PANTIP.COM : A6085645 รักแห่งสยาม ความรักของเกย์คาทอลิก จากกรุงเทพธุรกิจ [ภาพยนตร์]

รักแห่งสยาม ความรักของเกย์คาทอลิก จากกรุงเทพธุรกิจ

น่าสนใจดีครับ

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pae666&month=02-12-2007&group=1&gblog=63

รักแห่งสยาม ความรักของเกย์คาทอลิก

อ่านบทความนี้แล้วรู้สึกเข้าใจลึกซึ้งเข้าไปอีกในบทของหนัง

ดูหนังไม่ใช่ดูแค่ผ่านๆ แต่มันก็มีอะไรลึกๆ ให้เราได้วิเคราะห์เหมือนกัน

====
credit : บทความจาก กรุงเทพธุรกิจ โดยคุณโตมร ศุขปรีชา

คุณเคยสงสัยไหมว่า เพราะอะไร ตัวละครใน ‘รักแห่งสยาม’ ถึงต้องเป็นคาทอลิกและเป็นเกย์

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : หลายปีก่อน เมื่อไปไอร์แลนด์ ผมเคยถามคุณป้าคนหนึ่งหลังแก้วเหล้าว่า ไอร์แลนด์ซึ่งเป็นดินแดนแห่งคาทอลิกนั้นมีเกย์ไหม และมีการรวมตัวกันของกลุ่มเกย์คาทอลิกเหมือนที่ออสเตรเลียบ้างไหม คุณป้าแทบจะทำหน้าผีหลอกใส่ผม แล้วบอกผมว่า คำสองคำนี้เอารวมกันไม่ได้ เพราะมันไม่ ‘เมคเซนส์’ เอาเสียเลย เกย์กับคาทอลิก มันจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ถ้าคุณเลือกที่จะเป็นเกย์ คุณก็ต้องไม่เป็นคาทอลิก แต่ถ้าคุณจะเป็นคาทอลิก คุณก็ต้องไม่เป็นเกย์

ผมพลันนึกขึ้นได้ ณ บัดดลว่า ถ้าคุณเป็นคาทอลิกอย่างเคร่งครัด ที่เดียวที่ผู้ชายจะหลั่งน้ำอสุจิใส่ได้ก็คือในช่องคลอดของภรรยาที่ ‘รับศีลสมรส’ หรือผ่านการแต่งงานกันมาอย่างถูกต้องตามพิธีต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าแล้วเท่านั้น แม้แต่การทำอัตกามกิริยาหรือใส่ถุงยางยังถือว่าผิดเลย สำมะหาอะไรกับการหลั่งน้ำอสุจิใส่ปากหรือทวารหนักของผู้ชายด้วยกัน ซึ่งแม้โดยมาตรฐานของสังคมรักต่างเพศทั่วไปก็ยังเห็นว่าเป็น Bad Sex

ด้วยเหตุนี้ สำหรับผม การที่ตัวละครใน ‘รักแห่งสยาม’ เป็นคาทอลิก และเป็นเกย์คาทอลิกด้วย จึงเป็นประเด็นที่ท้าทาย ตื่นเต้น และน่าพูดถึงมากที่สุด

เพราะนี่คือหนังไทยเรื่องแรกที่วิพากษ์ความเป็นคาทอลิกที่มีการควบคุมทางเพศอย่างเคร่งครัด เป็นประเด็นที่ไม่มีใครพูดถึง แต่ผมคิดว่าเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดของหนัง

1.คริสต์มาสและซานตาคลอส

ทำไมเรื่องคาทอลิกถึงเป็นประเด็นสำคัญที่สุดหรือครับ คำตอบง่ายๆ อยู่ที่ผู้กำกับ ‘จงใจ’ จะทำประเด็นนี้ให้ ‘ดูเหมือน’ เป็นเรื่องที่ ‘พลาด’ ที่สุด และตอนแรกผมก็เกือบจะงับกับดักนี้เข้าให้แล้ว เพราะถ้าดูเผินๆ เราสามารถ ‘ตัด’ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคาทอลิกออกไปได้ทั้งหมด เด็กสองคนไม่จำเป็นต้องมาเจอกันในโรงเรียนก็ได้เพราะบ้านอยู่ใกล้กันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเกิดเรื่องใหญ่ตอนคริสต์มาส ไม่จำเป็นต้องมีฉากเล่นละครตอนพระกุมารประสูติ ไม่จำเป็นที่จะต้องสวดก่อนอาหาร และยิ่งไม่จำเป็นเลยที่ต้องให้มิวไปร้องเพลงในคอนเสิร์ตวันคริสต์มาส การใส่ฉากเหล่านี้เข้ามาแทบจะทำให้หนังมีกลิ่นอายเมโลดราม่าของซีรีส์ฝรั่งดาษดื่นที่ทำกันทุกปลายปีไม่มีผิดเพี้ยน

แต่แล้ว ด้วยความละเอียดในแง่มุมอื่นๆ ของผู้กำกับ (เช่น เรื่องการใช้สี การใช้สัญลักษณ์ผ่านตุ๊กตา ความพิถีพิถันในการแสดง ฯลฯ) ก็ได้ทำให้ผมรู้สึกว่า ยิ่งผู้กำกับใส่เรื่องที่ดู ‘ไม่จำเป็น’ เข้าไปมากเท่าไร กลับยิ่งสะท้อนให้เห็นว่ามันเป็นเรื่อง ‘จำเป็น’ มากเท่านั้น

การใส่ประเด็นคาทอลิกลงไปในหนังโดยดูเหมือนไม่จำเป็นตอกย้ำให้คนดูรู้ว่า นี่คือหนังที่ผู้กำกับจงใจจะวิพากษ์ความเป็นคริสต์ และเน้นย้ำลึกลงไปถึงคริสต์แบบคาทอลิกโดยเฉพาะ!

ตอนเด็กๆ ผมเชื่อว่ามิวกับโต้งเรียนอยู่ในโรงเรียนคาทอลิก อาม่าของมิวนั้นอาจไม่ใช่คาทอลิก แต่เป็นคนจีนที่มีฐานะร่ำรวยและได้รับอิทธิพลจากตะวันตกอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นลวดลายวอลล์เปเปอร์ในบ้านหรือการเล่นเปียโน เผลอๆ อากงหรือสามีของอาม่าอาจจะเป็นคาทอลิกก็ได้ แต่หนังไม่ได้กล่าวถึงอย่างชัดเจน เพียงแต่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ทว่าทั้งหมดคือการปูพื้นฐานให้เห็นเหตุผลที่มิวเข้าไปเรียนในโรงเรียนคาทอลิก โดยอาจจะเป็นหรือไม่เป็นคาทอลิกก็ได้

ส่วนโต้งนั้น การอยู่ในครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัดทำให้ที่บ้านต้องส่งเขาเข้าเรียนในโรงเรียนคาทอลิกอยู่แล้วคล้ายเป็นไฟลต์บังคับ ถ้าถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าครอบครัวของโต้งเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัด คำตอบอยู่ที่การสวดก่อนอาหาร ซึ่งปัจจุบันคาทอลิกส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติ ยกเว้นในครอบครัวที่เคร่งจริงๆ เท่านั้น

ความงามของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ตรงนี้

อยู่ตรงที่ผู้กำกับสร้างปม ‘ความขัดแย้ง’ ที่รุนแรงมากขึ้นมา แต่กลบเกลื่อนให้เหลืออยู่เพียงจางๆ อย่างแนบเนียน แฝงอยู่เฉพาะในบรรยากาศโดยไม่มีใครเอ่ยปากขึ้นมาตรงๆ ซึ่งนั่นทำให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสกับหัวใจของคนดูได้โดยไม่รู้ตัว

โรงเรียนที่เด็กทั้งสองเข้าเรียน มีชื่อว่าเซนต์นิโคลัส ซึ่งชื่อก็บอกเต็มตัวอยู่แล้วว่าเป็นโรงเรียนคาทอลิก โรงเรียนเซนต์นิโคลัสจึงกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ผมเข้าใจว่าไม่น่าจะมีโรงเรียนชื่อนี้อยู่ในกรุงเทพฯ หรือถ้ามีก็ไม่น่าจะอยู่แถวๆ สยามสแควร์แน่ๆ โรงเรียนนี้จึงเป็นสถานที่สมมติที่ซ้อนอยู่กับสถานที่จริงอย่างสยามสแควร์ และเป็นความจงใจที่ใส่เข้ามาเพื่อให้ผู้ชมสะดุดอย่างชัดเจน

ทำไมต้องเป็นเซนต์นิโคลัส ?

เซนต์นิโคลัสนั้น ที่จริงแล้วเป็นชื่อจริงของ ‘ซานตาคลอส’ ยังไงล่ะครับ

สำหรับคนไทย ซานตาคลอสคือสัญลักษณ์ของคริสต์มาส ขณะที่คริสต์มาสเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์!

ครอบครัวของโต้งส่งโต้งเข้าเรียนในโรงเรียนเซนต์นิโคลัส ก็แปลว่าเขาต้องการให้ลูกได้รับการอบรมกล่อมเกลาในแบบคาทอลิกแท้ๆ ที่ต้องมีการเรียนคำสอนทุกวันมาตั้งแต่เด็ก นั่นขยายความให้ลึกขึ้นได้ว่า โต้งเองก็ต้องมี ‘ราก’ แบบคาทอลิก ที่จะมากจะน้อยก็เชื่อในพระเจ้าและมี ‘ความกลัว’ บางแบบฝังอยู่ในหัวใจเหมือนที่ชาวยิวกลัวพระเจ้าจะลงโทษถ้าทำผิด และนั่นส่งผลสะเทือนมาถึงตอนจบของเรื่อง-ตอนจบที่คนดูบอกว่าเศร้าเหลือเกินนั่นแหละครับ

อย่างไรก็ดี การหายตัวไปของแตง-พี่สาวของโต้ง ทำให้ครอบครัวของโต้งเจ็บปวดจนต้องย้ายที่อยู่ เขาจึงถูกพรากไป ไม่ใช่พรากไปจากมิว แต่พรากไปจากโรงเรียนเซนต์นิโคลัส ซึ่งก็คือการพรากไปจากความเชื่อมั่นศรัทธาในแบบคริสตชน เรื่องนี้จะเห็นได้จากการที่ครอบครัวของโต้งไม่สวดก่อนอาหารอีกต่อไป การหายตัวไปของแตงทำให้ทั้งพ่อและแม่ (โดยเฉพาะพ่อ) ไม่เหลือศรัทธาในพระเจ้าและศาสนจักรอีก

เมื่อเราได้พบกับโต้งอีกครั้งในตอนโต เขาจึงเรียนอยู่ในโรงเรียนอะไรสักอย่างที่ผมเชื่อว่าไม่ใช่โรงเรียนคาทอลิก โดยดูจากชุดนักเรียนกางเกงสีดำ (ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นโรงเรียนรัฐบาล) สะท้อนให้เห็นถึงศรัทธาในศาสนาที่ครอบครัวนี้สูญเสียไปซ้ำอีกครั้ง โต้งจึงสามารถเรียนโรงเรียนอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงเรียนคาทอลิก

แต่มิว (ซึ่งไม่น่าจะใช่คาทอลิก) ยังเรียนอยู่ที่เซนต์นิโคลัส ปลูกฝังและเติบโตขึ้นมากับดนตรีที่เขารักและได้รับการถ่ายทอดมาจากอาม่า โดยสัญลักษณ์แล้ว เขาจึงยังอยู่กับความเป็นคาทอลิก ไม่ว่าจะเป็นคาทอลิกหรือไม่ก็ตาม

..................................

จากคุณ : ่Justin - [ 2 ธ.ค. 50 09:10:35 A:124.120.130.6 X: TicketID:137348 ]

ความคิดเห็นที่ 1

2.ความรักและคาทอลิก

เมื่อความรักถือกำเนิดขึ้น เด็กชายทั้งคู่เลือกเดินตามมันไป

สำหรับชาวคริสต์ แก่นสำคัญของศาสนาก็คือความรัก ดังนั้น เมื่อเด็กผู้ชายทั้งสองรักกัน จึงไม่น่าจะมีอะไรเป็นอุปสรรค

แต่ที่จริง ความเป็นคาทอลิกเองกลับกลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญในความรักของคนทั้งสอง แน่นอนว่าย่อม มีความจริงอยู่ในความรักตั้งมากมาย แต่กรอบใหญ่ของชีวิตบางกรอบก็พยายามขีดเส้นกั้นให้ความจริงบางอย่างเหนือกว่าบางอย่าง ความรักจึงมักถูกตีวงให้ต้องจำกัดตัวเองตามไปด้วย

สำหรับโต้ง ครั้งหนึ่งคริสต์มาสเคยหมายถึงการสิ้นสุด เขาเล่นละครเป็นลูกแกะอยู่บนเวที แต่แล้วเขาก็ต้องถูกบังคับให้พรากจากนายชุมพาบาลของตัวเองไป เขาต้องจากโรงเรียน จากเซนต์นิโคลัส จากเพื่อน และจากแม้กระทั่งความรักความอบอุ่นของครอบครัวตัวเองไปในวันคริสต์มาสนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่โต้งจะไม่ตื่นเต้นยินดีอะไรนักกับการจัดต้นคริสต์มาสของแม่ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังพกเอาความเป็นคาทอลิกเอาไว้ในตัวเต็มเปี่ยมเหมือนต้นไม้ที่ฝังรากลึกอยู่ในดิน

และแล้ว คริสต์มาสอีกครั้งหนึ่งก็ได้ทำให้เขาต้องตัดสินใจ คริสต์มาสที่พกเอาความเป็นคาทอลิกไว้ในตัวเต็มเปี่ยมไม่เพียงเคยทำให้ใครบางคนหล่นหายไปจากชีวิตของเขา แต่ความเป็นคาทอลิกยังรั้งเขาไว้ไม่ให้ย้อนกลับไปสานสัมพันธ์กับคนคนนั้นต่ออีกด้วย

หลายคนคาใจว่า เหตุใดเมื่อแม่ของโต้งอนุญาตกลายๆ แล้วว่าให้เขาเลือกสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด เขาจึงยังไม่เลือกที่จะคบกับมิวในฐานะแฟนอีก ผมคิดว่าประโยคสั้นๆ ที่โต้งบอกมิวในตอนท้ายว่า-เขาไม่อาจคบมิวในฐานะแฟนได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รักมิว-นั้น เป็นประโยคที่สรุปความเป็นเกย์คาทอลิกเอาไว้ได้ชัดเจนหมดจดที่สุด

ความเป็นคาทอลิกได้เอื้อมมือที่มองไม่เห็นเข้ามาเหนี่ยวรั้งความรักแบบเกย์ของโต้งเอาไว้ เขาจึงไม่อาจเดินต่อไปบนหนทางของความรักแบบนี้ได้ การเป็น ‘แฟน’ ของผู้ชายกับผู้ชายถือเป็นเรื่องผิดสำหรับคาทอลิก แต่โต้งก็ฉลาดพอที่จะบอกมิวว่า ถึงจะมีเงื่อนไขนี้ค้ำคออยู่ แต่เขาก็ยังสามารถ ‘รัก’ มิวได้

มันเป็นการลดเลี้ยวเพื่อหลีกหนีออกจากกรอบกั้นที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเด็กผู้ชายคาทอลิกที่รักกับเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่ง สิ่งที่หนังได้ทำลงไป จึงเป็นการวิพากษ์ความขัดแย้งในการตีความเรื่องความรักของศาสนจักรคาทอลิกอย่างแนบเนียนและแยบยล

มิวไม่ใช่คาทอลิก แต่มิวคือตัวแทนของ ‘ซานตาคลอส’ ผ่านการเป็นนักเรียนโรงเรียนเซนต์นิโคลัส (เฮ้ย! ได้ข่าวว่า-ึงไปคบกับเด็กโรงเรียนเซนต์นิโคลัสเหรอวะ-เพื่อนของโต้งเคยถามอย่างนั้น) ด้วยเหตุนี้ มิวจึงเป็นซานตาคลอสของโต้งมาโดยตลอด แม้มิวจะรับตุ๊กตาไม้ตัวนั้นมาจากโต้ง แต่มิวกลับคือผู้ให้ เป็นส่วนเติมเต็มของโต้ง เป็นความชื่นชมยินดีที่เหลืออยู่เพียงสิ่งเดียวในชีวิตของโต้ง

ถ้าคุณมองดูบ้านของโต้ง คุณจะพบบ้านที่มีเฟอร์นิเจอร์เพียงน้อยชิ้น มันคือบ้านที่แลดูรกร้างว่างเปล่าไม่ผิดอะไรกับจิตวิญญาณที่ว่างเปล่าของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง บ้านของโต้งดูมีฐานะร่ำรวย แต่ไม่เหลือความอบอุ่นอะไรอีกแล้ว ขณะที่มิวอยู่คนเดียว แต่บ้านของมิวกลับแลดูอบอุ่นอย่างประหลาด ผ้าปูที่นอนสีเขียวดูมีชีวิต เช่นเดียวกับคีย์บอร์ดและเสียงเพลง รวมถึงรูปถ่ายที่เป็นร่องรอยความอบอุ่นในอดีต เขายังได้สวัสดีอาม่าก่อนไปเรียน แม้อาม่าจะเหลือเพียงภาพถ่ายก็ตาม แต่โต้งไม่มีสิ่งเหล่านี้ มันหายไปพร้อมกับแตง

คำถามก็คือ ระหว่างมิวกับโต้ง ใครเป็น ‘คาทอลิก’ มากกว่ากัน?

ถ้าดูจาก ‘ฟอร์ม’ หรือรูปแบบภายนอก แน่นอน-โต้งย่อมเป็นคาทอลิกมากกว่า แม้เขาจะเรียนโรงเรียนรัฐบาล แต่ที่บ้านก็เป็นคาทอลิกแน่ๆ

แต่ถ้าดูจาก ‘สาระ’ ของชีวิตเล่า แม้มิวจะบอกว่าเหงา แต่ผมไม่รู้สึกเลยว่าเขาเหงา เขามีเพื่อน มีจิตวิญญาณของผู้ชราที่ล่วงลับล่องลอยเป็น ‘เพื่อน’ (เหมือนที่อาม่าเรียกเขา) อยู่เสมอ ชีวิตของมิวจึงอบอวลด้วยความรัก

และความรักก็คือสาระที่แท้ของการเป็นคาทอลิก

จึงเหมาะสมแล้ว ที่มิวจะใส่เสื้อนักเรียนที่ปักอักษรย่อว่า ซ.น.ค.

เพราะเขาคือซานตาคลอสของโต้ง

............................

จากคุณ : Justin - [ 2 ธ.ค. 50 09:12:20 A:124.120.130.6 X: TicketID:137348 ]

ความคิดเห็นที่ 2

3.กรอบที่กักขัง

ในฉากโต้งกลับบ้านมานอน และสินจัยเปิดประตูห้องนอนของโต้งเข้ามาหลังตามหาลูกชายมาทั้งคืน เราจะเห็นโปสเตอร์บนหัวนอนของโต้งเป็นรูปไม้กางเขน มีถ้อยคำเขียนว่า I Believe ซึ่งแปลว่า ฉันเชื่อ หรือฉันศรัทธา สีพื้นของโปสเตอร์นั้นมีสีเขียว ซึ่งในหนังให้เป็นสีของมิว โดยนัยนี้ มิวและความเป็นคาทอลิก จึงหลอมรวมเข้าหากันและกัน และวางตัวอยู่ใกล้ชิดกับโต้งมากกว่าที่ใครๆ คิด

ผู้กำกับใส่สัญลักษณ์ต่างๆ เข้ามาอย่างอ่อนโยน เมื่อมองในด้านกลับ ผมเลยอดคิดไม่ได้ว่าการโปรโมทหนังแบบจงใจลวงโดยไม่ใส่เรื่องเกย์เข้ามาเลยนั้น น่าจะเป็นเสมือนการร้องขอความเข้าใจที่นุ่มนวลจากสังคมโฮโมโฟเบียมากกว่าการจงใจหลอก เช่นกันกับการทำให้มิวมีความเป็นคาทอลิกอยู่ในตัวมากกว่าโต้ง ก็คือการสลับสาระกับรูปแบบ และการ ‘สลับ’ นี้ ก็ปรากฏอยู่ในเรื่องให้เห็นเป็นระยะ เช่น หน้าตาของมิวและโต้งในวัยเด็กกับวัยรุ่น คนที่อยู่กับโต้งตอนที่โต้งจะซื้อจมูกตุ๊กตาให้มิว (คือโดนัทกับหญิง) การสลับ ‘คุณค่า’ กับ ‘ราคา’ ที่แพงขึ้นผ่านกาลเวลาของตุ๊กตาตัวนั้น การสลับบทบาทในครอบครัวของสินจัยและทรงสิทธิ์ การที่มิวลุกขึ้นร้องเพลงบนเวทีทั้งที่บอกว่าร้องไม่ได้อีกต่อไปแล้ว การสอดใส่ ‘จมูก’ ของตุ๊กตาของเล่นที่ไม่พอดีในตอนจบ และแม้แต่การทำให้ต้นคริสต์มาสในบ้านของโต้งมองดูสูงชะลูดคล้ายเป็น phallic symbol ทั้งยังดูหดหู่ผิดจากต้นคริสต์มาสทั่วไป

การสลับสิ่งเหล่านี้ แง่หนึ่งทำให้เกิดความขัดแย้ง บางครั้งเกือบจะฉูดฉาด ทว่าผู้กำกับควบคุมไว้ได้ให้มันนวลเนียน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผมรู้สึกคล้ายกับว่าหนังต้องการให้เรามองโลกใบเดิม (เช่น ‘สยาม’ ซึ่งสุดแสนจะ Cliché ไม่ว่าจะหมายถึงสยามสแควร์หรือสยามประเทศ) เสียใหม่ ด้วยการหยิบคุณค่าความหมายใหม่ๆ ใส่เข้ามา หรือถ้าหาคุณค่าความหมายใหม่ไม่ได้ในโลกใบที่ทุกอย่างซับซ้อนสับสนและไม่มีใครค้นพบอะไรใหม่ ก็อาจทำเพียงมองมันสลับที่กันบ้างเท่านั้นเอง เพียงเท่านั้น-บางครั้งก็อาจทำให้ชีวิตน่าอยู่มากขึ้น ไม่เปล่าดายจนเกินไป และอาจมีความเหงาในหัวใจน้อยลง

บางทีเราก็ไม่อาจต่อกรกับกรอบใหญ่ๆ ในชีวิตได้ทั้งหมด มือที่มองไม่เห็นมักยื่นเข้ามาควบคุมเราอยู่เสมอ การสลับที่ของบทบาทและความหมายเหล่านี้ จึงเป็นการปฏิวัติเงียบต่อโครงสร้างใหญ่ที่กดทับเราอยู่ สำหรับผม หนังเรื่องนี้คือการตะโกนใส่หน้าศาสนจักรคาทอลิกว่าฉันจะรัก เพราะความรักคือเนื้อแท้ของมนุษย์ และเป็นเนื้อแท้ของความเป็นคาทอลิกด้วย

ใครที่บอกว่า วัยรุ่นสมัยใหม่สนใจแต่ตัวเอง ลองคิดดูอีกทีหนึ่งนะครับ เพราะแม้ในหนังเรื่องนี้ที่มีท่าที ‘พูดถึงตัวเอง’ เต็มที่ ก็ยังแอบแฝงการวิพากษ์โครงสร้างใหญ่ชนิดที่คนรุ่นก่อนไม่เคยกล้าทำเอาไว้ได้อย่างน่าทึ่ง

หนังเรื่องนี้คือการประกาศว่ามีเกย์คาทอลิกอยู่ในโลกนี้จริงๆ และพวกเขาคือเกย์คาทอลิก

ไม่ว่าจะพลิกดูจากความหมายไหน !

.................................

หมายเหตุ: (นอกจากจะเป็นบรรณาธิการหนุ่มไฟแรงแห่งนิตยสาร GM แล้ว โตมร ศุขปรีชา ยังเป็นนักเขียน-นักแปลและคนทำงานด้านความคิดที่มีมุมมองทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจอีกด้วย บทวิจารณ์หนังเรื่อง 'รักแห่งสยาม' ในครั้งนี้ คงเป็นหลักฐานมัดตัวผู้เขียนจากถ้อยคำนี้ได้เป็นอย่างดี - นันทขว้าง สิรสุนทร)

โตมร ศุขปรีชา

จากคุณ : ่Justin - [ 2 ธ.ค. 50 09:13:04 A:124.120.130.6 X: TicketID:137348 ]

ความคิดเห็นที่ 3

เยี่ยมมากๆๆครับ

ลึกซึ้งในแง่มุมทางศาสนา

จากคุณ : Love@here - [ 2 ธ.ค. 50 09:36:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4

ได้เข้าใจรักแห่งสยามในอีกมุมมองหนึ่งอย่างขาดไม่ถึง

ขอบคุณครับ

จากคุณ : เด็กภูเวียงโดยกำเนิด - [ 2 ธ.ค. 50 10:07:58 ]

ความคิดเห็นที่ 5

สุดยอดครับ ไม่ vote ไม่ได้แล้ว

จากคุณ : mr.sac - [ 2 ธ.ค. 50 10:09:28 ]

ความคิดเห็นที่ 6

มีอีกหลายประเด็นที่ผมไม่รุเลยนะครับเนี่ย
ขอบคุณที่เอามาแบ่งปันนะครับ ชอบครับชอบ

" มิวจึงเป็นซานตาคลอสของโต้งมาโดยตลอด " ชอบอันนี้อ่ะ

จากคุณ : ulty - [ 2 ธ.ค. 50 10:11:09 ]

ความคิดเห็นที่ 7

อ่อ ... โถ่ นึกว่าใคร คุณหอกเล่มโตนี่เอง (มิน่าเขียนได้ขนาดนี้ ..) หึหึหึ

จากคุณ : เด็กน้อยในไร่ส้ม - [ 2 ธ.ค. 50 10:13:45 ]

ความคิดเห็นที่ 8

"รักแห่งสยาม" เป็นหนังที่ลุ่มลึกและแยบยล
มีอะไรให้ค้นหา ตีความ อย่างไม่รู้จบจริงๆ
สมแล้วที่คุณมะเดี่ยวใช้เวลาเขียนบทถึง 5 ปี

จากคุณ : JEDIYUTH - [ 2 ธ.ค. 50 10:16:03 ]

ความคิดเห็นที่ 9

ผู้เขียน(คุณโตมรฯ) เยี่ยมค่ะ
เพิ่งดูเรื่องนี้กับรุ่นพี่เมื่อวาน ก็วิจารณ์กันเรื่องอิทธิพลของคาทอลิกต่อ "ความรัก" ของเด็กคู่นี้เหมือนกันค่ะ

จากคุณ : cat in the cradle - [ 2 ธ.ค. 50 10:17:08 ]

ความคิดเห็นที่ 10

บทความดีครับ ว่าแต่ว่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนใส่กางเกงสีดำหรือเปล่าครับ แล้วเป็นเอกชนหรือเปล่าครับ

จากคุณ : 2โล7 - [ 2 ธ.ค. 50 10:23:53 ]

ความคิดเห็นที่ 11

รร.กรุงเทพคริสเตียน ใส่กางเกงสีดำ แล้วก็เป็นเอกชน แน่นอน ค่ะ

จากคุณ : หนูอยากเห็นคนไทยบินได้ - [ 2 ธ.ค. 50 10:43:06 ]

ความคิดเห็นที่ 12

Vatican Congregation for the Doctrine of Faith (CDF)
Letter to the Bishops of the Catholic Church on the Pastoral Care of Homosexual Person:1986

รับรองเอกสารโดย JOSEPH CARDINAL RATZINGER
(สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิก ที่ 16)

การมีความสนใจในเพศเดียวกันไม่เป็นบาป
"ความเอนเอียงในทางเพศเดียวกันของคนรักร่วมเพศไม่เป็นบาป…
เนื่องจากมนุษย์แต่ละคนถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาของพระเจ้า
การที่บางคนถูกอ้างถึงโดยมุมมองที่จำกัดเพียงเพราะเขาหรือเธอ
เป็นพวกรักร่วมเพศนั้น เป็นการอ้างอิงที่ไม่มีเหตุเพียงพอ"

จากคุณ : AlleluiA - [ 2 ธ.ค. 50 10:48:53 ]

ความคิดเห็นที่ 13

คุณโตมร สุดยอดอีกแล้ว

จากคุณ : cotton-bud - [ 2 ธ.ค. 50 10:58:19 ]

ความคิดเห็นที่ 14

ผมให้ a++ คับคุณโตมร

จากคุณ : [C]haruru - [ 2 ธ.ค. 50 11:00:01 ]

ความคิดเห็นที่ 15

นี่แหละครับคุณโตมรที่ผมรู้จักจากผลงานต่างๆของเค้า

:) อีก 1 บทความที่งดงาม

จากคุณ : *omega* - [ 2 ธ.ค. 50 11:00:09 ]

ความคิดเห็นที่ 16

อ่านบทความนี้แล้วยอมรับได้เลยว่าทำไมโต้งถึงบอกมิวไปเช่นนั้น

เข้าใจแล้วครับ ไม่คาใจแล้วและสมเหตุสมผลครับ ขอบคุณครับ

จากคุณ : pap - [ 2 ธ.ค. 50 11:10:34 A:222.123.239.97 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17

love it!

จากคุณ : pizzicatoj - [ 2 ธ.ค. 50 11:14:36 ]

ความคิดเห็นที่ 18

สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

แต่โต้งเรียน โรงเรียนประมาณแบบกรุงเทพคริสเตียนค่ะ
ดูจากเครื่องแบบ แฟนบอก กท. ปักสีแดง ใส่กางเกงดำ

น่าจะอ้างอิงจากที่นั่นนะ

จากคุณ : Hermione Granger - [ 2 ธ.ค. 50 11:41:18 ]

ความคิดเห็นที่ 19

รู้สึกดีที่ได้อ่านค่ะ
และยังคงรู้สึกดีเสมอที่ได้ดูหนังเรื่องนี้

จากคุณ : simjuan - [ 2 ธ.ค. 50 11:45:22 ]

ความคิดเห็นที่ 20

ถ้าชอบและรักหนังเรื่องนี้ ไปลงชื่อกันครับ
http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A6085515/A6085515.html
กระทู้รวมพลคนรัก "รักแห่งสยาม" #5

จากคุณ : winter love song - [ 2 ธ.ค. 50 12:10:35 ]

ความคิดเห็นที่ 21

เนื่องจากผมก็เป็นเด็กพุทธในสังคมคริสตชน
ผมสามารถจดจำบทสวด, คำร้อง, และเพลงทุกเพลงที่เปล่งออกมาจากใจ
ตั้งแต่สมัยเด็กได้

คงเป็นเพราะเหตุนี้กระมังครับที่ทำให้ผมหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงประเด็นนี้ใน
ทุกความเห็นที่ผมให้ไว้ หากแต่เพื่อการชี้แจง ผมคงต้องให้ข้อมูลบางอย่าง
เพื่อให้ทราบถึง "ศรัทธาที่สิ่งสุญ" ของครอบครัวโต้ง

วัน Eve หรือวันสุกดิบ เป็นวันที่ชาวคริสตชนจะกลับบ้านมารวมตัวกัน เพื่อ
ทานอาหารร่วมกัน ถือเป็นวันครอบครัวที่สำคัญที่สุดของชาวคริสตชน
หากแต่ว่าในวันนั้น คุณสุนีย์ และคุณกรณ์ต้องออกไปทำธุระสำคัญจนต้อง
ทิ้งโต้งไว้กับอาม่า คุณทราบไหมครับว่า โต้งสวดมนต์มากกว่าหนึ่งรอบ?

อีกรอบนั้นผมคิดว่า โต้งสวดแทนพี่แตง เป็นการภาวนาให้พระเจ้าทาง
ปกปักษ์คุ้มครองที่สาวอันเป็นที่รักยิ่งของตน

ผมเชื่อว่า ผู้กำกับต้องการแสดงแง่มุมลึก ด้วยการฉากไปที่ปฏิทินของ
ครอบครัว (ทำไมผมถึงใช้คำนี้) เพราะปฏิทินนี้บอกกิจวัตรของทุกคนใน
ครอบครัว

22 Dec - แตงกลับกรุงเทพ
24 Dec - มิวแสดงในงานโรงเรียน

วันที่แตงโทรมาหาคือวันที่ 24 Dec และมีบทพูดว่า "ได้คืบจะเอาศอก" แฝง
มุมลึกว่า แตงโทรมาขอครั้งหนึ่งแล้วในวันที่ 23 Dec

ประเด็นของการสิ้นศรัทธาก็อยู่ตรงนี้
พระเจ้าได้พรากสิ่งสำคัญของครอบครัวไปในวัน Eve พระเจ้าไม่อนุญาตให้
ครอบครัวพร้อมหน้าในวัน Eve
[หากแต่อาจเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ให้เราภาวนา]

*********************************************

ประเด็นที่สอง

สังเกตดูสิครับว่าถาพบนโต๊ะที่กองอยู่ตอนกรณ์เริ่มดื่มเหล้า
มีภาพของแตงอยู่มากมาย เสมือนหนึ่งว่า "สุนีย์กำลังเก็บภาพของแตงออก"
เพื่อแอบซ่อนความเศร้า

และคุณจะสังเกตได้ว่า ทุกฉากที่ครอบครัวมีปัญหาโต้งจะต้องกลายเป็น
"ผู้สังเกตการณ์"เสมอ
-วันที่คุณกรณ์ดื่มเหล้า โต้งอยู่ตรงบันได
-เวลาที่คุณสุนีย์แอบร่ำไห้กอดหมอน โต้งแอบตรงประตู
-หรือการที่โจ้งแอบมองอยู่เงียบๆ อีกหลายครั้ง

**********************************************

ประเด็นที่สาม

เป็นประเด็นตลกหน้าตายของผู้กำกับ
คุณสังเกตได้นะครับ(จากการพยายามรับชมรายละเอียดการจัดแต่งห้อง
และเครื่องแต่งกาย) ผมเข้าไปดูรอบหนึ่ง เพื่อมองแต่สิ่งเหล่านี้ โดยไม่มอง
นักแสดงเลย

จูนสวมสร้างกางเขนเล็กๆอยู่ที่คอเสมอ ตั้งแต่ออกโรง(ในห้องพี่อ๊อด)
ผมคิดว่านี่เป็นจุดที่ทำให้กรณ์เชื่อว่านี่คือลูกสาว
และผมพิจารณาว่า การเปลี่ยนบทสวดให้ผลสองประเด็นคือ
-บอกให้ทราบว่าจูนไม่ใช่คริสตชน
-เป็นสารถึงกรณ์ว่า ลูกสาวที่แสนซน และขี้เล่นกลับมาแล้ว
-แลเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้สุนีย์หลงคิดว่าจูนเป็นลูกสาวแท้ๆในภายหลัง
เนื่องจากขณะที่กรณ์หมดสติ และสุนีย์ไม่สามารถโทรหาโต้งได้ เธอได้เรียก
จูนว่า "แตง" โทรหาโต้งให้ที แปลว่าในใจเธอได้ตอกย้ำว่าจูนคือแตง ในยาม
ที่วิตกจริตเข้าครอบงำ

**********************************************

ประเด็นที่สี่

บทลงท้ายของศรัทธา ศรัทธาที่สิ้นสูญไปในวัน Eve ก็ได้กลับมาสู่ครอบครัว
อีกครั้งในวัน Eve 6 ปีให้หลัง และการยอมรับความจริงของครอบครัวได้โดย
"ผมรู้แล้ว" "ผมรู้หมดแล้ว"

**********************************************

จริงๆมีอีกเกือบ20ประเด็นที่ท่านอื่นไม่ได้เอ่ยถึง แต่ตอนนี้ต้องทานอาหาร
กลางวันแล้วครับ >.< ถ้าสามารถ จะกลับมาเขียนเพิ่มให้นะครับ

จากคุณ : VoidOne - [ 2 ธ.ค. 50 12:14:08 ]

ความคิดเห็นที่ 22

ประทับใจดี

จากคุณ : อิฐมอญ - [ 2 ธ.ค. 50 12:15:46 ]

ความคิดเห็นที่ 23

เยี่ยมมมมมมมม

จากคุณ : chal2t - [ 2 ธ.ค. 50 12:16:18 ]

ความคิดเห็นที่ 24

เขียนได้เจ็บปวดจริงๆครับ
สังคมก็ยังปิดกั้นความรักแบบนี้ไว้จริงๆ

จากคุณ : blueboyhub - [ 2 ธ.ค. 50 12:25:35 ]

ความคิดเห็นที่ 25

กระทู้นี้เยี่ยมมากครับ
ผมอ่านแล้ว "ขนลุก" เลยครับ

จากคุณ : Nemo2004 - [ 2 ธ.ค. 50 12:33:08 ]

ความคิดเห็นที่ 26

ยอดเยี่ยมครับ

ผมรู้แต่ทางพุทธแฮะ ^_^

จากคุณ : ลูกลิงตัวอ้วน - [ 2 ธ.ค. 50 12:52:35 ]

ความคิดเห็นที่ 27

มองได้อย่าทะลุทะลวง สุดยอดเลยแฮะ

จากคุณ : kwangdow - [ 2 ธ.ค. 50 13:07:29 ]

ความคิดเห็นที่ 28

เขียนได้เทพคับ

" มิวเป็นซานต้าของโต้ง "

จากคุณ : นักล่าฝันทุก 16 วัน (sun_utcc) - [ 2 ธ.ค. 50 13:25:17 ]

ความคิดเห็นที่ 29

ผมได้อ่านบทความนี้ จากเว็บตรง เมื่อคืน แต่วันนี้ เห็นชื่อกระทู้ ก้อคลิกเข้ามาอ่านอีก ....
มีที่สังเกต เหมือนคุณโตมร ตั้งแต่อยู่ในโรงหนัง (ประเด็นเล็ก ๆ ตอนนั้น เพราะคดว่า รู้สึกอยู่คนเดียว ออกมาคุยกะเพื่อน ไม่เห็นมันรู้สึกเหมือนผมเลย) ก้อคือ หน้าของนักแสดงเด็ก มิวกะโต้ง เหมือนจะ(จงใจให้) สลับกัน
แต่ถึงตอนนี้ ใครช่วยอธิบาย หรือ ไขความกระจ่างเพิ่มเติม (จากคุณโตมร) ได้มั๊ยครับว่า ตกลงแล้ว "รักแห่งสยาม" คือ สยามที่ว่าเนี่ย มันใช่ สยามแสควร์ ??? สยามประเทศ???
สุดท้าย .. ขอบคุณทั้งผู้กำกับที่แยบยลทางความคิดและการถ่ายทอด และนักแสดงทุกคนในเรื่อง ที่ดำเนินบทบาทของตนเองได้อย่างเต็มที่ (ทำให้ประเด็นของหนัง ไม่ถูกชักจูงไปว่า เป็นหนังเกย์เท่านั้น แต่เป็นความรัก ความสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ อาม่า-อากง อาม่า-หลาน เพื่อน-เพื่อน พ่อ-แม่ แม่-ลูก ฯลฯ)
จาก อดีตเด็กพุทธในสังคมคริสตชน (เช่นเดียวกับคุณ VoidOne)

จากคุณ : jiyuu (jiyuu) - [ 2 ธ.ค. 50 13:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 30

ชอบครับ ^^

จากคุณ : -=| thopical |=- - [ 2 ธ.ค. 50 13:30:45 ]

ความคิดเห็นที่ 31

คุณ VoidOne ความเห็น 21 ก็เยี่ยมมากครับ ขอบคุณครับ

จากคุณ : mr.sac - [ 2 ธ.ค. 50 14:09:52 ]

ความคิดเห็นที่ 32

คห ที่ยี่สิบเอ็ด เจ๋งจริงๆเลย

จากคุณ : ลูกกวาดสีแดง - [ 2 ธ.ค. 50 14:25:18 ]

ความคิดเห็นที่ 33

โอ้ว ผมพลาดคห. 21 เพียงนาทีกว่าๆ

ขอบคุณมากๆ ครับ

โอ๊ยยยยยยยย

อยากดูอีกหลาย ๆ รอบ ชอบมากครับเรื่องนี้

จากคุณ : อิฐมอญ - [ 2 ธ.ค. 50 14:30:34 ]

ความคิดเห็นที่ 34

ขอบคุณคุณโตมรและคุณ VoidOne ครับ

เอ้อ คุณมะเดี่ยวด้วย

จากคุณ : ไอ้แอนนนนน - [ 2 ธ.ค. 50 14:34:16 ]

ความคิดเห็นที่ 35

เป็นความรัก เด็กเซนต์คาเบรียล (ซนค. เอ่อ ซค) (กางเกงฟ้า) กับ เด็ก กท คริสเตียน (กางเกงดำ) (กบว ป่าว อิอิอิ)
แบบว่า เด็ก กท.คริสเตียน มาสยามง่ายก่า .... เด็ก เซนต์คาเบรียล ต้องขึ้นรถเมล์สาย 16 มาลง มายากก่าหน่อย...
แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 50 14:55:24

จากคุณ : คนจะสวยที่ 30 - [ 2 ธ.ค. 50 14:44:33 ]

ความคิดเห็นที่ 36

มะเดี่ยว profile
_________________

เกิดวันที่ 15 มีนาคม 1981 ที่จังหวัดเชียงใหม่

ปี1999 เอ็นติดคณะนิเทศ จุฬา เลือกเรียนภาคฟิล์ม (ภาพยนตร์และภาพนิ่ง) เพราะคิดว่าเหมาะกับตัวเองมากที่สุด

การศึกษา จบคณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาภาพยนต์และภาพนิ่ง มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์

พี่เขาใช้ชีวิตวัยเด็กที่เชียงใหม่บ้านเกิด และ'โรงเรียนมงฟอร์ดวิทยาลัย' สถานที่นี้เองที่เป็นโรงเรียนดนตรีให้แก่พี่เขา ไปๆมาๆพี่เขาก็ถูกจับเข้าวงโยธวาทิต ตอนแรกพี่เขาไม่อยากเรียนเพราะว่าได้คราวที่นี้เรียนกันจริงจัง รุ่นพี่โหด แต่ก็ลองดูเพราพี่เขาเป็นคนชอบเสี่ยง แม่นานพี่เขาก็เบื่อ โดดซ้อมแล้วไปติดเกมส์ จนอยากลาออกจากวง แต่ก็มีสิ่งที่ดลใจให้พี่เขากลับไป เมื่อเข้าสู่มัธยมปลาย พี่เขาก็ได้เป็นหัวหน้าวงโยธวาทิต โดยพี่เขาทำหน้าที่บริหาร(ต้องเล่นเพลงอะไร อาทิตย์นี้จะซ้อมเพลงอะไร) พอจบม.6 ทางโรงเรียนมอบทุนให้พี่เขาไปเรียนดนตรีที่ญี่ปุ่น แต่พี่เขาก็ปฏิเสธ ไปๆมาๆ(อีกล่ะ)พี่เขาก็เลยตัดสินใจเรียนที่นิเทศจุฬา และทำหนังออกมาอย่างในปัจจุบัน

--------------------------------------------------------------------------------

ผลงาน

2543 หนังสั้นเรื่อง “บ้านเก่า”
2544 หนังสั้นเรื่อง “ดงรกฟ้า”, “วิมานนี้สีชมพู ”
2545 หนังสั้นเรื่อง “มอเตอร์ไซค์ฮ่าง”, “ลมเยาวราช”
2546 หนังสั้นเรื่อง “2003”, “สารคดีว่าด้วยอนาคตของชาติ” และ “ลี้” -หนังที่มีความยาวเหมือนหนังใหญ่ และแอบฉายตามโรงไปแล้วหลายรอบ

ผลงานกำกับ

2547 ภาพยนตร์เรื่อง “คน ผี ปีศาจ”
2549 ภาพยนตร์สั้นเรื่อง “12” (12 Begins) และ ภาพยนตร์เรื่อง “13 เกมสยอง” (13 Beloved)
2550 ภาพยนตร์เรื่อง “รักแห่งสยาม”

ผลงานอื่นๆ

2550 ช่วยเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “บอดี้ศพ#19”

2543 เพลงประกอบละครเวทีนิเทศจุฬาเพลง "คืนอันเป็นนิรันดร์"

2550 เพลงประกอบภาพยนตร์ "รักแห่งสยาม" เพลง "กันและกัน","Ticket"

--------------------------------------------------------------------------------

รางวัล

หนังสั้น “สารคดีว่าด้วยอนาคตของชาติ”
- รองชนะเลิศรางวัลช้างเผือกประจำปี 2003

ภาพยนตร์ “13 เกมสยอง”
- Best of Puchon: Puchon International Film Festival (PiFan) ครั้งที่ 11 ประเทศเกาหลี
- Best Asian Film award: European Fantastic Film Festival Federation Asian Award หรือ EFFFF
- Best Asian Film: The Golden Prize จาก The Fantasia International Film Festival ครั้งที่ 9 ประเทศแคนาดา
- เข้าร่วมใน 4 เทศกาลภาพยนตร์ระดับโลก อาทิ Hannya Film Festival 2007 (สเปน) Udine Far East Film Festival (อิตาลี), Neuchatel International Fantastic Film Festival (สวิสเซอร์เลนด์), Fantasia International Film Festival (แคนาดา), Puchon International Fantastic Film Festival (เกาหลี)
- รางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ-รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมฝ่ายชายยอดเยี่ยม, รางวัลการสร้างภาพพิเศษ
- รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง-รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมฝ่ายชายยอดเยี่ยม,รางวัลลำดับภาพยอดเยี่ยม
- รางวัลสตาร์เอนเตอร์เทนเมนท์อวอร์ด-รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมฝ่ายชายยอดเยี่ยม,รางวัลถ่ายภาพยอดเยี่ยม
- รางวัลสตาร์พิคส์อวอร์ด-รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมฝ่ายชายยอดเยี่ยม
- รางวัลพระสุรัสวดี(รางวัลตุ๊กตาทอง)

- รางวัลถ่ายภาพยอดเยี่ยม

จากคุณ : คนจะสวยที่ 30 - [ 2 ธ.ค. 50 15:05:29 ]

ความคิดเห็นที่ 37

คุณโตมร ศุขปรีชา

ยอดเยี่ยมมากจริงๆ แม้ผมจะไม่ได้มองข้ามประเด็นเดียวกัน

แต่ไม่ได้มองลึกซึ้งแบบนี้ขนาดนี้ ปรบมือให้จริงๆครับ ^_^

ละก็คุณคุณ VoidOne ความเห็น 21 ก็เก่งมากๆเหมือนกัน

ขอบคุณด้วยอีกคน ยิ่งดูยิ่งมีอะไรมากขึ้น จนอยากไปดูอีกรอบแล้วสิเนี่ย

จากคุณ : -tak- - [ 2 ธ.ค. 50 15:56:57 ]

ความคิดเห็นที่ 38

VoidOne ขอแย้งนิดนึงครับ

1. วันที่แตงโทรมาหาคือวันที่ 24 Dec และมีบทพูดว่า "ได้คืบจะเอาศอก" แฝง
มุมลึกว่า แตงโทรมาขอครั้งหนึ่งแล้วในวันที่ 23 Dec

- - ที่บอกว่าได้คืบจะเอาศอก
'คืบ' น่าจะเป็นตอนที่สุนีย์เห็นแตงหอบของไปเยอะนะครับ แล้วถามว่าเอาของไปทำไมเยอะแยะ แล้วแตงก็บอกว่า แตงขอพ่อแล้ว พ่อบอกให้มาขอแม่ นั่นคือ 'คืบ' ที่ได้ไปครับ แล้ววันที่โทรมาขออยู่ต่ออีก 1 วัน น่นคือ 'ศอก' ครับ คิดว่าใช่

2. และคุณจะสังเกตได้ว่า ทุกฉากที่ครอบครัวมีปัญหาโต้งจะต้องกลายเป็น
"ผู้สังเกตการณ์"เสมอ
-วันที่คุณกรณ์ดื่มเหล้า โต้งอยู่ตรงบันได

- - โต้งอยู่ตรงบันได ในวันที่สุนีย์ระบายความอึดอัดให้จูนฟังครับ หน้าโต้งจะโผล่ออกมาพร้อมเพลง 'คืนอันเป็นนิรันดร์' อันนี้จำแม่น

3. จูนสวมสร้างกางเขนเล็กๆอยู่ที่คอเสมอ ตั้งแต่ออกโรง(ในห้องพี่อ๊อด)
ผมคิดว่านี่เป็นจุดที่ทำให้กรณ์เชื่อว่านี่คือลูกสาว
และผมพิจารณาว่า การเปลี่ยนบทสวดให้ผลสองประเด็นคือ
-บอกให้ทราบว่าจูนไม่ใช่คริสตชน
-เป็นสารถึงกรณ์ว่า ลูกสาวที่แสนซน และขี้เล่นกลับมาแล้ว
-แลเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้สุนีย์หลงคิดว่าจูนเป็นลูกสาวแท้ๆในภายหลัง
เนื่องจากขณะที่กรณ์หมดสติ และสุนีย์ไม่สามารถโทรหาโต้งได้ เธอได้เรียก
จูนว่า "แตง" โทรหาโต้งให้ที แปลว่าในใจเธอได้ตอกย้ำว่าจูนคือแตง ในยาม
ที่วิตกจริตเข้าครอบงำ

- - ฉากก่อนจะออกมาจากบ้าน ที่สุนี์ฺตะโกนเรียก จูน ให้มาช่วยนั่น ผมว่า เรียกไปเพราะตอนนั้นคิดว่ากรคงไม่ได้มีสติพอที่จะฟังว่า ใครเป็นใครในตอนนั้น ส่วนพออยู่ในรถแล้วเรียกแตงนี่ เพราะกรอยู่ด้วยมั๊งครับ อยู่แบบใกล้ชิด เลยจำเป็นต้องใช้ชื่อลูกสาวเพื่อตามน้ำอยู่

ครับ ด้วยความนับถือ

จากคุณ : ไอ้วู่ - [ 2 ธ.ค. 50 16:02:30 ]

ความคิดเห็นที่ 39

ประเด็นชื่อโรงเรียนยังไม่ค่อยแน่ใจว่าพี่มะเดี่ยวต้องการจะสื่ออย่างที่ว่ารึเปล่านะครับ

เพราะจำได้ว่าใน 12 หรือ 13 โรงเรียนของตัวเอกก็ชื่อเซนต์นิโคลัสเหมือนกัน

จากคุณ : อินทรชิต - [ 2 ธ.ค. 50 16:23:53 ]

ความคิดเห็นที่ 40

ตอบคุณค.ห.38

ผมชี้ให้เห็นแล้วว่ามีปฏิทินบอกว่าจะกลับวันที่22 การที่โทรศัพท์มาก็ใช้บท
พูดว่า "ขออยู่ต่ออีกหนึ่งวัน"

ตอนอยู่ตรงบันได มีมากกว่า1ครั้งนะครับ มีตอนเด็กด้วยนะครับ

ผมว่าตอนหน้าบ้านที่เรียกจูน สุนีย์ยังมีสติดีอยู่ครับ สังเกตจากน้ำเสียง
ผว่าเธอตัดสินใจได้เยือกเย็น แต่เมื่อเวลาผ่านไปความวิตกก็ทำให้สุนีย์เริ่ม
สติแตกขึ้นในรถยนตร์

จากคุณ : VoidOne - [ 2 ธ.ค. 50 16:53:10 ]

ความคิดเห็นที่ 41

เข้ามาอ่านความเห็นที่ 21 ของคุณ VoidOne ค่ะ

ไม่ว่าความเห็นจะเหมือนหรือต่างกัน ฉันมองว่าเกิดจากความละเมียดละไมของคนดูหนังค่ะ
ฉันเอง...ดูหนังไม่บ่อยนัก บางเรื่องอยากดูแต่ขี้เกียจ หรือไม่ก็พลาดไปอย่างน่าเสียดาย แต่เรื่องนี้อยากดูและไม่ได้คาดว่าจะเป็นหนังรักหวานแหวว จึงดูแล้วรู้สึกดีมากๆ ยอมรับว่ายัง in อยู่ไม่หาย (แต่ไม่เกินพอดีแน่นอนค่ะ) พอมาอ่านใน pantipแล้วก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นที่ได้เห็นความละเมียดละไมของใครหลายๆคนในนี้

ชื่นชมคุณมะเดี่ยว และนักแสดง รวมทั้งคนดูหนัง ที่ส่งสัมผัสถึงกันได้อย่างนี้ค่ะ

จากคุณ : simjuan - [ 2 ธ.ค. 50 17:26:59 ]

ความคิดเห็นที่ 42

ขนลุกจริงๆ
ขนลุกที่คนๆนึงสามารถคิด สร้าง ถ่ายทอดรายละเอียดได้มากขนาดนี้

ขนลุกที่หลายๆคนสามารถรับสารจากหนังเรื่องนี้ได้ทั้งที่เค้าพยายามจะเล่นเกมซ่อนหากัน

บ้านของโต้งได้รับอิทธิพลการเล่นซ่อนหา มาจากตัวคุณมะเดี่ยวรึเปล่าเนี่ย

จากคุณ : มะระอบเกลือ - [ 2 ธ.ค. 50 17:46:34 ]

ความคิดเห็นที่ 43

ขอบคุณคุณ VoidOne ที่ลางไม (กันระบบลบข้อความ) มาให้อ่านนะครับ

จากคุณ : *omega* - [ 2 ธ.ค. 50 18:15:34 ]

ความคิดเห็นที่ 44

ไปตอบเรื่องของน้องโอ้กับคุณสินจัยไว้ที่กระทู้นี้ต่อน่ะครับ

http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A6086778/A6086778.html#14

************************************

ถ้าพี่ๆส่งหลางมายมาหาแล้วเต็มก็ขออภัยนะครับ T-T หลางมายของผม
เต็มเร็วมากๆ มีพี่ๆใจดีน่ารักๆ ส่งมาคุยด้วย โดยเฉพาะเรื่องสามก๊ก(ฮา)
ตลอดเลย
จากที่ปรกติวันละ50-60ข้อความ พอมากระแสรักแห่งสยามก็เพิ่มจำนวนขึ้น
เป็น80-110ข้อความต่อวัน ผมจะพยายามลบ และเข้ามาดูบ่อยๆนะครับ

ส่วนพี่ๆที่รอผมใน MSN ก็ขออภัยนะครับ เข้าไปแล้วเด้งออก(เหมือนเช็คเด้ง
เลย[ฮา])ตลอดเลยน่ะครับ ถ้ามีเวลาผมจะมารวบรวมฉากที่โดนตัดออกให้
นะครับ ผมรวบรวมมาได้พอสมควร บางส่วนได้ Dialogue ด้วยน่ะครับ

************************************

ป.ล. อวยพรให้คณหนูโ1 สมัครเป็นประธานแฟนคลับน้องพิชได้สำเร็จ
ดังที่หวังไว้นะครับ

จากคุณ : VoidOne - [ 2 ธ.ค. 50 18:17:40 ]

ความคิดเห็นที่ 45

ชอบจัง ..

จากคุณ : กเฬวราก - [ 2 ธ.ค. 50 18:23:36 ]

ความคิดเห็นที่ 46

ลึกซึ้งมากๆ
ถูกใจสุดๆ
เป็นบทวิพากษ์ของรักแห่งสยามที่มีมติมากที่สุดที่เคยอ่านมา

จากคุณ : alizm - [ 2 ธ.ค. 50 18:41:42 ]

ความคิดเห็นที่ 47

ไปดูมารอบล่าสุด ได้ยินสุนีย์เรียกจูนว่า "แตง" ในรถตอนที่จะส่งกรไปโรงพยาบาลเหมือนกัน ยังคิดเลยว่า เอ๊ะ!! ผิดรึเปล่า .. แต่จริงๆตั้งใจใช่ไม๊คะ?

อ่านคห.21 แล้วเก็ตเลยค่ะ

ทำไมหนังเรื่องนี้มันลึกซึ้ง มองได้หลายแง่หลายประเด็นมากๆเลยอ่ะ ขนลุกเลย ตั้งแต่ที่บอกว่า ชื่อโรงเรียนของมิวแล้ว ทึ่งอ่ะ!!คุณมะเดี่ยวศรี.. สุดยอดดดด!!

จากคุณ : Kimi ni Aitai - [ 2 ธ.ค. 50 20:45:38 ]

ความคิดเห็นที่ 48

จะรออ่านขอบคุณ VoidOne ต่อนะครับ คุณโตมรก็เยี่ยมเลย

จากคุณ : O-So Good - [ 2 ธ.ค. 50 20:46:37 ]

ความคิดเห็นที่ 49

ขอบคุณมากๆ จ้า เยี่ยมยอดที่สุด haha .....

ดอกไม้
_______________________________________________________

จากคุณ : กำปงพิราเทวี - [ 2 ธ.ค. 50 21:29:52 ]

ความคิดเห็นที่ 50

เยี่ยม

จากคุณ : charmer - [ 2 ธ.ค. 50 22:00:42 ]

ความคิดเห็นที่ 51

ถ้ามิว เป็นซานตาคลอสของ โต้ง ตามที่คุณโตมรวิจารณ์ ก็พ้องกับที่ เพื่อนโต้งพูดตอน ใกล้จบที่หญิงเดินมาหา บอกว่า

" โต้งมันเป็นคริสต์ มันต้องกลับไปหาซานตาคลอส ก็จริง เนอะ โต้งยังไงก็ต้องกลับไปหามิว

จากคุณ : kwanmanee - [ 2 ธ.ค. 50 22:45:59 ]

ความคิดเห็นที่ 52

คุณ Voidone ครับ

ผมจำได้ (จากการไปดูมา 5 รอบ) สุนีย์เรียก จูน ว่า จูน ครับ ไม่ได้เรียกแตง ตอนที่จะให้มาช่วยกรน่ะ

จากคุณ : ถ้าจะรักใครคนนั้นต้องเป็นเธอ - [ 2 ธ.ค. 50 23:27:42 ]

ความคิดเห็นที่ 53

คุณค.ห.#52ครับ ผมอธิบายในค.ห.# 40แล้วครับ
ฟังน้ำเสียงด้วยนะครับ
ตอนเรียกหน้าบ้าน เสียงขรึม นิ่ง เงียบ เฉียบขาด
ตอนบนรถ น้ำเสียงลนลาน ตื่นตระหนก

จากคุณ : VoidOne - [ 2 ธ.ค. 50 23:35:57 ]

ความคิดเห็นที่ 54

VoidOne และ ทุกคนครับ ลึกซึ้งกันจิงๆ ผมชอบอ้ะ

จากคุณ : [C]haruru - [ 2 ธ.ค. 50 23:40:37 ]

ความคิดเห็นที่ 55

สุดๆ ไปเลย
ผมไม่ได้นึกถึงเลยนะเนี้ยย

จากคุณ : CZA (rwarapirom) - [ 3 ธ.ค. 50 03:02:29 ]

ความคิดเห็นที่ 56

สรุป เป็น หนัง เผย แพร่ ศาสนา คริส ผ่าน เกย์

จากคุณ : supanut01 - [ 3 ธ.ค. 50 14:51:36 ]

ความคิดเห็นที่ 57

ไอ้พวกเวอร์

จากคุณ : โอวีโข่ง - [ 3 ธ.ค. 50 17:45:49 ]

ความคิดเห็นที่ 58

วิเคราะห์กันได้ละเอียกจังคับ
สุดยอดๆ
นับถือ
ขอบคุณครับ

จากคุณ : Monkey_Mod - [ 3 ธ.ค. 50 20:08:38 ]

ความคิดเห็นที่ 59

วู้วววววว

ขอบคุณมาก ๆ ครับ ^ ^

ผมเองดูแล้วตีไม่แตกแฮะ

จากคุณ : อิฐมอญ - [ 3 ธ.ค. 50 20:31:32 ]

ความคิดเห็นที่ 60

อ่านแล้ว ซาบซึ้ง ประบใจ

จากคุณ : +ฟ้างามยามค่ำ+ - [ 3 ธ.ค. 50 20:50:32 ]

ความคิดเห็นที่ 61

10 กว่าปีที่ผ่านมา
ดิฉันรักหนังไทยเรื่องนี้มากที่สุด
นานมากแล้วค่ะ ที่ไม่ได้ดูหนังที่น้ำตาซึมแล้วก็ยิ้มได้ไปพร้อมๆ กัน
คุณมะเดี่ยวเก่งจริงๆ
ขอบคุณนะคะสำหรับหนังดีๆ แบบนี้
ขอบคุณจริงๆ

จากคุณ : asterisk - [ 3 ธ.ค. 50 21:15:25 ]

ความคิดเห็นที่ 62

เข้ามาปรบมือให้อีกรอบครับ

จากคุณ : หนูโด้ 1 - [ 4 ธ.ค. 50 00:32:19 ]

ความคิดเห็นที่ 63

เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องของปีนี้ที่ดูแล้ว...ได้คิด ได้ข้อคิด

จากคุณ : คำพู - [ 4 ธ.ค. 50 01:24:45 ]

ความคิดเห็นที่ 64

โหวตๆๆๆให้ครับ ชอบๆๆมากๆๆซึ้ง ดี

จากคุณ : toncafe - [ 4 ธ.ค. 50 01:55:56 ]

ความคิดเห็นที่ 65

ผมเข้าใจในตอนแรกแต่เพียงว่า
การใช้ คาทอลิก เป็นศาสนา หลักในเรื่องนี้
เป็นการท้าทายอยู่แล้วเพราะ คาทอลิก มองเรื่องเกย์ เ็ป็นสิ่งที่ชั่วร้ายมาก

แต่ คุณโตมร สุดยอดมาก ที่ตีแผ่ออกมาได้ละเอียดยิบ จนผมได้เห็นหลายมุมที่มองข้ามโดยไม่คิดอะไรในตอนแรก อย่างน่าอ่านครับ

จากคุณ : JIMMY - [ 4 ธ.ค. 50 02:15:17 ]

ความคิดเห็นที่ 66

สุดยอดครับ อ่านแล้วขนลุก...(ว่าแล้วก็จะลุกไปดูหนังอีกรอบ)

จากคุณ : manjoonu - [ 4 ธ.ค. 50 07:29:27 ]

ความคิดเห็นที่ 67

ดีมากค่ะ
ทำให้เข้าใจเพื่อนคนหนึ่งมากขึ้นที่เป็นทั้งคาทอลิก และเกย์

จากคุณ : jumong - [ 4 ธ.ค. 50 10:24:31 A:161.200.255.162 X: ]

ความคิดเห็นที่ 68

มาดูอีกรอบ

.

จากคุณ : Love@here - [ 4 ธ.ค. 50 10:32:20 ]

ความคิดเห็นที่ 69

ขอบคุณครับ เป็นอีกความคิดถึง ที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ

ชอบหนังเรื่องนี้มากจริงๆ มันทำให้คิดว่ามีตัวละครเหล่านั้นอยู่จริงๆ เลย T_T

จากคุณ : แมวสีฟ้า - [ 4 ธ.ค. 50 17:40:30 ]

ความคิดเห็นที่ 70

วิจารณ์ได้ดีจังค่ะ แอบสงสัยมานาน เพิ่งกระจ่าง เรื่องหน้าตามิวสลับกับโต้งตอนเด็กกะตอนโต

จากคุณ : bactor - [ 4 ธ.ค. 50 23:10:58 ]

ความคิดเห็นที่ 71

"หน้าตามิวสลับกับโต้งตอนเด็กกะตอนโต."

เป็นอะไรที่ผมยังไม่เก็ทครับ หมายความว่า โต้งตอนโต หน้าตาเหมือนมิวตอนเด็ก และมิวตอนโต หน้าตาเหมือนโต้งตอนเด็กเหรอครับ?

ผมยังรู้สึกว่า น้องเก้า กับ มาริโอ้ หน้าตามีเค้าคล้ายกันมากกว่า ที่จะเป็นน้องที่เล่นเป็นน้องมิวน่ะครับ หรืออย่างน้อย ทรงผมก็เหมือน ๆ กัน

หรือผมดูไม่ออกเองจริง ๆ ?

จากคุณ : ต้น - [ วันพ่อแห่งชาติ 09:11:46 A:58.64.91.1 X: TicketID:003332 ]

ความคิดเห็นที่ 72

ได้เข้าใจอะไรมากขึ้นจริง ๆ ค่ะ
มุมมองเบื้องลึกเบื้องหลังของหนังเรื่องนี้ที่เราไม่เคยฉุกคิด

ปกติเราไม่ค่อยรู้เรื่องความเคร่งของศาสนาอื่นนอกจากศาสนาของตัวเอง
พอมารู้ก็ทึ่งอยู่นะคะ แล้วก็พบว่าสิ่งที่วิจารณ์นั้นมีอยู่จริงในหนังไม่ผิดเลย
มันทำให้เรารู้สึกว่า โอ.. มันเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ !!

ไม่เสียใจเลยที่เสียเงินเข้าไปดูหนังเรื่องนี้
และยินดีจะเสียอีกซ้ำหลาย ๆ ครั้งเลยค่ะ

คุณมะเดี่ยว เจ๋ง!

จากคุณ : Z:D - [ วันพ่อแห่งชาติ 15:12:59 A:58.8.163.245 X: ]

ความคิดเห็นที่ 73

i do love it

จากคุณ : billykung (billykung) - [ วันพ่อแห่งชาติ 17:52:31 ]

ความคิดเห็นที่ 74

...อ่านแล้วก็ทึ่งในหลายๆแง่มุมที่ผมไม่เคยเห็น และคิดไม่ถึงนะครับ เพราะที่ผ่านมาทุกครั้งที่ดูหนังผมจะเลือกหนังที่คิดว่าดีที่สุดถึงจะไปดู ซึ่งส่วนใหญ่้ก็เป็นหนังต่างประเทศ ก่อนหน้าที่ผมจะไปดูหนังเรื่อง "รักแห่งสยาม" ไม่เคยคลิกไปดูกระทู้ไหนมาก่อนเลย ด้วยความที่คิดว่า ไม่อยากจะฟังในสิ่งที่คนอื่นคิด ขอแค่รู้ว่าเราดูแล้วรุ้สึกและคิดยังงัยก็พอ ทำไมต้องไปฟังใครคอมเมนท์ด้วยวะ ...แค่ดูแล้วรับรู้ด้วยตัวเองว่า เฮ้ยยย หนังเรื่องนี้ดี(ดีทั้งเนื้อเรื่อง และภาพสวย)ไรเงี้ย

...แต่หลังจากที่เ้ข้ามาอ่านกระทู้นี้ทำให้ผมคิดไำด้คิดว่า นอกจากจะดูแล้วสรุปว่าหนังเรื่องไหนดีแล้วไม่ดีแล้วเนี่ย ยังต้องคิดต่อไปอีกว่า หนังดีๆมักจะมีอะไรซ่อนอยู่เสมอๆ เพราะงั้นระหว่างที่ดู ควรคิดตามว่าทำไมถึงต้องเปงฉากนี้ ทำไมต้องแต่งตัวแบบนี้ ทำไมต้องเรียนโรงเรียนนี้ ทำไม ทำไม และทำไม เพื่อที่เราจะได้เข้าใจอะไรในหลายๆอย่าง ผมเชื่อว่านอกจากหนังที่ดีจะต้องมีผู้กำกับดี นักแสดงดี แสงและภาพสวยดี เนื้อเรื่องดี ทืมงานดีแล้ว การที่เราจะเสพหนังดีๆเข้าไปก็ขึ้นอยู่กับความละเอียดของคนดูด้วย ถ้าเป็นคนละเอียดในการเป็นผู้ชม ย่อมจะทำให้สิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อถึงผุ้ชมย่อมครบถ้วนกว่าเพียงแค่ดูโดยไม่ได้คิดอะไร จิงป่ะครับ...

...ขอบคุณสำหรับแง่มุมดีๆที่ได้จากกระทู้นี้ครับ

จากคุณ : usumakikung - [ 6 ธ.ค. 50 00:20:49 ]

ความคิดเห็นที่ 75

ผมก็เหมือนคุณ คห.74 ครับ เพราะที่ผ่านมาทุกครั้งที่ดูหนังผมจะเลือกหนังที่คิดว่าดีที่สุดถึงจะไปดู ซึ่งส่วนใหญ่้ก็เป็นหนังต่างประเทศ หรือหนังได้รางวัล และจะอ่านจากหนังสือมากกว่า และไม่เคยเข้ามาดูกระทู้อะไรด้วย แต่พอเพื่อนผมโทรมา(หลอก)ว่าจะเลี้ยงหนัง แต่มีข้อแม้ว่า ห้ามบ่นถ้าเข้าไปดูแล้ว ---ดูจบก็เหมือนกับโลกหมุนเลยคับ หมุนกลับไปสมัยเรียน สมัยวัยรุ่น-สมัยที่รักในวัยเรียนมันมีอิทธิพลเหนือพ่อแม่ -ผู้กำกับ คุณเก่งมาก ทั้งเรื่องนี่เต็มไปด้วยภาพที่เป็นสัญลักษณ์เต็มไปหมด ยิ่งกว่านั้น ไอ้กลิ่นอายของความรักนี่ มันกรุ่นทั้งเรื่องเลย ดูแล้วนึกถึง Love actually,The Road home,All about Lilly etc ..เจ๋งอ่ะ

จากคุณ : PCI_Xpress - [ 6 ธ.ค. 50 12:43:57 A:58.10.128.110 X: ]

ความคิดเห็นที่ 76

ชอบจังคับ Vote ให้คับผม

จากคุณ : WaN-r-Tit (WaN-r-Tit) - [ วันรัฐธรรมนูญ 11:33:26 ]

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป