| เกรด A -> 9-10 คะแนน (3 คน) |
| เกรด B -> 6-8 คะแนน (9 คน) |
| เกรด C -> 3-5 คะแนน (10 คน) |
| เกรด D -> 1-2 คะแนน (14 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 36 คน |
"โอปปาติก (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ)" ... ความพยายามครั้งใหม่ของหนังไทย ที่หยิบจับเอาแง่มุมทางศาสนามาตีความมาเป็นเรื่องราวของกลุ่มคนที่ชีวิตไม่ได้จบลงแค่การฆ่าตัวตาย ...คนเหล่านี้ได้กลายเป็นอีกสิ่งมีชีวิตอีกชนิดที่น้อยคนจะมีโอกาสจะได้เป็น อันเรียกว่า โอปปาติก
โอปปาติก มีพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่ขั้นสูงกว่ามนุษย์ปกติธรรมดาที่กำเนิดมาจากครรภ์แม่ ...คนเหล่านี้กำเนิดเกิดเริ่มต้นขึ้นมาโดยไม่ต้องมีการเติบโต และคนเหล่านี้ก็ยังเป็นผู้มีความสามารถที่เหนือชั้นกว่าคนปกติธรรมดาจะสามารถทำได้
หากแต่สิ่งที่โอปปาติกจะสามารถทำได้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคำสาปที่ย้อนมาทิ่มแทง ให้ทรมานทางกายและใจ เฉกเช่นเดียวกับ การฆ่าตัวตายที่ถือเป็นบาปขนานใหญ่สุดที่มนุษย์จะได้รับผลกรรมอย่างสาหัสสากรรจ์ ลงสู่นรกชั้นสุดท้ายที่โหดร้ายที่สุด
ความพยายามครั้งใหม่ครั้งนี้ อาจจะดูไม่ใช่ของที่แปลกอะไรนักสำหรับคนที่เคยๆผ่านตา หนังแอ๊คชั่นเชิงศาสนา ที่เต็มไปด้วยปรัชญา อย่าง The Matrix รวมไปถึง การมีคาแรกเตอร์มนุษย์ที่เหนือมนุษย์เป็นตัวละครเอก อย่าง X-Men ...หรือจะเป็นหนังไทยเราๆเอง ก่อนหน้านั้น ก็เคยมี อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม ที่หาญกล้าเอาคำสอนทางพุทธมาเล่นเป็นเรื่องเป็นราวแนวๆ ตามสไตล์ผู้กำกับ เรียว-กิตติกร
แต่กับ "โอปปาติก" ก็ยังคงพอจะถือเป็นอีกหนึ่งความใหม่ได้อยู่ ถ้ามองว่าหนังมีความพยายามที่จะหยิบจับเอาเรื่องราวสัจธรรมที่เข้าใจยากของสิ่งมีชีวิต มาผนวกรวมกับการสร้างความบันเทิงแบบตลาดๆด้วยหน้าหนังแอ๊คชั่น (อหิงสา ก็ถือว่าเป็นหนังแอ๊คชั่นอยู่หรอก หากแต่มันไม่น่าจะใช้นิยามของความเป็นหนังตลาดๆได้)
โดยส่วนตัวแล้ว ก็มีความคาดหวังในความใหม่ครั้งนี้อยู่พอสมควร ...ด้วยตัวอย่างหนังที่ตัดต่อได้น่าดูน่าชม บวกกับภาพโปสเตอร์สวยๆเท่ห์ๆของบรรดาเหล่าตัวละครเอกทั้ง 8 ที่ทำได้อาร์ตล่อตาล่อใจได้ผลชงัก ...หากแต่ในความคาดหวังเหล่านี้ ก็แอบสังหรณ์ คาดคิดไปเองเกรงกลัวไปพลางว่า ตัวหนังที่แท้จริงๆ มันจะทำได้ไม่ถึงอย่างที่ตัวอย่างเสนอนะสิ
แล้วมันก็เหมือนจะเป็นไปอย่างงั้น เมื่อคำวิจารณ์ของคนที่ได้ดูมาแล้วหลายต่อหลายคนออกจะเข้าข่ายติดเครื่องหมายลบซะเป็นส่วนมาก... แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังคงอยากจะดูให้เห็นกับตาอยู่ดี ถึงจะไม่ชอบไม่นึกประทับใจ ผมก็ยอมเสี่ยง ยังจะได้ไปพิสูจน์ความใหม่ครั้งนี้ด้วยตัวเองไปเลย
แม้ตัวผมจะยังไม่ได้ดูหนังเรื่องก่อน อย่าง "Fake" กับ "X-Man" ของผู้กำกับ "ธนกร พงษ์สุวรรณ" มาก่อน ...แต่จากที่ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมา ก็นับว่า คนนี้เป็นผู้กำกับที่มีฝีมือคนหนึ่ง แล้วกับเรื่องล่านี้ เขาก็มีแนวคิดที่น่าสนใจมากๆ ในการหยิบจับเอาเรื่องศาสนา มาตีประเด็นถ่ายทอดเป็นหนัง โดยที่ใจความของมันถูกทำให้ไม่น่าใช่เรื่องที่ดูให้เข้าใจยากอะไร ...หลักก็คือการนำเอา โอปปาติก มาผูกกับความเชื่อในบาปบุญคุณโทษ และเริ่มต้นด้วยการฆ่าตัวตาย ที่เราถูกสั่งสอนมาว่าเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตที่เลวร้ายที่สุด
ความกล้าที่จะทำความใหม่ ของผกก.ธนกร ในที่นี้ อาจจะถือว่าเป็นคุณ ที่น่าชื่นชมได้อยู่ ถ้ามองในแง่ของความตั้งใจที่อยากจะสร้างหนังสอนใจมนุษย์ให้รู้จักความบาปสักเรื่อง ...แต่กับความพยายามที่ผกก. มีให้ต่อความตั้งใจในที่นี้ มันถูกทำให้กลับกลายเป็นโทษซะมากกว่า เพราะในแง่ของความเป็นหนังสักเรื่อง โอปปาติก ยังดีแค่เปลือก ส่วนเนื้อในออกจะเหลว ไม่สวยเช่นข้างหน้าที่พยายามสร้างภาพให้น่าสนใจ
ความเป็นหนังของ โอปปาติก ถูกนำเสนอเรื่องราวในแบบไม่ปะติดปะต่อ ไม่ต่อเนื่อง ใช้เทคนิคเหมือนเช่นหนังอาร์ต ที่ไม่เน้นย้ำเรื่องของเวลาให้เสียเวลา... แต่มันกลับไม่ใช่ข้อดีที่ควรทำของหนังแอ๊คชั่นเรื่องนี้ ที่มีพลอตเพียงพลอตเดียว
แล้วต้องมาทำให้เรื่องราวยุ่ง ไม่เป็นเอกภาพเดียวกันเช่นนี้ และนั่นก็มีส่วนที่ทำให้ผมไม่รู้สึกอะไรกับจุดหักมุมของหนัง ที่พยายามทำให้คนดูงงงวย แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรกับความแปลกใจ
เหนือไปกว่านั้น บทหนังก็มีปัญหาหยุบหยิบหยุมหยิมเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเหตุและผล ก็ดูเหมือนว่าหนังจะตัดมันออกไปอย่างดื้อๆ เอากันห้วนๆ เพื่อให้เวลาไม่ยืดไม่เยื้อ (และอาจจะเกี่ยวกับผลประโยชน์ของค่ายหนังที่จะได้รอบฉายเยอะๆด้วยละมั้ง? หรือเปล่าครับ เสี่ย...) ความเป็นมาเป็นไปของตัวละครแต่ละตัว นอกจากไปศลแล้ว คนอื่นๆ ถ้าไม่แตะต้องแบบเล่นแปะแข็ง ก็มากันแบบผีที่ไม่จำเป็นต้องไปรู้ถึงปูมหลังใดๆให้เสียเวลาหรอก ...แล้วก็ยังต้องรวมไปถึงคำพูดไดอะล็อกที่พยายามทำให้ดูมีปรัชญาน่าจดจำ แต่มันไม่จำเป็นต้องพูดด้วย ภาษาเทพเยี่ยงนี้แทบทุกประโยคสักหน่อย ทำให้พาลไม่รู้เรื่อง แล้วยังจะรำคาญอีก
ปัญหาทั้งหมดทั้งมวล คือ ความน่าเสียดายอย่างยิ่งยวด สำหรับการสร้างความบันเทิงให้กับคนดูที่เหมือนว่าผู้กำกับตั้งใจจะให้เป็นอย่างนั้นมากกว่าเรื่องก่อนๆของเขา หากแต่ก็ด้วยลีลา และท่ามากเกินความเป็นหนังตลาดๆ เนี่ยแหละ ที่ย้อนหลัง
มาทิ่มแทงให้คนดูหมดอารมณ์สนุก จะตามเรื่องหนังไปได้ติด
แต่ถึงจะน่าเบื่อ กระนั้นแล้ว หนังก็ยังพอมีอะไรให้รู้สึกไม่ถึงกับเซ็งได้อยู่ อาทิ การแสดงของทีมดาราที่ยกทัพเอาแต่คนมีชื่อมาดึงดูดให้น่าดูน่าชม ซึ่งถ้าไม่ติดว่าบทให้แต่ละคาแรกเตอร์มาอยู่บนจอเพียงเท่านั้น ศักยภาพของแต่ละคนก็น่าจะพอเพียงทำให้คนดูรู้สึกอินกับพวกเขามากไปกว่านี้ ...แต่ในที่นี้ ก็คงต้องยกเว้น ชาคริต แย้มนาม (ไปศล) ที่มีน้ำมีเนื้อมากที่สุด และตัวเขาก็ให้การแสดงที่เท่ห์ในฉากบู๊ทุกๆฉาก บวกกับสีหน้าอมทุกข์อันเคร่งขรึมที่พอจะทำให้เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาอยู่บ้าง (อาจจะพอบวกพี่อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ ด้วยอีกคน ...ที่ได้โชว์อ๊อฟเสียงพากย์ซะจนดูมีบทบาทกว่าการแสดงออกหน้าออกตาเสียอีก)
ส่วนของฉากแอ๊คชั่น ก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง (แต่ก็ไม่ถึงกับคุ้มค่า 80 ล้านที่โม้ไปสักเท่าไหร่) โดยเฉพาะในฉากที่มีไปศลร่วมวงสู้ด้วย จะมันส์ ออกแบบได้เป็นจังหวะจะโคนที่สวยเป็นพิเศษ ...ถึงกระนั้นก็ยังมีที่น่ารำคาญใจมากๆ กับฉากที่อยู่ในเวลากลางคืนที่หนังตั้งใจมืด จนแทบจะไม่เห็นอะไรเลย (หรือก็ไม่แน่ว่า ทีมจัดแสงจะใช้ไฟฉายถ่าน AA แทนสปอตไลท์ เพื่อประหยัดทุน 80 ล้านเอาไปใช้ทำซีจีแทนละมั้ง หุหุ) ...ส่วนภาพที่ตั้งใจจะทำให้กรุงเทพฯดูหม่นอย่างมีมิติ มันก็สวยดี แต่ไร้เสน่ห์ให้ตรึงใจ เมื่อเทียบกับหนังไทยอีกหลายๆเรื่องที่บริหารเสน่ห์กรุงเทพให้ดูงามกว่านี้ได้เยอะ (ยกตัวอย่าง ยามราตรี ใน เฉิ่ม หรือกระทั่งกับ ยาม Y ใน เพื่อน กูรัก:-)ว่ะ -_-')
และสิ่งที่ดีที่สุดของ โอปปาติก ก็ต้องยกให้กับแง่มุมทางศาสนาที่หนังเอามาเล่นเป็นเรื่องเป็นราว ...ที่นอกเหนือไปจากความกล้าที่น่ายกย่องแล้ว ส่วนเหล่านี้ที่หนังตั้งใจจะเสนอก็สนองกับข้อคิดที่หนังอยากจะบอกกับคนดู ว่า การฆ่าตัวตาย ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำเมื่อชีวิตหมดสิ้น เพราะนอกจากจะต้องสิ้นใจแล้ว ผลกรรมทั้งหมดยังต้องตกมาที่เรา ผู้ฆ่าตัวเองให้ต้องเป็นบาปกับตัวเองไม่ใช่ใครอื่นที่ทำให้เราอยากจะฆ่าตัวเองทั้งๆที่ตัวเราเองมีปัญหากับคนผู้นั้นที่ตั้งใจจะฆ่าตัวเราเองทั้งเป็น (พิมพ์เอง ก็งงเอง ...ใครเข้าใจก็ถือว่าท่านบรรลุแล้วละกัน สาธุ!!!)
"โอปปาติก : เกิดอมตะ" ... ท่าจะดีแต่เริ่มคิดแล้วทำ แต่ถึงทีก็มาเหลวให้กับความลวกๆ อย่างน่าเสียดาย ...ตัวหนังก็เปรียบเสมือนว่ามีคำสาปเฉกเช่นเดียวกับตัวโอปปาติกทุกตน ที่ได้ใช้ความพยายามสนุก เพื่อแลกไปกับความล้มเหลวของความเป็นหนังบันเทิงเรื่องหนึ่งที่หวังจะสร้างความน่าพอใจแก่คนดู ...นอกเหนือไปจากข้อคิดดีๆ แล้วหนังเรื่องนี้ก็เป็นได้แค่ความน่าผิดหวังอีกครั้งหนึ่งของความพยายามครั้งใหม่ของหนังไทยที่ขาดทุนทั้งคนทำและคนดู
เกรด C
ส่วนที่ขีดเส้นใต้เน้นข้อความ... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี-ดูด้อยในหนังครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดี มีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมขีดเส้นใต้ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน
สำหรับทุกคนที่ได้เผลอเข้ามาในกระทู้รีวิวนี้ ...อย่าเพิ่งรีบออกไปนะครับ อยากขอให้ช่วยลงความเห็นของคุณกับความรู้สึกต่อหนังเรื่องนี้ ได้ประทับเก็บไว้ในกระทู้นี้ด้วย... "1 Comment ของคุณ มีค่าเท่ากับ 1 Happy ของ จขกท."
ขอบคุณครับ รักคนอ่าน...
แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 50 14:34:36