CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    <<<<<<< ดูแล้วมาคุยกัน ... Michael Clayton , ชีวิตของทนายภารโรง >>>>>>>

      ชอบมาก ห้ามพลาด (1 คน)
      ชอบ (1 คน)
      เฉยๆ (3 คน)
      ไม่ชอบ (0 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 5 คน

     20.00%
     20.00%
     60.00%
     0.00%
     0.00%


    ... เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูปและแสดงความเห็นเพิ่มเติมต่อได้ที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=21-11-2007&group=14&gblog=47

    ...อาชีพ ทนาย เป็น อาชีพหนึ่งที่ผมเคยคิดว่าตัวเองน่าจะเอาดีทางนี้ได้ เพราะอาศัยทางถนัดสมัยเรียนคือพึ่งพาความจำ กับ ทักษะการพูดที่นำหลักฐานของตัวเองที่มีโน้มน้าวอีกฝ่ายให้คล้อยตาม ซึ่งความเชื่อแบบนี้อาจเป็นความเชื่อผิดๆก็ได้ เพราะ การเป็นทนาย ยังจำเป็นต้องอาศัยอะไรที่มากกว่านั้น

    หนึ่งในนั้นคือการมี จุดยืน

    เพราะหากไร้จุดยืน เมื่อต้องอยู่บนเส้นสีเทาๆก็มีแนวโน้มที่เราจะโอนอ่อนไปสู่ฝั่งสีดำ เมื่อต้องตัดสินใจว่าจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องหรือเงินทองก้อนโต เราก็มีแนวโน้มจะเลือกฝั่งเงินทองแล้วอ้างเหตุผลความชอบธรรมหรือความจำเป็น

    มิเช่นนั้น เราก็อาจจะต้องเป็นเหมือนกับ ไมเคิล เคลย์ตั้น ในฉากที่พี่ชายทักเขาว่า ฝั่งตำรวจนึกว่าไมเคิลเป็นทนาย ฝั่งทนายก็นึกว่าไมเคิลเป็นตำรวจ เขาเองก็อาจจะแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำหน้าที่อะไร



    ...ไมเคิล เคลย์ตั้น แนะนำตัวเองให้คนดูรู้จักผ่านงานที่ต้องไปเคลียร์ว่า เขาเป็นทนายที่มีบทบาทเป็นแค่ ภารโรง ที่ทำหน้าที่เก็บกวาด ไม่ใช่ทนายที่ขึ้นโรงขึ้นศาลว่าความ เขาคอยตามล้างตามเก็บปัญหาตกค้างของแต่ละคดี ด้วยความเป็นคนที่รู้จังหวะ รู้ช่องทาง หน้าที่ ภารโรง ของเขาจึงทำได้ดี

    อาร์เธอร์ ทนายความที่เกิดออกอาการจิตแตก เกิดอาการ manic episode เพราะขาดยาแล้วแก้ผ้ากลางที่ประชุมวิ่งออกไปลานจอดรถ ขณะตกลงกันในคดี ยูนอร์ธ

    ยูนอร์ธ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตเกษตร ถูกพบว่า มีผลอันตรายต่อผู้ใช้แต่บริษัทก็พยายามปกปิดไว้



    เมื่อ อาร์เธอร์ คิดจะเปิดโปงความจริงก็เท่ากับพาตัวเองเข้าสู่ความเสี่ยง ยูนอร์ธ จึงพยายามทำทุกทางเพื่อยับยั้งเขาไว้

    ไมเคิลได้รับมอบหมายให้มาจัดการคดีอาร์เธอร์ แต่เมื่อเขาเจอข้อเท็จจริงนี้ ก็ทำให้เขาต้องอึ้งและต้องคิดว่าจะจัดการอย่างไร หากเลือกความถูกต้องก็เท่ากับต้องทรยศต่อบริษัทของตัวเอง



    ...จะว่าไป เนื้อหาของ Michael Clayton ก็ไม่มีอะไรต่างจากหนังทนายยุคจอห์น กริแชม เฟื่องฟู ที่นิยมเล่นประเด็นสำนึกผิดชอบชั่วดี แถมตัวบทหนังก็ไม่ได้โชว์ความเก่งกาจหรือฉากเฉือนคมของตัวละครเท่าไหร่นัก พระเอกของเรื่องเหมือนถูกนำไปตามจังหวะ เอาตัวรอดเป็นครั้งๆตามสถานการณ์ที่บีบเข้ามา แถมยังนับว่าเป็นพระเอกเป็นหนึ่งในตัวละครที่อาศัยโชคหลายด้าน เช่น ออกจากรถถูกจังหวะ หรือ มีพี่ชายเป็นตำรวจ ฯลฯ

    สิ่งที่ต่างไปคือ ตัวละครไมเคิล ไม่ใช่ประเภทพระเอกฉลาดล้ำเซียนเหยียบเมฆ แต่เขาก็แสดงให้เห็นถึงความเก่งในการเก็บกวาดของเขาเป็นอย่างดี และ เขาก็เป็นตัวละครที่มีปัญหาส่วนตัวให้ต้องสะสาง ซึ่งเขาไม่สามารถจัดการได้ง่ายเหมือนกับ ตอนเป็นภารโรงจัดการปัญหาของบริษัทตัวเอง

    ... ด้วยพล็อตเก่าๆดูไม่น่ามีอะไรแปลกใหม่ ความโดดเด่นของหนังจึงเป็นเหมือนการโซโล่โชว์เก๋าของ Tony Gilroy อดีตมือเขียนบทจาก บอร์นทั้งสามภาค ที่มากำกับหนังเป็นครั้งแรก เขายังคงเล่าเรื่องได้อย่างชาญฉลาดเปี่ยมพลังงาน และ ดูเหมือนแกจะติดใจสไตล์การเล่าเรื่องเรียงลำดับย้อนหลังแบบ 3 --> 1 --> 2 --> 4 เหลือเกิน

    นั่นจึงทำให้ ครึ่งชั่วโมงแรกของหนังคือความงุนงง ที่คนดูยังจับต้นชนปลายไม่ถูก จาก บทสนทนามากมายที่ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว กับ เรื่องราวของตัวละครที่หนังค่อยๆบอกที่มาที่ไปด้วยการเล่าย้อนหลังไปทีละน้อย



    ยิ่งผนึกกับการแสดงที่ปึ้กมากของจอร์จ คลูนี่ย์ , ทิลดา สวินตั้น และ ทอม วิลกินสัน โดยเฉพาะหนุ่มจอร์จที่หลังๆเราเคยชินกับภาพเท่ๆแบบในตระกูล Ocean มาพลิกบทบาทในเรื่องนี้แบบไม่คิดค่าตัว(แต่ขอหักเปอร์เซ็นต์รายรับของหนังแทน) กับ ลุงทอมที่โชว์ฝีมือชั้นเลิศชนิดเทศกาลล่ารางวัลไม่ควรมองข้าม



    ส่วนผสมทั้งหมดคือองค์ประกอบชั้นดีที่ทำให้ Michael Clayton แม้จะไม่สดใหม่แต่ก็เก๋าเพียงพอที่จะอยู่แถวหน้าของรายชื่อหนังดีประจำปีนี้

    สรุป .. ชอบหนังดราม่าดีๆ ชอบหนังแนวทนาย ไม่ควรพลาด แต่อย่าไปดูตอนง่วงๆมิเช่นนั้นอาจท้อใจเนื่องจากตามเรื่องราวไม่ทัน ส่วนตัวแล้วเห็นด้วยว่าหนังดีตามคำวิจารณ์เลิศหรูที่หนังได้รับมา แต่ ส่วนตัวแล้วก็ผิดหวังอยู่นิดๆเพราะหวังไว้สูงไปหน่อยและคาดหวังกับเนื้อหาที่มีอะไรเด็ดๆมากไปกว่านี้ แถมการคลี่คลายของหนังยังมีหลายอย่างที่ดูง่ายไปหน่อย( เช่น โยนนาฬิกาง่ายๆอีกฝ่ายก็เชื่อว่าตายแน่ๆ หรือ รอดตายเพราะโชคช่วย ฯลฯ)

    เมื่อเทียบกับ หนัง 'พูดมาก' ที่เข้าใกล้เคียงกัน และ พุ่งเข้ากระแทกสมองคนดูเหมือนๆกัน ในแง่คุณภาพ Michael Clayton มีความสมบูรณ์พร้อมมากกว่า แต่ ความชอบของผมมีให้ Lions for Lambs มากกว่า เพราะ หนังมีประเด็นที่ดูจบแล้วให้ต่อยอดความคิดมากกว่ากับมีฉากให้ซึ้งมากกว่า


    ป.ล. ส่วน ม้าสามตัว มีความหมายอย่างไร ผู้กำกับเฉลยไว้แล้วที่นี่ครับ --> http://www.aintitcool.com/node/34448



    บทความเกี่ยวข้องที่อ้างอิงถึงในกระทู้

    Lions for Lambs , ส่งเสริมสิงโต ตรวจสอบแกะ และ ลงมือทำ
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=14-11-2007&group=14&gblog=43

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 26 พ.ย. 50 13:30:01 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com