ความคิดเห็นที่ 5
เอาเรื่องข้อแตกต่างที่คุณต่อพงษ์เขียนไว้มาให้อ่านครับ อันนี้แกเขียนถึง Nodame เคยไหมครับที่นั่งดูคอนเสิร์ตของนักร้องไทย จะเป็นฟรีคอนเสิร์ต หรือ จะไม่ฟรีก็แล้วแต่ แล้วเกิดคำถามขึ้นมาขณะที่ดูคนร้องเพลงเหล่านั้นกำลังครวญคราง คำถามก็คือ ข้อแตกต่างของความเป็นมือสมัครเล่นกับมืออาชีพต่างกันตรงไหน? สำหรับบรรดานักร้องไทยที่ออกเทปกันเป็นว่าเล่น อาจจะบอกว่านักร้องอาชีพก็คือ นักร้องที่สามารถหาเงินได้จากการขายเทป ขายซีดี หรือ ขายหน้า ขายตา เมื่อสามารถหาเงินได้คุณก็นับว่าเป็นมืออาชีพแล้ว แต่ถ้าคำถามนี้ไปถามบรรดาตัวละครต่างๆ ในซีรี่ส์ญี่ปุ่นเรื่องเยี่ยมมากๆ ที่ชื่อว่า Nodame Cantabile คำตอบน่าจะอยู่ที่ว่า "คุณต้องทำให้มัน 'มากกว่า' การเล่นดนตรีเพื่อให้ตัวเองมีความสุข คุณต้องทำมากกว่านั้น คุณต้องฝึกฝนมากกว่านั้น คุณต้องพยายามให้มากกว่านั้น และเพื่อให้กลายเป็นมืออาชีพ คุณจะต้อง 'ชน' กับดนตรีตรงๆไม่มีการประนีประนอมเพื่อให้ได้มา" และสุดท้ายก็คือ คุณต้องจริงใจกับดนตรีกันหน่อย!! ผมเองชีวิตนี้ดูหนังมาเยอะมากๆ ในจำนวนเหล่านั้นเป็นหนังที่เกี่ยวกับประวัตินักดนตรีก็เยอะ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับดนตรีคลาสสิก แต่เชื่อหรือไม่ว่า ละครชุดจากญี่ปุ่นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เมื่อดูจบทุกตอนแล้ว มันจะทำให้คุณวิ่งไปหาแผ่นเพลงซีดีคลาสสิกมานั่งฟังกันไปทุกคราว ถ้าโหมโรงเป็นหนังที่ทำให้คุณอยากฟังเสียงระนาด Swing Girl ก็เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้คุณอยากฟังแจ๊สยุคบิ๊กแบนด์ ขณะที่ Nodame Cantabile ก็เป็นซีรี่ส์ที่ทำให้คุณอยากเป็นเจ้าของร้านขายเพลงคลาสสิก เพราะคุณจะได้ฟังมันอย่างไม่รู้เบื่อ ไม่เจอมานานแล้วครับที่หนังสามารถเลือกเพลงคลาสสิกมาได้เข้ากับเรื่อง...และที่สำคัญหนังแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งเสียงเพลงที่สร้างปราฏิหาริย์ให้แก่ตัวละครในเรื่องได้นับครั้งไม่ถ้วน เมื่อผมดูจบชุดแล้วก็เกิดความฝันว่า หนังชุดเรื่องนี้มันจะไปผ่านตาผู้บริหารโทรทัศน์สักช่อง แล้วมันจะดลใจให้เขาเหล่านั้นซื้อมันมาฉายให้คนไทยดูกันมากๆ กว่านี้ จะเป็นกุศลต่อตัวเองและต่อลูกหลานคนไทยอีกมาก พูดก็พูดนะครับ ซีรี่ส์ญี่ปุ่นนั้นกลับไม่เป็นที่รู้จักในเมืองไทยเท่าไหร่นัก ต่างไปจากซีรี่ส์เกาหลีซึ่งฮิตกันเหลือเกิน ส่วนตัวผมชอบซีรี่ส์ญี่ปุ่นและมีข้อสังเกตเอาไว้ว่า เนื้อหาส่วนใหญ่ของซีรี่ส์เหล่านี้แม้จะเบาสมองบ้าง ฮาบ้าง ไปตามวิธีการนำเสนอ แต่แก่นของเรื่องที่แท้จริงที่เคียงคู่ไปกับเรื่องของความรัก กลับเป็นเรื่องของการต่อสู้ในหน้าที่การงานเป็นหลัก ความรักกลับเป็นเพียงแค่ผงชูรสเท่านั้น มิใช่เมนูหลักของซีรี่ส์เหล่านี้เลย เชื่อหรือไม่ครับบรรดาซีรี่ส์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น Attention Please (เรื่องของการฝึกฝนตนให้เป็นแอร์โฮสเตจ) My Ex-Boy Friend (เรื่องของการสู้เพื่อกระตุ้นยอดขายพนักงานห้างสรรพสินค้า) Good Luck (กว่าจะมาเป็นนักบิน) Engine (เรื่องของนักแข่งรถ) Pride (เรื่องของนักฮอคกี้) Sapuri (เรื่องของสาวนักโฆษณาที่ฝันจะขึ้นมาสู่ตำแหน่งสูงสุดในบริษัท) Hero (เรื่องของอัยการ) Top Caster (เรื่องของนักข่าว) Aoi Nurse (เรื่องของพยาบาลสาวที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง) Beautiful Life (เรื่องของช่างตัดผมกับบรรณารักษ์ขาพิการ) ฯลฯ เรื่องทั้งหมดนี้แสดงภาพพระเอกกับนางเอกจูบกันน้อยมาก จับมือถือแขนก็น้อยมาก ฉากที่จะไปเดินไร้สาระช็อปปิ้งกันแทบไม่มี ฉากที่พระเอกกับนางเอกจะมีเวลาว่างมาไล่จีบกันหรือต่อล้อต่อเถียงกันก็ไม่มี ไม่มีนังตัวร้ายประเภทไม่รู้มรึงจะกรี๊ดให้หูแตกอะไรนักหนา ไม่มีฉากที่นังตัวร้ายพยายามใช้เซ็กส์ไปล่อให้พระเอกมาติดกับ ไม่มีฉากที่พระเอกจะต้องหึงและงอนอย่างไรเหตุผล ไม่มีฉากประเภทที่นางเอกปากกล้าท้าทายพระเอกขณะที่เมาจนกระทั่งโดนข่มขืน(ในสภาพที่ตื่นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้) ไม่มีฉากที่นางเอกต้องจำยอมรับรักพระเอก เพียงเพราะ ดันมีไอ้ตัวมารหัวขนมาโผล่ในท้อง ไม่มีคนใช้ประเภทสาระแน และไม่มีคุณหญิงแม่ที่นั่งเชิดเสียจนน่าตบกระโหลก!! คือความไร้สาระและการขายฝันที่อยู่ในขนบธรรมเนียมและประเพณีของละครไทยนั้น มันไม่ไปปรากฏอยู่ในซีรี่ส์ญี่ปุ่นเหล่านี้เลย แต่ก็แปลกอีกเหมือนกันที่เนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องงานเป็นหลักนั้นกลับตรึงให้เราติดหนับกับการไล่ชมกันชั่วโมงต่อชั่วโมงได้อย่างไม่เบื่อ รู้สึกว่าดูแล้วได้ความรู้ รู้สึกว่ารู้แล้วไม่เสียดายเวลา และมีคุณค่าพอที่จะนั่งดูมัน และเมื่อไปไล่เช็กดูเรตติ้งของละครเหล่านี้ ปรากฏว่าก็ฮิตกันทั้งสิ้น ดูแล้วก็ฝันนะครับว่า เมื่อไหร่ละครไทยจะเลิกขนบธรรมเนียมเก่าๆ ที่เคยปฏิบัติอย่างต่ำก็ 30 ปีนี้แล้วนำพาคนดูไปสู่ยุคใหม่กันบ้าง เพราะในความจริงแล้วละครทีวีก็สามารถที่จะทำให้คนฉลาดขึ้นได้ และประเทศที่เจริญแล้วหลายประเทศเขาก็ผลิตซีรี่ส์ที่ดูแล้วฉลาดๆ ออกมาให้คนดูได้เสพกัน ญี่ปุ่นนั้นไม่ต้องพูดเพราะเยอะเหลือเกิน อเมริกาก็มีละครไพรม์ไทม์อย่าง C.S.I, House, ER,West Wing, The Practice และอีกมาก แต่ของไทยกี่ปีกี่ชาติก็ยังอุดมไปด้วยความด้อยปัญญาเช่นเดิม คำถามคือทำไมคนทำละครบ้านเรา คนคุมทีวีบ้านเรา และนายทุนในบ้านเราถึงยินดีที่จะเห็นคนไทยซึมซับความเขลาเบาปัญญาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ใครก็ได้ช่วยตอบหน่อยครับว่าทำไม ? Credit : http: ager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9500000056697
จากคุณ :
beos
- [
28 ต.ค. 50 23:07:31
]
|
|
|