ๆ โลกมันร้อนขึ้นจริง แต่บางแห่งโลกมันก็เย็น ความร้อนความเย็นนี่ มีบางแห่งก็ร้อน บางแห่งก็เย็น แต่ที่มันเป็นอย่างนั้น โดยที่อย่างขั้วโลกเหนือ อะไรที่เป็นน้ำแข็ง มันละลายลงมามาก มันละลายแล้ว ทำให้ทะเลเปลี่ยนแปลง เมื่อทะเลเปลี่ยนแปลง ฟ้าก็เปลี่ยนแปลง แต่มีบางแห่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนแปลงในทางอื่น ทำให้มีความร้อนน้อยลง ไม่ใช่มากขึ้น “แต่เรื่องของอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงนี่ ได้ศึกษาเรื่องทำฝนหลวง ฝนเทียม มันก็ทำได้ อย่างเมืองไทยนี่ เดี๋ยวนี้ ที่จะเปลี่ยนแปลง ที่จริงก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก เวลานี้มีฝน เพราะว่าแต่ก่อนนี้มีฝนน้อยลง เดี๋ยวนี้เป็นหน้าฝน เป็นฤดูฝน ก็ต้องมีฝน เมื่อบ่ายวันนี้ก็มีฝน แต่ว่าเป็นฝนธรรมดา ไม่ได้เป็นฝนที่ผิดปกติ เวลานี้มันหน้าฝน เวลานี้เป็นฤดูฝน ฤดูฝนก็ต้องมีฝน แต่ว่าเมืองฝรั่งเขามีฝน ก่อนนี้เขาไม่มีฝน อันนั้นเป็นเรื่องของเขา แต่ในเมืองไทยนี่ เป็นฤดูฝนก็ต้องมีฝน “หรืออย่างเขาก็อยากมี อยากมีฝน ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เราก็ไปแสดง ท่านทูตได้ส่งข้อมูลเกี่ยวข้องกับที่เขาทำฝนที่แอฟริกาเหนือ หรือแอฟริกาใต้ มันก็เป็นของธรรมดาที่เขาทำ ไม่ทราบว่ากลุ้มใจอย่างไร คือ ทำฝน ก็ทำได้ทั้งนั้น แต่ของเรา ที่จริงเป็นความผิดของข้าพเจ้าเองที่ไป ที่แอฟริกาเขาอยากทำฝน เลยบอกเราจะส่งข้อมูลไป แล้วก็ให้คนไป ลงท้ายเดี๋ยวนี้รู้สึกเขาไม่สนใจแล้ว ที่เขาขอข้อมูลเกี่ยวกับฝน เขาเห็นว่าการทำฝนในเวลาที่ไม่มีฝนมันยาก แต่ฝนเทียมนี่ทำไม่ใช่ง่าย ๆ แต่ถ้าทำ ทำแล้วก็คงต้องศึกษา ถ้าเราไปทำที่แอฟริกา ทำไปทำมา เดี๋ยวเราจะต้องกลุ้มใจเรื่องลิขสิทธิ์ ลิขสิทธิ์ที่จะทำ “ข้าพเจ้าไม่ได้อยากที่จะต้องเรียกหาลิขสิทธิ์ แต่ว่าถ้าไปทำ เราต้องเรียกหาลิขสิทธิ์ เพราะไม่งั้นต่างประเทศจะเป็นแอฟริกา จะเป็นฝรั่งก็เถอะ ต้องการลิขสิทธิ์ ต้องการผลกำไร ที่จริงเรื่องฝนเทียมนี้ ทำมาหลายสิบปีแล้ว ไม่เคยนึกถึงลิขสิทธิ์ ต้องมานึกตอนหลังนี่ที่นึกถึงลิขสิทธิ์ ไม่อย่างนั้น ฝรั่งเอาเปรียบ เอาเปรียบอะไรเรา แต่ว่าที่พูดถึงฝนเทียมนี้ ถ้าไม่นึกถึงลิขสิทธิ์ เราก็ทำมาได้นานแล้ว ทำสำเร็จ “แต่ว่าปัญหาอีกอย่างที่ทูตอาจจะเป็นห่วงคือ มันสิ้นเปลือง ทำฝนหลวงนี่สิ้นเปลืองพอสมควร บางทีก็จำเป็นที่จะใช้เทคนิค หรือจะต้องสิ้นเปลือง แต่ว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำได้ ไม่ได้ ท่านทูตอาจจะนึกว่าฝนหลวงนี่ กลุ้มใจที่ทำได้หรือไม่ได้ มันทำได้ จะแก้ไขเรื่องที่จะทำให้อากาศเปลี่ยนแปลง ทำได้ อยากจะเปลี่ยนแปลงอากาศอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น มีแต่สิ้นเปลือง และจะต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ ถึงเวลานี้ก็ไม่ได้อยากจะบอกว่า วิธีทำฝนเทียมนี่ทำยังไง วิธีแก้ไขที่จะให้อากาศเปลี่ยนแปลงทำอย่างไร ทำง่าย ความจริงง่าย แต่ว่าเดี๋ยวเขาไปคิดถึงเรื่องลิขสิทธิ์ เรื่องผลประโยชน์ ก็เลยไม่อยากพูด ไม่อยากพูดเรื่องผลประโยชน์ แต่ที่แอฟริกาเขาอยากได้ ก็ส่งคนไป ไปถึง ศึกษา ทำได้ อยากจะทำก็ทำได้ แต่ว่าถ้าอยากถามให้ไปถามสมเด็จพระเทพฯ เพราะว่าสมเด็จพระเทพฯ ไปทั่วโลกแล้ว ไปดู สมเด็จพระเทพฯ ไปแอฟริกาเหนือ ไปแอฟริกา ไปถึงขั้วโลกใต้ หนาวก็หนาวก็ไป จะแก้ไขขั้วโลกใต้ แต่ขั้วโลกใต้มันหนาว ขั้วโลกเหนือมันร้อนขึ้น เปลี่ยนแปลงจากขั้วโลกเหนือร้อน ขั้วโลกใต้ก็เย็น มันอย่างนี้ “ถ้าทำไปทำมา เดี๋ยวนี้ไม่มีไทเทนิกแล้ว ไทเทนิกมันของขั้วโลกเหนือ มันเย็น ตอนนั้นกำลังร้อนขึ้น ภูเขาหิมะก็มาชน แต่ว่าไทเทนิกที่ตาย ที่จม เพราะทำไม เพราะกัปตันเลินเล่อ กัปตันอยากชนะ ความเร็ว ของเรือที่วิ่งเร็ว เลยลงท้ายก็ไปชนภูเขาน้ำแข็ง มันไม่ใช่เรื่องจะแก้ไขความร้อนความเย็น อันนั้นมันก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 มันก็เปลี่ยนแปลงแล้ว แต่เวลานี้ไม่พูดถึง ที่จริงไทเทนิกมันพังเพราะว่าไม่เชื่อว่าอุณหภูมิของโลกมันเปลี่ยน แต่ตอนนี้เราก็ไม่อยากไปไหน เครื่องบินก็ไม่ชนภูเขาน้ำแข็ง “เรื่องที่ยังกลุ้มใจอีกนิดหนึ่ง ยังกลุ้มใจอากาศร้อนหรืออากาศเย็น ถ้าอยากรู้เกี่ยวข้องกับอากาศร้อนหรืออากาศเย็นเปลี่ยนแปลง ก็เอาไว้คงได้คุยกัน ไม่งั้นวันนี้เรื่องราวเยอะแยะ จากคุณ : นายข่วย - [ 1 ก.ย. 50 01:33:45 ]

ความคิดเห็นที่ 42 นายสนั่นชาติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เอกอัครราชทูต ณ กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา กราบบังคมทูลถามเรื่องการตื่นตัวเกี่ยวกับการหาแหล่งพลังงานในอนาคต และรัฐบาลชุดปัจจุบัน เมื่อเข้ารับหน้าที่ได้ประกาศใช้นโยบายตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง กับมุ่งส่งเสริมพลังงานทดแทน เช่น เอทานอล และไบโอดีเซล ตามแนวพระราชดำริ แต่ระยะหลัง ๆ นี้ก็มีข้อเสนอที่จะศึกษาถึงการมีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ภายใน 12-15 ปีข้างหน้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสว่า “เรื่องพลังงานนิวเคลียร์ เมื่อ 10 ปี ก็พูดถึงแล้ว ก็มีผู้เชี่ยวชาญก็เข็นว่าต้องมี ตอนนั้นเลยบอกว่าไม่ควรจะเข็น เพราะว่าเรายังมีอย่างอื่นที่ยังดี ถ้าเมื่อ 10 ปี ตกลงเข็น ก็ให้คนไปศึกษา ป่านนั้นคนที่ไปศึกษาก็กลับมาแล้ว ความจริงก็มีที่ไปแล้วกลับมาแล้ว กลับมาไม่ได้ทำอะไร เพราะว่าไม่สนับสนุนกัน รัฐบาลไม่สนับสนุน ผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ก็ไม่สนับสนุน ที่ส่งคนไปก็ออกจากงานไม่มีงานทำ ถ้าเดี๋ยวนี้อย่างที่พูดว่า ถึงเวลาหรือเปล่า ความจริงก็ถึงเวลา แต่ต้องหายไป ไปเรียน แล้วก็เมื่อเรียนหรือศึกษากลับมา จะต้องรัฐบาล คนอื่นทำไม่ได้ เพราะสิ้นเปลืองมาก ทางรัฐบาลจะต้องทำ ซึ่งความจริงรัฐบาลก็ทำมาแล้ว พลังงานปรมาณูนี้ทำมาแล้ว ไม่ใช่ทำพลังงานทดแทน แต่ทำสำหรับเกี่ยวข้องกับเรื่องของการศึกษาปรมาณู ก็ทำส่วนที่ได้ศึกษาและได้ประโยชน์มาแล้ว เกี่ยวข้องกับเรื่องรักษาผลไม้ หรือเร่งผลไม้ หรือทำผลไม้ไม่ให้เน่า ก็ใช้พลังงานปรมาณู ก็ได้ทำแล้ว “ความจริงถ้าจะมาทำโรงงานพลังงานปรมาณู ข้อสำคัญที่สุดจะต้องศึกษาว่า ถ้าสร้างพลังงานปรมาณูแล้ว จะทำให้ปลอดภัยได้อย่างไร ก็ยังไม่ได้ทำอะไร ครั้งเมื่อ 10 ปี ต้องศึกษาความปลอดภัยของพลังงานปรมาณู ตอนนั้นก็มาเกิดเชอร์โนบิล ก็ไม่มีคำตอบว่า ถ้าเชอร์โนบิลเกิดขึ้นในเมืองไทย จะทำอย่างไร ไม่บอก ไม่รู้ เพราะว่าที่จะทำโรงงานพลังงานปรมาณู ก็จะทำที่บางปะกง เวลานั้นก็เกิดบางปะกงระเบิด ระเบิดไม่ใช่เพราะปรมาณู ระเบิดเพราะความเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ที่บางปะกง แล้วก็เมื่อระเบิดที่บางปะกง ลมมันพัดเข้ากรุงเทพฯ ถ้าสมมติว่าระเบิดปรมาณู กรุงเทพฯ ก็จะตายเป็นส่วนใหญ่ เพราะลมมันเข้ากรุงเทพฯ ฉะนั้น ถ้าทำโรงงานปรมาณู ขั้นแรกทีเดียวจะทำที่ไหน ไม่ได้ศึกษาเรื่องปรมาณู เมื่อ 10 ปี ไม่ได้ศึกษาว่า ถ้าปรมาณูระเบิดแบบเชอร์โนบิล คนจะตายกี่คน ครั้งบางปะกงระเบิดนั้น ตายไปคนหนึ่ง แต่ว่าถ้าเป็นปรมาณูก็คงตายเป็นพัน อันนี้ถึงไม่ได้สนับสนุน แม้แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าอยากจะศึกษาปรมาณู ก็ดูควรจะไปสร้างโรงงานที่ไหน เพราะว่าต้องรู้ว่าลมมันพัดทางไหน “เรื่องบางปะกงตอนนั้นก็มีปัญหาว่ามีอันตรายอะไร คือ บางปะกงนั้นไม่ใช่เรื่องปรมาณู แต่เป็นเรื่องจะทำโรงงานไฟฟ้าใช้ถ่านหิน เขาจึงไปทำทางประจวบฯ ก็เอะอะ ๆ อันตราย ไม่ใช่ถ่านหินจะทำให้คนตาย แต่คนจะทำให้คนตาย ที่ทะเลาะกัน ยิงกัน ต้องแก้ไขปัญหานี้ก่อน อย่าแก้ไขทางเทคนิค แก้ไขเทคนิคได้ แต่แก้ไขคน คนก็ฆ่ากัน ที่ประจวบฯ ที่เขาฆ่ากัน ลงท้ายก็การที่จะทำโรงงานปรมาณู รู้สึกยังไม่ควรจะทำ ที่จริงมาเมื่อไม่กี่เดือน พูดถึงจะสร้างโรงงานปรมาณู ตอนนั้นก็บอกว่า ถ้าจะถึงเวลาแล้ว แต่ว่าคนที่มาพูด เขาไม่ได้นึกถึงว่าคนจะฆ่ากัน ก็เลยไม่อยากพูด ที่ท่านทูตถามว่า ถึงเวลาที่จะพิจารณาหรือยัง ที่จริงถึงเวลามานานแล้ว ที่จะทำโรงงานปรมาณู ท่านทูตอาจจะกลุ้มใจว่า ไม่ใช่ปรมาณูหรอก เรื่องคน คนฆ่ากัน แล้วนอกจากนั้นก็เรื่องสิ้นเปลือง “แต่ว่าอย่างจะทำโรงงานปรมาณู ก็จะทำที่ไหน ขนาดที่จะไปทำที่ปลอดภัยที่สุด คือ แถวประจวบฯ ที่เขาบอกว่าเป็นเมืองไทยที่แคบที่สุด ปรมาณูจะไปไหน ถ้าทำที่ประจวบฯ มันแคบมาก มันก็ไปเข้าพม่า ตรงนั้นบอกว่ามันกว้างเพียง 20 กิโลเมตร มันก็ไปพม่า ไม่เช่นนั้นมันก็กลับมาอีกทาง ก็มาข้ามอ่าว ข้ามอ่าว ก็มาทางตะวันออก หรือไม่อย่างนั้นก็มาทางเหนือ ประจวบฯ ทั้งหมดนั้นกว้าง ยาว 100,200 กิโลเมตร พลังงานปรมาณูก็ไป อาจจะลงไปชุมพรก็ได้ ไม่ใช่ไม่มีอันตราย มันมีอันตรายทั้งนั้น “เขาก็บอกว่าเดี๋ยวนี้ พลังงานปรมาณูเป็นพลังงานที่สะอาดมาก ก็จริง สะอาดที่สุด แต่ว่าถ้าอันตรายก็อันตราย ถึงตายทั้งนั้น ฉะนั้น ท่านทูตลองไปถามผู้เชี่ยวชาญ ถามทางผู้เกี่ยวข้องพลังงาน ยังลำบาก แต่การที่จะทำพลังงานที่ไม่อันตราย อย่างไบโอดีเซล หรืออะไรพวกนี้ ก็น่าจะคิดจะทำ แต่ไบโอดีเซลมันน้อย ก็ต้องเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง “เราไม่ได้พูดมาปีหนึ่งแล้ว เกือบปีที่ไม่ได้พูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง มาพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง เพราะว่าสมัยนี้ก็เอะอะอะไรก็พอเพียง พอเพียง พระเจ้าอยู่หัวไม่พูดแล้วเศรษฐกิจพอเพียง อย่ามาถาม เพราะว่าคนก็บอกเศรษฐกิจพอเพียงมันไม่พอเพียง ความจริงมันพอเพียง ถ้าเราพอเพียง แต่คนส่วนมากไม่ยอมพอเพียง ที่มันใช้ไม่ได้เพราะคนเราไม่พอเพียง คนเราอยากจะขยายใหญ่โตมากขึ้นทุกวัน ทุกครั้งจะทำเรื่องพอเพียง มันไม่ได้พอเพียงเลย เอะอะเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พูดไม่พอเพียง ไม่ได้ทำให้พอเพียง ฉะนั้น ถ้าท่านทูตสามารถที่จะให้คนพอเพียงจริง ๆ แล้ว ไม่ต้องปรมาณู คือ รถยนต์อย่าให้วิ่ง 150, 160 เดี๋ยวนี้ 150, 160 เป็นธรรมดา “ความจริงเรื่องความเร็วของรถ เมื่อ 20 ปี เราไปเชียงใหม่ ใช้รถ เราก็บอกกับตำรวจไม่ให้เกิน 110 ความจริง 110 ก็ถือว่าเกินไปแล้ว แต่ว่าเราไม่เคย ไม่เกิน 110 มันประหยัดมาก จากกรุงเทพฯ ไปถึงนครสวรรค์ วิ่ง 100-110 เราใช้รถแลนด์โรเวอร์ ซึ่งเป็นรถที่ไม่ได้ประหยัด เติมน้ำมันทีเดียว ไปเติมน้ำมันที่นครสวรรค์ คนที่เติมน้ำมันให้ งง เติมเดี๋ยวเดียวก็เต็มแล้ว คือ หมายความว่าเขานึกว่าไปนครสวรรค์ น้ำมันหมดถัง คือ ไม่นึก เติมนิดเดียว ถ้าวิ่งช้าก็ไปเติมอีกทีที่ตาก จากนั้นก็ไปถึงเชียงใหม่ “ไปถึงเชียงใหม่น้ำมันยังไม่หมด แต่ว่าน้ำมันเกือบหมด ครั้งสุดท้าย เพราะว่าวิ่งเร็วขึ้น รถมันขึ้นเขา แต่ว่าความจริงถ้าอยากประหยัด ไม่มีปัญหา มีวิธีใช้ พอเพียง พอเพียงก็ใช้ได้ ไม่ต้องใช้รถปรมาณู พลังงานปรมาณู พูดถึงประหยัด พอเพียงนี่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะพอเพียง จะต้องทำจริงจัง ต้องทำจริงจังและก็พอเพียง ทฤษฎีนี้ใช้ได้ “มาแหย่นี่ มาแหย่ให้พูดถึงพอเพียง ท่านทูตนี่ นี่ตั้งใจจะไม่พูดเรื่องพอเพียง หมั่นไส้ตัวเอง ทุกวัน ๆ เปิดวิทยุ เศรษฐกิจพอเพียง อะไรพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว ลงท้ายคนก็ว่า พระเจ้าอยู่หัวพอเพียงเมื่อไหร่ เพราะเราพอเพียง เราไม่ ไม่ทำอะไรฟุ่มเฟือยก็พอเพียงแล้ว ฉะนั้นก็เลิกพูดถึงเรื่องพอเพียงเถอะ แค่นี้ก็พอ แต่ท่านทูตพอเพียงก็ดี ยินดี แต่คนก็จะหมั่นไส้ทูต เพราะว่าเอะอะอะไรก็พอเพียง พอเพียง ความจริงพอเพียง เรารู้ สมควรที่จะพอเพียง ไม่ใช่ฟุ่มเฟือย เรื่องพอเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว มีผู้กราบบังคมทูลว่า ครั้งที่รัฐบาลและประชาชนร่วมกันจัดงานฉลองโอกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความสุข ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษาในปีนี้ มีพระราชประสงค์สิ่งใดที่คนไทยจะร่วมกันทูลเกล้าฯ ถวายได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า “ความสุข คือ พอเพียงนั่นเอง เพราะว่า ถ้าคนเขาพอเพียง คนเขามีความสุข เราก็มีความสุข ถ้าคนที่อยากได้โน่นอยากได้นี่มาก เราเห็นแล้ว มันไม่พอเพียง เราไม่มีความสุข ความสุขของคนแสดงออกมาด้วยความพอเพียงนี่ สำคัญตรงนี้ ให้ทำตัวเองให้พอเพียง แต่ว่าคำว่าพอเพียงนั้น ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรคือพอเพียง บางคนก็พูดดี ไม่ได้หมายความว่าให้รัดเข็มขัด รัดเข็มขัดลำบาก บางคนพุงใหญ่ เริ่มพุงใหญ่ พอเพียงได้ก็ยาก ตอนออกจากโรงพยาบาลครั้งหลัง น้ำหนัก 65 หมอบอกว่าต้องให้ได้ 70 เราบอกไม่เอา ไม่ได้พูดถึงพอเพียงเท่านั้น คือ เขาจะให้พุงใหญ่เหมือนท่าน เหมือนท่านปลัด ท่านทูต (ทรงพระสรวล) “เราชั่งเมื่อเช้านี้ได้ 66.6 ก็หมายความว่า ไม่เปลี่ยนแปลงจากที่ออกโรงพยาบาล พวกแพทย์ พวกหมอ เขาก็เอ็ดตะโร ต้องขึ้นนะ น้ำหนัก ถ้าขึ้น มันไม่พอเพียง หมายความว่ามันมากเกิน แต่ว่าท่านทูต มากเกินไป แต่เวลาถาม ลดลงไป ลดไม่ได้ ก็เลยยอมจำนนว่าท่านลดไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ท่านสามารถทำงานได้ดี ๆ มีพุงก็ภูมิฐานดี (ทรงพระสรวล) “เป็นเรื่องแต่ละคน จะพอเพียงตามสภาพของตัว บางคนก็พอเพียงด้วยพุงขนาดนี้ ตอนนี้ไม่พูดอีกแล้ว ถ้าพูดมันชักจะเสียดสี (ทรงพระสรวล) แต่เป็นห่วง ใครไม่พอเพียง พุงไม่พอเพียง เป็นห่วง เป็นห่วงเพราะว่ามันหนัก ถ้าพอเพียงก็ไม่เป็นไร ก็ดีแล้ว เอาล่ะ ถ้าพอเพียงเท่านี้ก็พอเพียงแล้ว (ทรงพระสรวล) “รัฐมนตรีไม่เดือดร้อน ถามไปมาก ๆ เดี๋ยวท่านหิว (ทรงพระสรวล) อย่างไรก็ตาม คนเราต้องมีความครึกครื้น ถ้าไม่มีความครึกครื้น รู้สึกว่าไม่มีความสุข อะไรที่ทำให้มีความสุข ก็ให้ความครึกครื้น สำคัญถ้าท่านทูตทำได้ มีความครึกครื้น และสามารถจะไปปฏิบัติหน้าที่ที่ดี อันนี้เป็นความต้องการและเป็นความสุขของข้าพเจ้า ยังไงก็ขอบใจที่ท่านทำหน้าที่ของท่านอย่างดี แล้วหวังว่าจะมีโอกาสต่อไปที่จะพบกัน แล้วก็ได้ก้าวหน้าไปอีก เดี๋ยวนี้ยังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ท่านทูตก็คงหมายถึงว่าอนาคตไม่รู้เป็นอย่างไร อันนี้ไม่เป็นไร มีอนาคตดีกว่าไม่มีอนาคต “พูดถึงหลวงปู่แหวน หลวงปู่แหวนท่านบอกว่า อดีตทำเมา  ทำเมา  เหมือนเมา  อนาคตก็ทำเมา  ทำเหมือนเมา ส่วนปัจจุบันท่านบอกธัมโม ก็หมายถึงว่าจะต้องทำอะไรในปัจจุบันให้ดี อนาคต มันก็ธัมโม เอะอะอะไร อนาคตอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้  นี่ทำเมา ที่ผ่านมา อดีตทำเมา ท่านอธิบายแค่นี้ อดีตทำเมา อนาคตทำเมา ปัจจุบันธัมโม ก็เลยนึกว่า ตอนนี้ธัมโม สนุก ไม่ใช่สนุก ครื้นเครงกันดี ก็หมายความว่าดี อนาคตเราก็คิดได้ ถ้าปัจจุบันทำดี สำหรับหลวงปู่แหวนนี่ ได้พบกัน ท่านยอดเยี่ยมจริง ๆ ท่านให้ธรรมะจริง ๆ ก็เลยนึกว่า  เสียดายที่ท่านไม่อยู่แล้ว ไม่มีแล้ว เท่านี้  ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้มีอนาคตที่ดี เราไม่รู้อนาคตเป็นอย่างไรต่อไป แต่ว่าให้ท่านได้ทำงานทำการ เรียบร้อยดี ให้มีความเจริญ ทุก ๆ ถ้วน ทุก ๆ ท่าน จากคุณ : นายข่วย - [ 1 ก.ย. 50 01:34:03 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ถ้าเป็นพวก งุงิ นะเคอะ ในบอร์ด ผมเฉยๆ คิดซะว่ามันเป็นเอกลักษณ์ที่สร้างขึ้นมาในโลกอินเตอร์เน็ตมากกว่า ถ้าเรื่องคำผิด ผมกังวลกับคำคำเดียวเอง "พากย์"ไม่ใช่"พากษ์" ษ กดยากกว่า ย ตั้งเยอะ จากคุณ : แจ็คฟรอสต์ - [ 1 ก.ย. 50 01:34:24 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ผิดแบบตั้งใจ น่าตำหนินะคะ จากคุณ : อาซิ่ม - [ 1 ก.ย. 50 02:41:57 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ความคิดเห็นที่ 28   รู้แต่ว่าไม่ชอบพวกที่ใช้ "นะคะ" เป็น "นะค่ะ" "น่ะคะ" อะไรแบบนี้ แค่ผันเสียงให้ถูกแค่นี้ยังทำไม่ได้เลย แย่อ่ะแบบนี้ จากคุณ : serial_killer แล้วทำไม คำว่า อะ ต้องมีไม้เอก?? --------------------------------------------------------------------- ประเทศไหนๆก็มีภาษาแชตกันทั้งนั้น ดิ้นไปดิ้นมา เป็นสเน่ห์ดีนะ คำหลายๆคำในปัจจุบันมันเพี้ยนมาเยอะแยะ แม้แต่ชื่อ นามสกุลยังไม่ใช่ภาษาเราเองเลย เครียดไปทำไม ยังไงภาษาไทยก็ไม่ตายหรอก ส่วนพิมพ์ผิด เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้อะนะ ใครๆก็ผิดพลาดกันได้ จากคุณ : กรุณาเปลี่ยนชื่อ - [ 1 ก.ย. 50 02:49:30 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คือ....นายข่วย ขอบคุณครับ แต่.... จากคุณ : dans Juillet - [ 1 ก.ย. 50 03:20:46 ]

ความคิดเห็นที่ 47 อ่านแล้วงงๆ นะคะ  มีบางจุดที่อยากถามคุณเจ้าของกระทู้ 1. คุณพูดเหมือนกับว่า ถ้าภาษาไม่มีการพัฒนา ดิ้นไม่ได้ คนจะไม่อยากใช้อย่างนั้นแหละ มันจะมีเหรอคะ  อุ๊ย พิมพ์ไทยไปก็มีแต่คนท้วงว่าผิด พิมพ์ภาษาจีนดีกว่า   หรือรำคาญจัง ใช้คำแบบวัยรุ่นๆ ก็ไม่ได้ พูดอังกฤษดีกว่า 2. คุณบอกว่าถ้าคุณตั้งใจพิมพ์ผิดๆ ถูกๆ เพื่อสื่อความหมาย คุณก็จะทำโดยที่ไม่แคร์ว่าสร้างความรำคาญให้ใครบ้าง   การที่คนอื่นรำคาญการใช้ภาษาไทยผิดๆ กับการที่คุณตั้งกระทู้รำคาญคนเตือนคนใช้ภาษาไทยผิดๆ  มันก็ไม่ต่างกันไม่ใช่เหรอคะ หรือว่าคุณสร้างความรำคาญให้คนอื่นได้ แต่คนอื่นไม่ควรสร้างความรำคาญให้คุณ? เข้าใจค่ะว่าคุณบอกว่า "ถ้า" แต่คุณอาจจะไม่ทำ (หรือทำ) ก็เรื่องของคุณ  แต่ที่แย้งคือความคิดที่ว่าถ้าทำก็ไม่แคร์ใครน่ะค่ะ 3. ประเด็นของคุณคือ การใช้คำไทยให้ถูกต้องมีความจำเป็นมากแค่ไหนในการคุยเล่น (ในเว็บบอร์ด) ควรจะหยวนๆ ใช้ผิดใช้ถูกได้ เพราะภาษาจะได้พัฒนา  ใช่ไหมคะ และอีกประเด็นคือ ไม่อยากให้มีการโพสต์ต่อว่ากัน ควรแนะนำกันดีๆ มากกว่า เห็นด้วยกับประเด็นหลังอย่างยิ่งค่ะ  แต่ขอท้วงประเด็นแรกหน่อย พัฒนาคือทำให้เจริญ (งอกงาม)  ถ้าไม่ท้วงติงการใช้ ปล่อยให้ใช้ผิดไปเรื่อยๆ มันจะเจริญตรงไหนคะ  มันจะงอกกิ่งก้านสาขามาเป็น คำที่มักใช้ผิดอันดับ 1 อันดับ 2 ซะมากกว่า   จริงอยู่ว่าภาษามีการเปลี่ยนแปลง  แต่มันก็มีหลักเกณฑ์  ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการทำพจนานุกรมออกมาเป็นมาตรฐานมั้งคะ ที่น่าห่วงว่าจะไม่พัฒนาคือคนใช้มากกว่าภาษานะคะ  โดยเฉพาะพวกที่คิดว่าไม่เห็นเป็นไร ผิดนิดผิดหน่อย ความเคยชินมันกลายเป็นนิสัยได้นะ  ขนาดคนพูดผิดบ่อยๆ ยังโดนตำหนิมากมาย  แล้วคนที่เขียนผิดล่ะคะ มิหนักกว่าเหรอ คนเตือนเขาอาจจะไม่ได้จับผิดนะคะ แต่มันมีมาให้เห็นบ่อยจนทักขึ้นทีไร คนอื่นก็รู้สึกว่าเป็นการจับผิดไปซะ  แต่เราว่ามีคนเตือนดีกว่าไม่มีนะคะ จากคุณ : เผื่อใจ - [ 1 ก.ย. 50 05:14:18 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ภาษาแชทหรือภาษาพิมพ์ในอินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่ก็จะเป็นภาษาพูดนะครับ เหมือนคห.5 ว่า ถ้าจะให้ถูกมันต้อง อย่างไหน หรือไม่ ฯลฯ แต่จริง ๆ แล้วมันมีข้อเสียของการใช้ภาษาแบบนี้ในการพิมพ์ข้อความเหมือนกัน เด็กยุคใหม่จำนวนไม่น้อยเลยครับ ที่เขียนภาษาไทยไม่เป็น บางคนยังเขียน นิเทศฯ เป็น นิเทศน์ เลย แล้วเดี๋ยวนี้ก็แชท ก็อ่านตอบกระทู้กันตั้งแต่ยังอายุไม่เท่าไหร่(เท่าไร) เลยพานทำให้ความสามารถในการสะกดคำอย่างถูกต้องสูญเสียไปซะงั้น(เสียอย่างนั้น) พูดถึงภาษาที่เปลี่ยนไปก็ขำนะครับ อย่างเมื่อก่อน คนชื่อ"ประเทือง" หรือว่าชื่อเล่นว่า "ตุ๋ย" นี่ก็อยู่ของเขามาปกติ ๆ แต่พอมีเพลงมีข่าวขึ้นมา ความซวยก็มาเยือนเสียอย่างนั้น ^^ จากคุณ : กมลภัทร - [ 1 ก.ย. 50 09:12:54 ]

ความคิดเห็นที่ 49 อ่านเพลิน ๆ ได้รู้จักคนเยอะดีครับ จากคุณ : Dr.boyze - [ 1 ก.ย. 50 09:53:00 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ขอแยกความคิดเห็นออกมาหน่อยนะค่ะ จากคุณ : niratchaya - [ 1 ก.ย. 50 10:49:15 ]

ความคิดเห็นที่ 51 จะให้พูดยังดีล่ะ เพราะจริง ๆ แล้วก็ต้องยอมรับละว่าคนสมัยนี้เขียนหนังสือผิดเยอะมาก ทั้งที่จงใจและไม่จงใจ ถ้าเป็นส่วนตัวก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าเป็นสาธารณะแล้วจงใจที่จะเขียนผิดมันยังไง ๆ อยู่นะคะ ไม่ต้องไปพูดถึงว่าภาษาพูดหรือภาเขียนหรอก อย่างคำว่า สังเกตุ อนุญาติ เนี่ย เห็นบ่อยมาก จนหลายคนไม่รุ้ด้วยซ้ำว่าเขียนผิดอยู่ ภาษาไทยเป็นแต่ละคำมีความหมายในตัวมันเองค่ะ ออกเสียงเหมือนกันแต่ความหมายต่างกัน อย่าง รัก กับ รักษ์ เนี่ย ออกเสียงเหมือนกันแต่ความหมายก็ต่างกัน แต่เขียนคำว่า รักษ์ คุณก็รู้แล้วว่าคนเขียนหมายถึงต้องการให้สื่อว่า รักษา โดยส่วนตัวแล้วคิดว่านี่แหล่ะความสวยงามของภาษาไทย ก็อยากจะให้เขียนกันให้ถูก ๆ ไม่ถึงกับต้องว่าพิมพ์เป็นภาษาเขียนยาวเยียด แต่สะกดคำให้ถูกตามความหมายของมันก็พอแล้วล่ะคะ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 50 11:48:39 จากคุณ : riamus (riamus) - [ 1 ก.ย. 50 11:46:52 ]

ความคิดเห็นที่ 52 #28 เอ อันนี้เพิ่งทราบค่ะ ว่าที่ถูกคือ "นะคะ" คำเดียว... เพราะที่ผ่านมาก็ใช้หมดเลยทั้ง นะคะ น่ะค่ะ นะค่ะ... เพราะเวลาพิมพ์จะพิมพ์แล้วนึกถึงเวลาที่ตัวเองพูด หางเสียงจะลงต่ำขึ้นสูงเน้นตรงไหน ตกลงแล้วจริง ๆ ที่ถูกคือ นะคะ แค่คำเดียวหรือคะ? จากคุณ : riamus (riamus) - [ 1 ก.ย. 50 11:57:37 ]

ความคิดเห็นที่ 53 นะคะ กับ น่ะค่ะ น่าจะใช้ได้ทั้งสองอย่างนะครับ น่ะค่ะ นี่อาจจะเป็นเชิงตอบเช่น "ไปตลาดมาน่ะค่ะ" ส่วนนะคะ ส่วนใหญ่เห็นในทางเชิญชวนเช่น "ไปตลาดกันนะคะ" คนละความหมายนะครับ ส่วน นะค่ะ ไม่เคยได้ยินใครพูดครับ แต่คห. 28 เขาพูดถึง "นะค่ะ" "น่ะคะ" ซึ่งไม่เคยได้ยินคนไทยพูดแบบนี้เหมือนกัน แต่อันหลังอาจจะมีบ้าง คนญี่ปุ่นไงครับที่พยายามพูดคำว่า "นะคะ" แต่เพี้ยนเป็น "น่ะคะ" แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 50 12:10:44 จากคุณ : กมลภัทร (กมลภัทร) - [ 1 ก.ย. 50 12:08:04 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เห็นด้วยกับ ความเห็น 26 ค่ะ ความคิดเห็นที่ 26   ถ้าย่อคำ ย่อเสียง หรือยืดคำ ตัวอย่างเช่น อะนะ , ปายหนาย , หุหุ , อิอิ อะไรทำนองนี้ ผมก็รับได้นะ เหมือนเป็นการแสดงหรือสื่อถึงอารมณ์ผู้พูด(พิมพ์) ขณะนั้น แต่คำที่พ้องเสียง แล้วตั้งใจเขียนให้มันผิดๆ เช่น ทัมมัย อรัยย์  หัวจัย หั้ย แบบเนี่ย  เห็นแล้วจี๊ดครับ ไม่ได้ช่วยให้พิมพ์เร็วขึ้นเลย และทำให้คำนั้นดูน่าเกลียดกว่าเดิมด้วย จากคุณ : SamuDi Knight  - [ 31 ส.ค. 50 18:56:07 ] มีบางกระทู้ โพสชื่อ ภูเก็ต ว่า เกาะพิวแคท คิดแทบตายว่าเกาะอะไรของเค้า อ๋อ เขาพยายามจะออกเสียงเป็นฝรั่ง เขียนคำว่า ประเทศอังกฤษ เป็น ปะเทดอังกิด นี่ก็ไม่เข้าใจว่ามันเท่ตรงไหน นอกจากบางที เขียนแบบเชิงเล่นๆล้อเลียนอย่าง "พูดภาษาปะกิดซะด้วย" ก็เข้าใจว่าเป็นเหมือนพูดกันสนุกๆ ไม่เป็นไร ส่วนคำอื่นๆพวกใช่มะ, คริ คริ , จริงดิ ฯลฯ ก็เข้าใจว่าเป็นศัพท์รุ่นใหม่ ซึ่งบางทีก็ดูน่ารักดีเหมือนกัน จากคุณ : parachute - [ 1 ก.ย. 50 12:24:37 ]

ความคิดเห็นที่ 55 #26 คิดแบบผมเลย จากคุณ : GTO_ED - [ 1 ก.ย. 50 12:41:50 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เห็นด้วยกับ 26 เหมือนกัน - - จากคุณ : tonpook - [ 1 ก.ย. 50 17:53:34 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ถ้าใช้ในการแชทก็ไม่รู้สึกอะไรค่ะ แต่เดี๋ยวนี้มันลามไปถึงไหนต่ไหนกันแล้ว เราก็เป็นนะ พอแชทมากๆมาเขียนให้ถูกนี่เขียนไม่เป็นเลย ตอนนี้เลยฝึกพิมพ์ให้ถูกแล้ว กลัวแย่ไปกว่านี้ จากคุณ : lipZ - [ 1 ก.ย. 50 17:56:34 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เห็นด้วยกับ 27 ครับ จากคุณ : nakaraj - [ 1 ก.ย. 50 18:00:04 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เรื่องคำว่า "นะคะ" พอดีเราไปเจอมาจากบล็อก ของคุณ ไอ้แอนนนนน.com ยังไงก็ขออนุญาตคุณแอนนนนน เอามาลงให้สมาชิกท่านอื่นได้อ่านกันนะคะ http://iannnnn.com/2007/407 "มีสิบสองคำผิดฮิตสุดสุด โปรดจงหยุดเถอะนะจะได้ไหม" เราว่าน่าจะช่วยให้เข้าใจได้มากขึ้น ตัดรูปมาแต่เฉพาะอันดับที่ 2 อีก 11อันดับ ลองคลิกตามไปอ่านดูนะคะ จากคุณ : บุ้งเฉยๆก็ได้ - [ 1 ก.ย. 50 19:02:05 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ผมจะตอบแบบนี้แต่มันไม่ไป ใครพบคำผิดบอกผมทีหาไม่เจอ ผมจะบอกว่า จากคุณ : Carroth - [ 1 ก.ย. 50 20:07:07 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ถ้าตั้งใจพิมพ์ ให้เพี้ยน โดยไม่ได้สื่ออารมณ์จากการสนนทนา ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน เช่น  ให้ = หั้ย, ใจ = จัย , ทำไม = ทำมัย, เศร้า = เส้า เวลาคุยเอ็มกับใครแล้วพิมพ์แบบนี้มา ผมจี๊ดเลย แต่ถ้าแบบ พิมพ์ผิด จากความไม่ตั้งใจ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าพิมพ์ผิด หรือ สะกดผิด ในลักษณะที่ เค้าไม่รู้ว่าคำนี้สะกดยังไง การเตือน ก็ควรเตือนดี ๆ เพราะเท่าที่เห็นมา ส่วนใหญ่คนที่มาเตือน จะชอบมาเตือนแบบ จิก ๆ กัด ๆ ก็ไม่เข้าใจว่าจะทำไปทำไม จากคุณ : zaxofone - [ 1 ก.ย. 50 21:27:36 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ดันเป็นวัยรุ่นชอบใช้ภาษาเพี้ยน ไม่รู้ว่าใครจะคิดเหมือนกันบ้างหรือเปล่า แต่จากที่ถามเพื่อนในห้อง ส่วนมากก็คิดอย่างนี้นะ อยากจะสื่อไปถึงผู้ใหญ่บ้างเหมือนกันแหล่ะว่าวัยรุ่นอย่างพวกเรา (อย่างน้อยก็พวกนู๋ๆเพื่อนๆที่อยู่ห้องเดียวกัน) ก็คิดแบบนี้ บางทีเราก็อยากมีอะไรที่เป็นตัวของตัวเอง ตอนทุกๆท่านเป็นเด็ก เชื่อว่าก็คงมีบ้างที่คิดแบบพวกเราๆๆ ก็แค่อยากเป็นตัวของตัวเองอ่ะ อยากทามอารายก็ทามไป บางทีมันก็เป็นแค่เพียงอารมณ์ ติส ที่อยากจะทำอะไรแปลกๆ แหวกแนว ไม่งั้นแล้วเค้าจะมีคำว่า เด็กแนวไว้ทามมายกานล่ะ ที่พวกนู๋ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ใช้ภาษาที่เพี้ยนไปจากพจนานุกรม ไม่ได้หมายความว่า พวกนู๋จะ เป็นคนไม่ดีไปซะหมดหรอกนะ ก็แค่นี้แหล่ะที่อยากจะบอก ปล. นี่เป็นเพียงเสียงส่วนน้อย เท่านั้นนะจ๊ะ ปล.ครั้งสุดท้าย อย่าไปซีเรียสกับเรื่องภาษานักเลยค่ะ สำหรับพวกนู๋นักเลยค่ะ เดี๋ยวนู๋ก็คิดเองได้อ่ะ พอโตขึ้น นะคะ จากคุณ : ยอยศทศกัณฐ์ (palmpada) - [ 1 ก.ย. 50 22:31:27 ]

ความคิดเห็นที่ 64 คุณๆครับ เอาเข้าจริงๆแล้วเนี่ย เวบบอร์ดมันเป็นสื่อสาธารณะก็จริงนะครับ แต่โดยธรรมชาติของสื่อ มันคือ interactive media ลักษณะ one to one ถามว่าทำไม เพราะว่า ทุกคนสามารถมีสิทธิ์สื่อสารกันได้อย่างอิสระบนพื้นฐานความคิดของตัวเอง ต่อผู้อื่น ในขณะที่มีการตอบโต้จากผู้อื่นได้เช่นกัน ถ้านี่คือธรรมชาติของสื่อ นั่นหมายความว่า คุณจะไปฝืนใครหรือบังคับใครให้ทำอย่างใจเรา มันก็คงเป็นไปได้ยาก หลายท่านที่มองโลกในด้านดี ก็แบบว่าเราอยากจะดีให้ที่สุด เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างเด็กๆจะไม่ได้ทำตาม จริงๆแล้วผมก็เห็นด้วยนะ เพราะอย่างน้อยเราก็ทำดีไม่เด็ดร้อนใคร แต่สำหรับท่านที่สุดโต่งเกินไป (ต่อว่ากันซะมันปาก) มันก็สร้างความรำคาญให้กับคนอื่นๆ ตามมา เป็นมลภาวะทางสายตาเปล่าๆ เพราะสิ่งที่หลายๆท่านกำลังทำ มันไม่ได้เข้าไปตอกกระแทกเข้าไปในหัวใครเลย เพียงเพราะเจตนาดี แต่วิธีการมันแย่ เพราะถ้าบางคนเค้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่ภาษาเค้า ไม่ใช่เรื่องของเค้า ก็แค่นั้นจริงๆ ตอบคุณ เผื่อใจ 1 ภาษาถ้าไม่มีคนใช้ มันดิ้นไม่ได้ มันจะไม่พัฒนาครับ แต่เผอิญว่าคนไทยเกิดมาอยู่กินกะภาษาไทย พอใช้ภาษาหลักไม่ตอบความต้องการการสื่อสาร เค้าก็บัญญัติสิ่งใหม่ขึ้นมาแทน นั่นก็คือ ภาษาที่บอกว่าวิบัติกันไง สำหรับบางคน(เพื่อนผม) เป็นคนเกิดมาสองภาษา ใช้ได้เหมือนๆกัน แต่มันม่ายกล้าพูดภาษาไทย เพราะโดนดูถูก คงเป็นเรื่องเดียวกันกับที่คนไทยเรียนภาษาอังกฤษมาเกือบสิบปี แต่ไม่มีใครเก่งอังกฤษในเรื่องการพูดเพราะโดนล้อ พอจะพูดให้มันถูก โดนประนามว่ากระแดะบ้าง ดัดจริตบ้าง เป็นไงล่ะ ภาษาอังกฤษตายไปจากคนไทยไปเลย เหอๆ 2. คุณบอกว่าถ้าคุณตั้งใจพิมพ์ผิดๆ ถูกๆ เพื่อสื่อความหมาย คุณก็จะทำโดยที่ไม่แคร์ว่าสร้างความรำคาญให้ใครบ้าง   การที่คนอื่นรำคาญการใช้ภาษาไทยผิดๆ กับการที่คุณตั้งกระทู้รำคาญคนเตือนคนใช้ภาษาไทยผิดๆ  มันก็ไม่ต่างกันไม่ใช่เหรอคะ หรือว่าคุณสร้างความรำคาญให้คนอื่นได้ แต่คนอื่นไม่ควรสร้างความรำคาญให้คุณ? เข้าใจค่ะว่าคุณบอกว่า "ถ้า" แต่คุณอาจจะไม่ทำ (หรือทำ) ก็เรื่องของคุณ  แต่ที่แย้งคือความคิดที่ว่าถ้าทำก็ไม่แคร์ใครน่ะค่ะ ประเด็นผมไม่ได้ต้องการจะมาสร้างความรำคาญให้ใคร ผมแค่ระบายความอึดอัดที่เจอกับตัวเอง เพราะผมเป็นคนที่ผ่านไปมา ก็สังเกตเห็นว่ามีคนพยายามจะโพสต่อว่า คนพิมพ์ผิดตลอด อาจเป็นเพราะความรำคาญส่วนตัว อันที่จริง ผมก็แอบรำคาญคนพิมพ์ผิดบ้าง แต่ก็ไม่ยี่หระอะไร แต่ที่รำคาญมากกว่า ก็คือคนอย่างคุณๆ ที่ไม่พยายามจะเข้าใจอะไร เอาแต่แรงมาก็แรงไป ตาต่อตาฟันต่อฟันถ้าเดียว อย่างงี้ไงครับ ปัญหามันถึงไม่ยอมจบ วนกันเป็นงูกินหาง จนทำให้ผมรำคาญมาโพสให้เพลาๆลงบ้าง... นี่ผมกำลังเตือนสตินะครับ ไม่ได้อยากเข้ามาจะตะลุมบอน 3. ประเด็นของคุณคือ การใช้คำไทยให้ถูกต้องมีความจำเป็นมากแค่ไหนในการคุยเล่น (ในเว็บบอร์ด) ควรจะหยวนๆ ใช้ผิดใช้ถูกได้ เพราะภาษาจะได้พัฒนา  ใช่ไหมคะ ถ้าวันนึงมันจะพัฒนามาทางนี้ แล้วมีคนใช้มันเป็นจนเรื่องปกติ ผมก็ไม่ว่าอะไร อย่างน้อยมันก็ไม่ต้องทำให้ผมเป็นไบ้ ทำมือทำไม้ให้เหนื่อยหรอกครับ  อีกอย่าง คำแต่ละคำใหม่ๆ ในเน็ต หรือที่แชทกัน ผมว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกครับที่จะมาอยู่ในหนังสือราชการ เพราะคนไทยไม่ค่อยมีพวกหัวก้าวหน้ามากพอที่จะขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงไปได้หรอกครับ หลักๆ ผมกำลังพูดถึงการพัฒนาคนใช้ภาษามากกว่าครับ แล้วภาษาที่คนที่เคยผิดแล้วพัฒนาแล้ว ก็จะพัฒนาไปตามคน พัฒนาคือทำให้เจริญ (งอกงาม)  ถ้าไม่ท้วงติงการใช้ ปล่อยให้ใช้ผิดไปเรื่อยๆ มันจะเจริญตรงไหนคะ  มันจะงอกกิ่งก้านสาขามาเป็น คำที่มักใช้ผิดอันดับ 1 อันดับ 2 ซะมากกว่า   อันนี้ยกตัวอย่างนะครับ เมื่อก่อนคำว่า ประวัติศาสตร์ เค้าอ่านกันว่า ประ หวัด สาด เพราะเป็นคำสมาสระหว่างคำว่า ประวัติ กับ ศาสตร์ แต่หลังๆคนอ่านว่า ประ หวัด ติ สาด กันมากขึ้น ราชบัญฑิต ก็อนุโลมให้ว่าโอเคๆ อ่านได้ตามความนิยมก็ได้ อีกอัน ละมุนภัณฑ์ กระด้างภัณฑ์ คณิตกร ราชบัณฑิตเค้าบัญญัติไว้นี่หน่า ทำไมคนยังใช้ คอมพิวเตอร์ ซอฟแวร์ ฮาร์ดแวร์ ทับศัพท์กันอยู่ได้ ถ้ามันไม่ใช่เพราะ คนใช้ภาษา เค้าเลือกที่จะใช้แบบนั้น ผมกำลังชี้ให้เห็นว่า ถ้าเกิดมีคนเอาจริงเรื่องการทำให้ภาษาวิบัติ การใช้ภาษาต่างประเทศ คงไม่ต้องทำมาหากินอะไรกันแล้วครับ จำไม่ได้แล้วครับ คำว่า ปัจจุบัน เมื่อก่อนก็ไม่ใช่คำนี้นะ รู้สึกว่าจะอ่านยากๆ ไม่เข้าปากด้วย  หรือคำว่า เป็น เมื่อก่อนก็ไม่มีไม้ไต่คู้......เปน แล้วมันจะเป็นอะไรครับ ถ้าต่อไป คำว่า อะไร จะเหลือเป็น ไร รัย อะรัย อาราย รายเหยอ เช่นกัน คำว่า ใจ กับ จัย มันก็คงไม่ต่างกันตรงไหน ถ้าวันหนึ่งคนรุ่นใหม่ ใช้และแปลความหมาย จัย คือ ใจ ตรงกันที่ความหมาย ต่างกันที่หน้าตา แต่ดันผิดที่ไม่ได้ใช้ตามคนรุ่นเก่าๆ หรือเราต้องมานั่งจำกัดความกันอีกมั้ยครับว่า ภาษาวิบัติ ในที่นี้คืออะไร การพัฒนาทางภาษา คืออะไร ใครกำหนดกฎเกณฑ์ทางภาษา แล้วหลักเกณฑ์ที่ว่ามันคืออะไร ใช้ได้จริงหรือ จริงอยู่ว่าภาษามีการเปลี่ยนแปลง  แต่มันก็มีหลักเกณฑ์  ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการทำพจนานุกรมออกมาเป็นมาตรฐานมั้งคะ ก่อนมีพจนานุกรม เค้าใช้มาก่อนโดยไม่มีการจดจารึก รวบรวมให้ถูกหลักครับ พจนานุกรมมาทีหลัง เป็นการรวบรวมสิ่งที่ใช้สิ่งที่ทำกันอยู่แล้ว ให้เป็นหมวดหมู่มาตรฐานเดียวกัน แต่เท่าที่จำได้ เค้าประมวลไว้ตั้งแต่ ปี 2525 ไม่ใช่หรือครับ สมัยนั้นยังไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีโทรศัพท์มือถือกันทุกคน หรือจะมีเพจเจอร์ มีการส่งแมสเซสจีบกัน มีมากสุดก็โทรศัพท์บ้าน ในขณะที่ปีนี้ 2550 เรามาคุยกันเรื่องนี้โดยที่ไม่รู้จักเห็นหน้าข้าตากันซะด้วยซ้ำ ทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ จากคุณ : kitachi - [ 1 ก.ย. 50 22:47:51 ]

ความคิดเห็นที่ 65 อึดอัดเป็นคนเดียวหรือ คนอื่น ๆ อึดอัดไม่เป็นหรือไง เคยคิดไหมว่าคนที่อ่านกระทู้ที่ใช้ภาษาวิบัติ เขาก็อึดอัดเหมือนกัน เคยคิดไหมว่าคนที่เขียนบอกว่าพิมพ์ผิดเขาไม่ได้จ้องจับผิด แต่อ่านแล้วมันอึดอัด ชอบใช้ภาษาวิบัติ ภูมิใจกับการพิมพิ์ผิด ๆ เขียนผิด ๆ ก็ใช้กันไป ผมเบื่อแล้วครับ อยากจะใช้อะไรก็ใช้ไปเถอะ ไม่เตือนแล้ว เตือนแล้วก็ถูกหาว่าเรื่องมาก จ้องจับผิด จากคุณ : nakaraj - [ 1 ก.ย. 50 23:32:09 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เราก็เป็นคนนึงที่ไม่ชอบภาษาวิบัติอ่ะ แต่อะไรที่เป็นภาษาพูด เราก็ไม่ชอบพิมพ์ให้เป็นภาษาเขียนเหมือนกัน มันอ่านแล้วแบบว่า ไม่ได้อารมณ์ที่ต้องการสื่ออ่ะ [เช่น ด้านบน : นึง(ควรจะพิมพ์หนึ่ง) อ่ะ(อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน)       คำอื่นที่เราชอบใช้ : ง่ะ, อิอิ, อ่านะ, คริคริ, ชิมิ(อันนี้วิบัติมั๊ยอ่ะ), มั๊ย] แต่บางอย่าง โดยเฉพาะพวกพ้องเสียงนี่ ไม่ชอบเลย ไอ้พวก "อาราย ทามมาย ครัย จรัย เทอหน้ารักจัง" ปวดหัวมากๆ ส่วนคนพิมพ์ผิด เราก็ดูเจตนามากกว่า บางทีเรารู้สึกว่าเค้าไม่ได้ตั้งใจ ก็ปล่อยไปเหมือนกัน (แต่มีจริงๆ พวกที่จ้องจับผิด แล้วเหยียบจนจมดินน่ะ) จากคุณ : MinIEs - [ 2 ก.ย. 50 04:29:13 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ถึงค.ห.ที่ 63 ผมสงสารพ่อแม่ครูบาอาจารย์โดยเฉพาะครูสอนภาษาไทยของคุณมากครับที่ไม่สามารถปลูกจิตสำนึกอันดีงามและความหวงแหนมรดกของไทยให้ลูกหลานของพวกเขาได้ จากคุณ : คิดอารายออกปาย - [ 9 ก.ย. 50 04:08:01 ]

ความคิดเห็นที่ 68 คำสแลงเป็นคำที่เพิ่มสีสัน ควมมมีชีวิตชีวา และพลังแห่งความหมายของคำ เป็นปรากฏการณ์ทางภาษาที่น่าสนใจ แต่คำสแลงไม่ได้รับยกย่องให้เป็นภาษาระดับมาตรฐาน เพราะคำสแลงเป็นคำที่ใช้เข้าใจกันเฉพาะกล่มหรือชั่วระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นก็ไม่เห็นว่าต้องห่วงอะไรเพราะคำสแลงก็มีวงจรของมันมีเกิดขึ้นมาใช้ชัวระยะเวลาหนึ่งแล้วก็เลิกนิยมใช้ เป็นอย่างนี้ตลอด ลองนึกดูสิเพื่อนถ้าเราอ่านนวนิยายหรือการ์ตูนเล่มหนึ่ง ใช้ภาษาถูกต้องตามหลักภาษาไทยไม่ใช้ภาษาพูดเลย(รวมไปถึงคำสแลง)มันจะสนุกรึเปล่า และเมื่อเราไปกรอกใบสมัครงานหรือทำข้อสอบส่งอาจารย์(ไม่ใช่เฉพาะวิชาภาษาไทย)เราเขียนเป็นคำสแลง อาจารย์หรือคนอ่านใบสมัครของเราหรือข้อสอบของเราเขาจะนึกยังไง เอาเป็นว่าคำสแลงนะมันใช้ไม่ได้กับทุกคนในทุกสถานการณ์ ผู้ใช้ภาษาย่อมรู้ดีเองว่าควรเลือกใช้ภาษาหรือคำสแลงในโอกาสใดให้ถูกกับกาลเทศะ พิมพ์มาไม่รู่ถูกรึเปล่า เอาเป็นว่าใครอยากใช้ก็ใช้ไปแต่ใช้ให้ถูกกับโอกาสด้วยละกัน จากคุณ : น้ำ - [ 15 ก.ย. 50 11:30:41 A:192.168.0.16 X:58.8.154.40 ]