CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; "The Kingdom" ... เกิดขึ้นจากสอง เริ่มต้นด้วยหนึ่ง ลงท้ายด้วยสูญ

      เกรด A -> 9-10 คะแนน (13 คน)
      เกรด B -> 6-8 คะแนน (6 คน)
      เกรด C -> 3-5 คะแนน (0 คน)
      เกรด D -> 1-2 คะแนน (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 19 คน

     68.42%
     31.58%
     0.00%
     0.00%


    "The Kingdom" ... เกิดขึ้นจากความขัดแย้งของสองประเทศ ที่ต่างก็มีความเป็นพันธมิตร ที่แอบแฝงร่างร้ายของศัตรู จ้องทำลายแก่กันและกันอย่างเงียบๆ

    "The Kingdom" ... เริ่มต้นด้วยความคิดหนึ่ง ที่ต่างฝ่ายต่างก็มีอยู่เหมือนๆกัน ก็คือ การทำลายแก่กันและกัน โดยไม่สนถึงความถูกหรือผิด

    "The Kingdom" ... ลงท้ายด้วยความสูญเสีย ที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องแลกกันมา เพียงเพื่อจะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ในการใดที่จะจบมันลงด้วยความคิดที่ไม่มีใครถูก และไม่มีใครผิด

    เกิดขึ้นจากสอง เริ่มต้นด้วยหนึ่ง ลงท้ายด้วยสูญ ...คือ เรื่องราวของหนังที่มีชื่อเรื่องว่า "The Kingdom" ที่นำเอาประเด็นทางการเมืองระหว่างสองมหาอำนาจโลกที่ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเป็นกองกำลังและสรรพาวุธพร้อมรบ อีกฝ่ายตรงข้ามก็มีแหล่งทำเงินทำทองที่เรียกว่า น้ำมัน คอยหนุนนำอำนาจความเจริญจากอีกประเทศให้เข้ามาเกื้อกูลซึ่งผลประโยชน์แก่กันและกัน

    หนังใช้เวลาประมาณ 4 นาทีแรกของ Open Title ในการจัดการเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์อันแสนยาวยืด ระหว่างประเทศทั้งสอง ที่มีปูมหลังฝังใจกันมาแต่เป็นร้อยปี ...ซึ่งมูลเหตุต่างๆที่ล้วนมีต้นสายและกลายเป็นปลายที่ไม่มีสิ้นสุดนี้ มันก็เกิดมาจากการที่ ...'สหรัฐอเมริกัน' มีความพยายามแสวงหาซึ่งผลประโยชน์จากทรัพยากรนอกประเทศ หวังจะกอบโกยอำนาจความรุ่งเรืองของตนโดยพึ่งใบบุญของประเทศแถบตะวันออกกลางที่ล้วนมีความอุดมสมบูรณ์ซึ่งแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงใต้บาดาล และหนึ่งในประเทศนั้น ก็ยังรวม 'ซาอุดิอาระเบีย' เอาไว้ ทั้งยังมีการจัดตำแหน่งวางให้เป็นอันดับต้นๆ ของพันธมิตรที่มีความแน่นแฟ้นทางเศรษฐกิจ ไม่ต่างไปจากแถบยุโรปเลย

    แต่ในเปลือกหน้าของความปรองดองที่ผู้นำประเทศทั้งสองมีให้แก่กัน ส่วนของเนื้อในขณะเดียวกันนั้นก็ยังคงแฝงไว้ซึ่งพิษภัยในแง่ของความแตกต่าง

    แม้โดยในช่วงเวลา 4 นาทีแรกของตัวหนังนั้น จะได้มีการกล่าวพาดพิงไปถึง โอซามา บิน ลาเดน ศัตรูหมายเลข 1 ของ จอร์จ ดับเบิลยู บุซ ด้วย ...หากแต่ในส่วนของเนื้อเรื่องแล้ว การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นกับไม่ใช่ฝีมือของยอดผู้ร้ายตัวเอ้นายนี้แต่อย่างใด

    ตัวเรื่องราวจริงๆของ The Kingdom กลับมีการทำให้แตกไปจากส่วนเกริ่นนำ (หากก็ไม่ได้แยกออกจากประเด็นที่เริ่มต้นซะทีเดียว)... หนังเลือกจะสร้างผู้ร้ายคนใหม่ที่บนโลกใบนี้ไม่ได้มีตัวตนจริงๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงใส่แบ็คกราวด์ให้การกระทำทุกอย่างอ้างอิงไปถึงเหตุการณ์ที่มีเค้าโครงความจริงที่โลกนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

    อาจเป็นเนื่องด้วยเหตุและผลที่หนังฮอลลีวู้ดแทบทุกเรื่องนั้น มักชอบโยนความผิดไปให้ชาวประเทศอื่น ต้องรับผิดชอบกันเต็มๆ ...จึงไม่ถือเป็นเรื่องแปลกที่มุมมองคนนอกอย่างเราๆ จะรู้สึกกันไปเองว่า หนังเรื่องนี้ ก็คือ อีกหนึ่งการโปร-อเมริกา ที่ชาวฮอลลีวู้ดชื่นใจจะนำเสนอ

    แล้วอย่างตัวผมเองก็เช่นกัน ถ้าตัดสินใจตัวหนังเพียงแค่ใช้เวลา 10 กว่านาทีแรกในการดู ...ก็คงไม่พ้นที่จะอคติกับการอวดอ้างความเป็นมหาอำนาจ ที่กร่างไปได้ทุกที่ พยายามทำเก่งกันไปทุกหน

    เพียงแต่มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นไปซะทีเดียว (โดยก็ยังพอยอมรับในเรื่องความชอบทำตัวเป็นฮีโร่ของชาวมะกันได้ เพราะเราก็เคยเห็นในหนังแอ๊คชั่นอื่นๆมานักต่อนักแล้ว) ...เพราะในนาทีที่นักการเมืองชาวมะกันรู้ว่า FBI ต้องการจะทำอะไรในซาอุฯ หลังจากนั้นหนังก็เดินหน้าลุยกัดจิกโดยไม่สนอุดมคติความรักชาติที่ท่านผู้นำคนปัจจุบันพยายามเป่าหูใส่ให้ใครทุกคนต้องเคลิบเคลิ้ม (ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่เคลิ้ม ก็คงไม่มีทางอยู่ยั่งยืนมาเป็นสมัยที่สองได้ซะหรอก)

    หลังจากกำกับหนังแอ๊คชั่นแบบสำเร็จรูป ที่เน้นขายความแมนของ เดอะ ร็อค ใน "The Rundown" สู่ผันตัวไปทำดรามา ในแวดวงอเมริกันฟุตบอล กับ "Friday Night Lights" ..."ปีเตอร์ เบิร์ก" ก็ก้าวมาทำเรื่องราวเชิงซีเรียส ที่แอบแฝงความบันเทิง โดยยังหวังจะใช้เครดิตโปรดิวเซอร์ของ "ไมเคิล มานน์" มาช่วยหนุนหลังให้กลายเป็นหนังหนักแน่นที่ใช้สไตล์ของภาพขับเคลื่อนนำ

    ผกก.เบิร์ก ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ หมดไปกับการพยายามเปิดทางให้กลุ่มก้อนดารานำกระทำการส่งตัวเองเข้าไปยังสมรภูมิสุดอันตรายในแดนตะวันออกกลาง สู่การสืบสวนหาต้นตอของชนวนเหตุที่ได้จัดฉากเอาไว้อย่างซ้ำซ้อน ก่อนจะจบลงด้วย 20 นาทีสุดท้าย กับช่วงเวลาที่หนังขายความเป็นแอ๊คชั่นอย่างเต็มตัว ด้วยสถานการณ์การช่วยเหลือตัวประกันที่มีคนหนึ่งในก๊วน FBI โดนจับไปทำคลิปวิดีโอฆ่าปาดคอ แบบอย่างที่เราเคยเห็นกันมาจนชินตา

    The Kingdom สามารถรักษาสมดุลความพอดีระหว่างส่วนของความเป็นหนังทริลเลอร์ สืบสวน ที่มากกว่า กับฉากแอ๊คชั่นที่ขึงขัง ตึงตัง ตื่นเต้น อันน้อยนิดแต่ให้ความมันส์ได้มากมาย ...ขณะที่สมดุลแห่งการโอนเอียง ก็ไม่เฉไฉยึดเอาอเมริกาเป็นใหญ่ ทั้งก็ยังไม่ได้ยัดเยียดให้ซาอุฯต้องเป็นผู้ร้ายตัวจริง ...เพราะขณะที่กลุ่มหนึ่งทำตัวเป็นปรปักษ์ เพื่อสร้างเรื่องให้อเมริกาต้องตามมาเช็ด อีกกลุ่มก็มีหน้าที่ติดตามความเป็นไปทุกย่างก้าวของคนนอก และล้างความผิดมวลรวมที่ทำให้ภาพของตะวันออกกลางต้องแปดเปื้อนไปด้วยอคติในสายตาคนอื่น

    สองนายตำรวจตัวแทนซาอุฯ ให้การแสดงของคนในที่มีชีวิตจิตใจเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาที่มีความเจ็บปวด และรู้จักที่จะใช้เพื่อการสร้างประโยชน์มากกว่าโทษมหันต์อย่างคนในอีกกลุ่มที่ตั้งตัวตรงกันข้าม ..."แอซรัฟ บารอม" กับ "อาลี ซุไรมาน" อาจจะมีบทบาทต่อหนังน้อยกว่าตัวละครมะกัน แต่บทก็ใส่แง่มุมของสองตัวละครนี้มาได้กำลังดี พอบวกกับการแสดงอย่างมีมิติแล้ว ก็ยิ่งทำให้เรามีความเห็นใจในชะตากรรมที่เขาต้องเจอ (โดยเฉพาะกับคนแรก ที่ทำเอาผมน้ำตาซึม กับฉากลูกๆของเขาในตอนจบ)

    ขณะที่ กลุ่มตัวละคร FBI อาจจะสืบสู้อะไรให้ดูเก่งเว่อร์เกินไป(ไม่)หน่อยเหอะ ...แต่คุณภาพของคนแสดง ก็ทำให้เราเข้าถึงตัวละครเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ..."เจมี่ ฟ็อกซ์" ดูมีภาษีกว่าใครเพื่อนในฐานะพระเอก , "คริส คูเปอร์" กับ "เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์" คนแรกไม่ได้โชว์ฝีมืออะไรมาก แต่ก็พอจะสร้างสีสันอยู่กลายๆ และคนหลังก็เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวของหนังมาดแมนเรื่องนี้ ที่มีมาขัดกับวัฒนธรรมของซาอุฯที่ไม่เป็นปลื้มในพลังหญิง

    บทหนังของ "แมธธิว ไมเคิล คาร์นาแฮน" เขียนออกมาได้สมเหตุสมผลดี ยังจะมีจุดโหว่อยู่บ้างจากการเล่าเรื่องในระยะเวลาไม่กี่วันอย่างรวบรัด แต่ก็คงความระมัดระวังกับจุดอ่อนไหวที่ไม่ตีให้มีเรื่องราวขัดแย้งออกมาทางนอกจอ ...การกำกับของ เบิร์ก ทำได้กระชับ และมีความสนุกน่าติดตามอยู่ในแต่ละส่วนหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ 20 นาทีสุดท้าย ที่ระห่ำแลกกระสุนกันมันส์หยดให้อารมณ์ประมาณเดียวกับการฉากต่อสู้กลางเมืองของ Heat (หนังของโปรดิวเซอร์ ไมเคิล มานน์) ยังไงยังงั้น ...ส่วนกับมุมกล้อง การถ่ายภาพแบบแฮนด์เฮลด์ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับผมที่เหมือนจะยังพอมีภูมิคุ้มกันมาจาก บอร์น ภาคสาม หลงเหลือติดตาอยู่

    สิ่งที่ผมชอบที่สุดของ The Kingdom คงต้องยกให้กับ ฉากสุดท้ายของหนังที่สามารถสรุปเรื่องราวอันคาราคาซังของคนแต่ละฝ่ายที่ไม่ลงรอยได้อย่างลงตัว ...กับคำถามที่ทุกคนมีคำตอบอยู่ในใจและความคิดที่มนุษย์ทุกผู้มักจะหาวิธีการกระทำอันเหมาะสม มันสามารถลงเอยได้อย่างพอดีกับ คำพูดง่ายๆของคนสองคนที่อยู่ต่างโลกและต่างความเชื่อ แต่ในใจกับคิดที่อยากจะจบเรื่องราวทุกอย่างเอาไว้เหมือนๆกัน

    "The Kingdom" ... หนังบันเทิงเนื้อเข้มข้น ที่ให้ความสนุกได้อย่างน่าพอใจ พอๆกันกับส่วนประเด็นเรื่องราวที่ไม่ถึงกับเป็นสารคดีแต่มีความแน่นปึ้กอยู่เพียงพอ ... นี่เป็นหนังดีที่มีเหตุผลมากพอจะชวนให้คุณๆไปดู และไปรู้ว่า คำพูดง่ายๆอะไรหรือ ที่สามารถมัดใจใครต่อใครให้ชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้ได้กันนักต่อนัก

    ขอแนะนำ...ครับ

    เกรด A-

    ส่วนที่ขีดเส้นใต้เน้นข้อความ... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี-ดูด้อยในหนังครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดี มีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมขีดเส้นใต้ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

    สำหรับทุกคนที่ได้เผลอเข้ามาในกระทู้รีวิวนี้ ...อย่าเพิ่งรีบออกไปนะครับ อยากขอให้ช่วยลงความเห็นของคุณกับความรู้สึกต่อหนังเรื่องนี้ ได้ประทับเก็บไว้ในกระทู้นี้ด้วย... "1 Comment ของคุณ มีค่าเท่ากับ 1 Happy ของ จขกท."

    ขอบคุณครับ รักคนอ่าน...

    แก้ไขเมื่อ 19 ต.ค. 50 10:04:44

     
     

    จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN - [ 19 ต.ค. 50 09:56:01 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com