ความคิดเห็นที่ 1 The Silence of the Lambs (1991) **อำมหิตไม่เงียบ** กับการเปิดตำนานบทแรกของ Hannibal Lecter ภาคนี้สมบูรณ์มากครับ ด้วยความสดใหม่ของเนื้อหา และบทประพันธ์ ที่ถูกนำมาขึ้นจอเงินครั้งแรก บวกกับการแสดงที่เยี่ยมยอดในการเชือดเชือนบทบาทกันระหว่าง Jodie Foster และ Anthony Hopkin ทำให้ตัวหนังที่ไม่น่าจะมีลุ้นในรางวัลออสการ์ ในปีนั้น กลับพลิกความคาดหมายและกวาดรางวัลไปถึงห้าตัว ทั้ง บท,ผู้กำกับ,นำชายและนำหญิงและภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และอะไรหละที่ทำให้มันมีความเจ๋งขนาดนั้นจนกลายเป็นหนังขึ้นหิ้งจนต้องสร้างภาคต่อตามมามากมาย โดยตัวเนื้อหามันเป็นหนังที่ประกอบไปด้วยการสืบสวน จิตวิทยา ฆาตกรโรคจิต การฆาตกรรม บนพื้นฐานของอารมณ์แบบทริลเลอร(ระทึกขวัญ เขย่าประสาทอะไรประมาณนั้น)  ความแปลกของมันคือการที่มันสืบสวนสอบสวนตามจับคนร้ายด้วยวิธีการแบบจิตวิทยาเป็นหลัก และอาศัยวัตถุพยานแวดล้อมเป็นตัวช่วยและใช้มัดตัวคนร้ายในชั้นศาล   เพราะฉะนั้นการดำเนินเรื่องหลักๆจึงอยู่บนการใช้จิตวิทยาอาชญากร ที่จะวิเคราะห์ถึงความคิดความอ่านและตรรกะของฆาตกร ที่ใช้ลงมือกับเหยื่อ  เพราะเจ้าฆาตกรประเภทนี้ตามจับยากมาก(จากที่ดูในหนังหลายๆเรื่อง) เพราะมันมีแรงจูงใจเฉพาะและมักจะไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวกับเหยื่อเลย จึงไม่สามารถสืบจากพยานแวดล้อมของผู้ตายได้มากนัก   ด้วยความเป็นจิตวิทยาบนการฆาตกรรมจึงหลีกเรื่องไม่ได้ที่จะมีนักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้มาวิเคราะห์หาเหตุผลทางจิตยา  ถ้าเป็นหนังทั่วไปก็จะเป็นหมอโรคจิตหรือตำรวจหรือนักสืบเก่งๆ มาคอยให้ความรู้กับคนดู และดำเนินเรื่อง แต่กับ The silence of the lambs ก็ใช้จิตแพทย์เหมือนกัน แต่บังเอิญเป็นจิตแพทย์ชั้นครูที่โรคจิตระดับเทพและโหดเหี้ยมเยือกเย็นกว่าฆาตกรใดๆที่เคยมี หนังจึงดำเนินเรื่องเป็นสองเส้นคือเรื่องของการสืบตามตัวของฆาตกรโรคจิตที่จับหญิงสาวไปแหล่เนื้อ และเรื่องของ Hannibal Lecter ที่เป็นเหมือนแหล่งข้อมูลที่ใช้ศึกษาและสอบสวนคดีชั้นยอด โดยตัวเชื่อมทั้งสองเรื่องราวคือ แม่สาว เอฟบีไอ ฝึกหัด ที่ถูกมอบหมายให้หาข้อมูลจาก Hanibal เพื่อตามตัวฆาตกรโรคจิตนี้ คาแร็กเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นของ Hannibal Lecter ถือว่าเด่นมากครับ เป็นตัวที่น่าสนใจและมีเอกลักษณ์สูงมากทีเดียว  มีทั้งความฉลาดหลักแหลมเป็นเลิศ เป็นยอดอัจฉริยะ  มีความรู้รอบตัวมากมาย และ มีรสนิยมสูง  แต่กลับสามารถฆ่าคน(และกินมัน)ได้อย่างเยือกเย็น  ทำให้ตัวละครตัวนี้มีแรงขับเคลื่อนเรื่องราวต่างๆได้มากมาย (หลายภาค) และด้วยวิธีการที่หนังแสดงความเป็นตัวของ Hannibal ที่ดี คือใช้การบอกเล่าแวดล้อม (ถึงกิตติศักดิ์ของความโหดของแก) สร้างความต่างในบุคลิกของตัวอื่นๆกับ Hannibal (ความอ่อนของนางเอกกับความแข็งของแก) และค่อยๆเผยพฤติกรรมโหดที่ละอย่างทำให้ตัวละครมีมิติ และสร้างความกลัวกับคนดูได้อย่างสมจริง      ความฉลาดของบททั้งพล็อตเรื่องและไดอะล็อกทำให้หนังดูเท่ห์มาก สนุกและน่าติดตามแบบใช้ความคิด  หนังเปิดเรื่องโดยให้คนดูเป็นผู้สังเกตการณ์(แบบกรูเห็นทุกอย่างรู้ด้วยว่าฆาตกรเป็นใครถ้าบอกได้ก็บอกไปแล้ว) ทำให้เรื่องจะโฟกัสไปที่วิธีการของจิตวิทยาในการใช้ตามจับคนร้าย(ประมาณว่าคนดูไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าใครทำฟ่ะ แต่ติดตามเรื่องว่าจะจับมันอย่างไง) โดยภาครวมภาคนี้ถือว่าลงตัวมากที่เดียวครับ  เนื้อเรื่องสนุกน่าติดตาม  การแสดงเยี่ยมยอด  ความสยองแต่พองาม  และบทสรุปที่เปิดโอกาสให้สานต่อ+คิดต่อได้ดี ***ไม่น่าจะพลาดกันนะครับสำหรับหนังขึ้นหิ้งชั้นครูเยี่ยงนี้***                 (แวะเยี่ยมชม+พูดคุยที่บล็อกหนังผมได้ครับ) แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 50 00:13:29 จากคุณ : land_scape_man - [ 2 ธ.ค. 50 23:56:34 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Hannibal (2001) ** อำมหิตลั่นโลก** ภาคนี้เป็นภาคต่อมาของ The silence of the lambs ทิ้งช่วงนานครับกว่าจะสร้างภาคต่อ ภาคนี้ได้ตาลุง แอนโธนี ฮอปกิ้นส มาสานตำนานโหด  แต่สำหรับ โจดี้ ฟอสเตอร์ โบกมือบ้ายบายไปแล้วครับปล่อยให้ จูลี่แอน มัวร์ รับบท แคลริส สตาร์ลิง แทน(ไม่แน่ใจว่าทำไมไม่ยอมเล่นครับจำไม่ได้แล้วใครรู้บอกที-แต่ผมว่าสองคนนี้บุคลิกหน้าตาคล้ายๆกันนะครับ) ภาคนี้ กำกับโดย Ridley Scott(ที่ทำ Alien อะ)  ครับ ตัวหนังเหมือนจะสนองความต้องการคนดูที่ชื่นชอบและหลงใหลในตำนาน Hannibal     เนื้อเรื่องจะเล่าถึงตัว Hannibal Lecter  และคนที่รายล้อมแก ที่คอยพยายามจะจับตัวแกให้ได้   หนังมีอารมณ์ทั้งสืบสวน ทริลเลอร์ สยองขวัญ และแอกชั่นผสมอยู่ เรื่องราวของ  Hannibal ภาคนี้ตามชื่อครับเป็นเรื่องราวของ  Hannibal Lecter แบบเต็มๆ  เล่าเรื่องต่อจากภาคแรกมาประมาณสิบปีจากการที่ตาลุงแกหลบหนีจากคุกออกมาได้ เป็นการเล่าเรื่องอีกแบบครับในหนังตระกูลนี้ ถ้ายึดตัว Hannibalเป็นหลัก เป็นการเล่าตรงๆถึงตัว Hannibal   ซึ่งจะแตกต่างจากภาคแรกที่เล่าเรื่อง Hannibal คู่ขนาน กับฆาตกรอีกคนและใช้แกเป็นตัว support ก่อนจะสอดประสานกันและดำเนินถึงบทสรุป ความเยือกเย็นและน่าหวาดหวั่นในตัว  Hannibal Lecter ยังมีอยู่ครับ เพราะมันได้รับการถ่ายถอดจากการแสดงอันยอดเยี่ยมของ ลุง แอนโธนี ฮอปกิ้นส คนเดิม ส่วนในตัวแคลริส สตาร์ลิงที่รับบทใหม่โดย จูลี่แอน มัวร์ ก็ถ้าจะเปรียบเที่ยบกับ โจดี้ ฟอสเตอร์ นั้นเธอจะได้บทที่แตกต่างกันครับ เพราะภาคนี้ตัว แคลริส สตาร์ลิง เติบโตมากขึ้น มีความสุขุมและฉลาดมากขึ้น และต้องต่อสู้กับความขัดแย้งภายนอก(ก็คือ FBI) ซึ่งจะต่างจาก แคลริส สตาร์ลิง ของ โจดี้ ฟอสเตอร์ ที่ตัวละครมีความอ่อนหัดกว่า และต้องเรียนรู้กับสิ่งต่างๆรวมทั้งกับต่อสู้กับความขัดแย้งภายใน (อดีตของเธอที่พ่อตาย)  ผมว่าทั้งคู่ก็เล่นได้ดีในแบบของตัวเองครับ (แต่ส่วนตัวก็เทใจให้ โจดี้ ฟอสเตอร์ มากกว่านะ) ตัวเนื้อเรื่องไม่มีอะไรมากครับ  ตามจับตาลุงแก  แต่ความโดดเด่นของภาคนี้คงเป็นที่การนำเสนอ ความโหดสยองของ Hannibal Lecter ได้อย่างถึงใจ (เรียกได้ว่าคนที่อยากรู้จักตัว Hannibal และอยากรู้ว่ามันกินคนอย่างไรก็ได้เห็นเต็มๆ) ทำให้ตัวอารมณ์แบบจิตวิทยาอาชญากร การวิเคราะห์ทางจิตวิทยาแบบในภาคแรกอาจจะลดลงไปบ้าง หรือก็จะไปมุ่งในการทำความเข้าใจในตัว Hannibal มากกว่า ทั้งเรื่องความคิดความอ่าน รสนิยม  รวมถึงประเด็นความรัก ถือเป็นการหลีกหนีจากภาคแรกครับ  ก็เป็นอารมณ์ใหม่ในแนวทางเดิม  แต่เรื่องของการเชือดเชือนด้วยบทสนทนาก็ยังมีอยู่ การวิเคราะห์ทางจิตวิทยาก็ยังมีบ้าง แต่ไม่จัดเหมือนภาคแรก  ภาคนี้ค่อนข้างโจ๋ครึ้มครับ  สยองกันแบบจะๆ  movement ของตัวละครและการเล่าเรื่องค่อนข้างเยอะ ถ้าเปรียบกับภาคแรกที่นิ่งและเหยียบเย็นกว่า โดยรวมผมว่าเป็นภาคต่อที่ดีนะครับ  ทำออกมาได้สนุก  น่าติดตาม  และโหดสยองดี(ถึงแม้มันจะเยอะและตั้งใจไปหน่อยก็เหอะ)  การแสดงยังยอดเยี่ยมและมีพลังดี(ทั้งตัวหลักและตัวรองอื่นๆ)  น่าจะเหมาะกับคนที่ชื่นชอบในตัว Hannibal Lecter จริงๆ   *** ก็ไม่น่าจะพลาดนะครับสำหรับแฟน Hannibal Lecter และคนที่ชอบใน The silence of the lambs***                                                          (แวะเยี่ยมชม+พูดคุยที่บล็อกหนังผมได้ครับ) แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 50 00:00:45 จากคุณ : land_scape_man - [ 2 ธ.ค. 50 23:59:28 ]

ความคิดเห็นที่ 3 รูปครับ แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 50 00:03:12 แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 50 00:02:53 แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 50 00:02:31 จากคุณ : land_scape_man - [ 3 ธ.ค. 50 00:02:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 . จากคุณ : land_scape_man - [ 3 ธ.ค. 50 00:03:36 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Red Dragon (2002)-กำเนิดอำมหิต   ตามมาติดๆครับกับภาคต่อของ Hannibal (ไม่ปล่อยให้แฟนๆรอนาน กะเอาเงินกรูเต็มที่เลย)    คราวนี้เป็นเรื่องราว เจ็ดปีก่อนเรื่อง The Silence of the Lambs จะถือกำเนิดขึ้น    ภาคนี้ก็ยังได้ตาลุง แอนโธนี ฮอปกิ้นส ขาประจำมารับบท Hannibal Lecter ให้แฟนๆได้หวาดหวั่นกันอีกครั้ง (ถ้าแกไม่รับเล่นผมว่าก็คงไม่สร้างต่อแน่ๆเลย เพราะแกคือ Hannibal Lecter ชัดๆ) มาเชือดเชือนบทบาทกับ Edward Norton ในบท วิล เกรแฮม นักสืบ เอฟบีไอที่มีรอยแผลทางจิต ผมชอบ Edward Norton มาก (ดังเปรี้ยงปร้างมากอยู่พักหนึ่งแล้วก็หายไปเลย) โดยเฉพาะในเรื่อง fightclub (มากว่าแบร๊ต พิท อีก) จึงน่าสนใจมากสำหรับผมกับภาคต่อเรื่องเรื่องนี้    รูปแบบของเรื่องราวนั้นกับไปเล่าในแนวทางเดิมของภาคแรก คือมีเรื่องสองเส้น ของ Hannibal Lecter และฆาตกรโรคจิต Red Dragon โดยมีตัวเชื่อมก็คือ พ่อหนุ่ม เกรแฮม เอฟบีไอผู้ใช้จิตนาการในการสืบสวนคดี การที่เล่าในแนวทางนี้น่าจะเปิดโอกาสให้เล่นกับอะไรได้มากกว่าการเล่าต่อจากภาคที่แล้วเลย(ดูจากสังขารตาลุงแกแล้ว) และการใช้รูปแบบเดิมก็น่าจะได้เสน่ห์แบบภาคแรกกลับมา    คำถามคืออย่างงี้มันก็จะไปเหมือนกับภาคแรกไหมหละ    เรื่องราวนั้นเปิดเรื่องโดยใช้รอยต่อเล็กๆจากผลงานอาชญากรรมของ Hannibal Lecter ที่เคยเล่าไว้ตอนภาคที่แล้ว ด้วยการที่ตาลุงแกฆ่ามือฟรุต นักดนตรีในวงออเครสตรา เพียงเพราะเขาเล่นได้ห่วยแตก และดำเนินเรื่องราวต่อจากนั้นมา และมีตัวละคร เกรแฮม เข้ามาเหมือนเป็นคู่ต่อกร จับกุมได้ไปจนถึงการสืบคดีใหม่และใช้    ตาลุงเป็นที่ปรึกษาเหมือนเดิม    ความต่างจากภาคแรกคือ การสร้างตัวละคร เกรแฮม ที่มีหน้าที่คล้ายคลึงกับ แคลริส สตาร์ลิง แต่ผิดเพศไป(หมายถึงเป็นผู้ชายนะ) และมีความขัดแย้ง และปมที่ต่างกัน ตัวละครเกรแฮม มีจินตนาการสูงเหนือเหตุผลวิเคราะห์ แต่มีจิตใจที่อ่อนไหวและหวาดกลัว ส่วนตัว สตาร์ลิง มีความกล้าเด็ดเดียวกว่าแต่ต้องสู้กับความอ่อนแอในใจจากปมอดีต    ภาคนี้ยังคงเป็นจิตวิทยา วิเคราะห์ อาชญากรอยู่มากหากเปรียบกับภาคที่สอง และเพิ่มเรื่องการสร้างจินตนาการจากที่เกิดเหตุและวัตถุพยานของตัวละครเกรแฮมเพิ่มขึ้น จึงมีบทสนทนาในแนวทางเดียวกับภาคแรกอยู่เยอะ    พอสมควร แต่ความต่างของความสัมพันธ์ระหว่างเกรแฮม และ Hannibal ที่ทั้งคู่เป็นเหมือนศัตรูและพร้อมจะฆ่ากันได้ ต่างจาก ความสัมพันธ์ของ Hannibal และ สตาร์ลิง ที่จะไปในทางบวกมากกว่า ทำให้อารมณ์ในการ    โต้ตอบของสองตัวละครในภาคนี้จึงต่างจากภาคที่แล้ว    ภาคนี้ยังคงเป็นการเปิดมุมมองของผู้ชมแบบคนสังเกตการณ์ เหมือนภาคแรกที่รู้เห็นทุกอย่างใครเป็นฆาตกร และลุ้นรอเวลาจับกุม แต่ภาคนี้จะมุ่งไปที่เรื่องราวของเจ้าฆาตกรโรคจิต Red Dragon มากขึ้น(ตามชื่อเรื่องเลย) จะเห็นมุมมองต่างๆของเขาทั้งความกดดัน ปมอดีต และความรัก มากกว่าภาคแรก จนน้ำหนักของเรื่องค่อนข้างจะเทไปทางนั้นมากทีเดียว    แต่เรื่องทั้งสองเส้นระหว่างฆาตกรไม่ได้ถูกเชื่อมด้วยตัวสืบคดีเพียงอย่างเดียวเหมือนภาคแรก เพราะภาคนี้ทั้งสองตัวมีการเชื่อมโยงกันและติดต่อกันไปจนถึงสร้างแรงจูงใจเดียวกันในการดำเนินเรื่อง    และกับบทสรุปของเรื่องที่มีจุดพลิกผัน สองจุด(ไม่รู้ใช่ปะ) ที่จะเห็นได้ในหนังผีคลาสสิกอย่าง the ring และหนังเรื่อง dark water ที่จะคลี่คลายเหตุการณ์ที่เหมือนเป็น climax แรกไปแล้วก่อนที่จะหักมุมด้วยการตบ climax ที่สอง และค่อยคลี่คลายจริง ซึ่งเป็นความต่างจากภาคก่อนๆที่มีมา    โดยรวมภาคสามนี้ก็โอเคครับ ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในตระกูล Hannibal และเป็นหนังเอกเทศของตัวเองคงจะน่าสนใจกว่านี้ครับ เพราะตัวเรื่องราว Hannibal เองค่อนข้างจะช้ำมากแล้วครับ เล่าไปสองแล้ว แต่ตัวหนังเองก็พยายามจะหลีกหนีทางเดิมๆและสร้างรูปแบบอะไรใหม่ๆขึ้นมานะครับ แต่อย่างที่บอกของเดิมมันมาตฐานสูงมากทีเดียว และความคาดหวังคนดูก็สูงมากตามครับ    ***สรุปภาคนี้ก็ดีครับ ไม่น่าเกลียดอะไรมากนัก ถ้าใครสืบสานตำนานมาแล้วสองภาคและไม่อยากค้างคาใจก็ ดูไปเหอะครับ สำหรับแฟนๆ Edward Norton ก็ห้ามพลาดครับ*** แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 50 00:22:07 จากคุณ : land_scape_man - [ 3 ธ.ค. 50 00:06:02 ]

ความคิดเห็นที่ 6 Hannibal Rising (2007)**ฮันนิบาล ตำนานอำมหิตไม่เงียบ** ผมว่าการที่ดูหนังแบบรวดเดียวมันจะเหนื่อยแล้วแต่การมาหนังอธิบายเรื่องที่ดูแบบรวดเดียวนี้ซิเหนื่อยกว่าครับ เอ๊าเรื่องสุดท้ายแล้ว กับภาคปฐมบท Hannibal  ภาคนี้จะย้อนไปทำความรู้จักกับ  Hannibal Lecter ตั้งแต่เป็นวัยเกรียนแตกมันกันเลย    ว่าตาลุงเนี้ยมันทำอะไรมาบ้าง  และประสบพบเจออะไรมาก่อนจะมีตำนานอันลือลั่นโหดอำมหิตดังภาคก่อนๆที่แล้วมา โดยส่วนตัวผมว่ามันช้ำมากแล้วครับสำหรับเรื่องราวของ Hannibal เล่ามาสามภาคแล้ว ไม่รู้จะไปทางไหน ก็เล่นอดีตแต่แรกเลย  อย่างแรกที่ดีครับ คือมันสร้างเรื่องราวใหม่ๆได้  อิสระในการหยิบเรื่องราวและประเด็นต่างๆมาเล่ากัน จะเห็นได้ว่าในภาคนี้มีเรื่องสงคราม เข้ามาสร้างปมอดีตของ Hannibal แต่ข้อเสียคือมันหลุดมากเลย จากทั้งสามภาค  รูปแบบต่างๆที่มีมาไม่มีเลยครับ กลายเป็นหนังชีวประวัติ Hannibal ไปซะงั้น  หัวใจของเรื่องการใช้  จิตวิทยาอาชญากรรม ต่างๆไม่มีแล้ว *** สรุปผ่านครับเรื่องนี้ (ไม่มีอะไรจะเขียน+ขี้เกียจเขียนด้วย) แต่ถ้าเป็นแฟนตัวยง Hannibal และอยากสืบ           สานตำนานกันแบบสุดๆก็ดูครับ***                                                              (แวะเยี่ยมชม+พูดคุยที่บล็อกหนังผมได้ครับ) จากคุณ : land_scape_man - [ 3 ธ.ค. 50 00:07:18 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณครับ ผมเองก็ค่อนข้างรู้สึกกับ hannibal rising ไปในทางเดียวกับคุณ คุณขี้เกียจเขียนถึง ผมก็ออกแนวขี้เกียจอ่านเหมือนกันคับ 555 (เฉพาะภาคนี้นะ) จากคุณ : Limelight - [ 3 ธ.ค. 50 00:46:51 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่แน่ใจว่าทำไมไม่ยอมเล่นครับจำไม่ได้แล้วใครรู้บอกที-แต่ผมว่าสองคนนี้บุคลิกหน้าตาคล้ายๆกันนะครับ >>> ดูเหมือนโจดี้จะไม่เห็นด้วยกับบทของคลาริซในภาคนี้ โดยเฉพาะบทในหนังสือ ซึ่งไม่ได้เหมือนในหนังนะครับ คลาริซในหนังสือ-โดยเฉพาะฉากจบ-หลอนจิตมาก แต่จำได้ว่าเคยมีคนมาถามว่าชอบจบแบบในหนังสือหรือในหนัง เห็นหลายคนก็ชอบแบบในหนังสือนะ ดูจะมีคนชอบมากกว่าจบแบบในหนังเสียด้วย เพิ่มเติมว่าภาค Red Dragon เคยมีการทำมาก่อนหน้าที่ลุงฮอปกินส์จะมาเล่นเป็นฮันนิบาลครับ ตอนนั้นใช้ชื่อหนังว่า Manhunterมี Brian Cox เล่นเป็นฮันนิบาล สำหรับคนที่สนใจจะเอามาดูเปรียบเทียบกันก็ดีครับ สำหรับข้อมูล Manhunter ดูได้ที่นี่ครับ  http://www.imdb.com/title/tt0091474/ แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 50 06:05:31 จากคุณ : น้ำใส - [ 3 ธ.ค. 50 05:40:42 ]

ความคิดเห็นที่ 9 hannibal rising  ผมดูภาคนี้เป้นภาคแรกก่อนจะมาดูภาคก่อนๆ เลยทำให้ผมรู้สึกดีๆกับซีรีย์นี้ทุกเรื่องเลยครับ hannibal rising ออกแนวเล่าประวัติดร.ซะมาก เลยทำให้รู้ปูมหลังเยอะเลย อาจเป้น เพราะมันออกมาทีหลังเลยทำให้มีข้อเปรียบเทียบมาก แต่ผมกลับ ไม่ชอบ Red Dragon ซะงั้น เพราะรู้สึกว่า มันเซงๆไงไม่รู้ -*- จากคุณ : ice_wind - [ 3 ธ.ค. 50 06:07:03 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ใน ส่วนตัวแล้วHannibal Rising  เหมือนหนังเติมเต็มเพื่อให้หนังชุดนี้ สมบูรณ์มากขึ้นมากกว่าน่ะครับ เหมือนชีวประวัติ Hannibal  ตั้งแต่เด็ก ผมว่าจริงแล้วในวัยดังกล่าวที่หนังนำเสนอ ก็ ok. เพราะหนังเสนอส่วนของ "วัยรุ่น"  ของตัวแลกเตอร์ที่ ยังไม่สุขุมนุ่มลึก และมีศิลปะในการฆ่า แบบในช่วงที่เป็นผู้ใหญ่ (2ภาคแรก) เพราะคงยังเป็นช่วงของความดุดัน แบบวัยรุ่นหฤห่ามมากกว่า ฆ่าด้วยปมของความแค้น มากกว่าฆ่าโดยความหฤหรรษ์ แต่หนังอาจไม่ลุ้มลึกเท่าไหร่  เหมือนแค่มองอดีตแบบผ่านๆ แต่แฟนๆของแลกเตอร์คงไม่พลาดด้วยประการทั้งปวง ใช่ไหมครับ แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 50 09:25:31 จากคุณ : mouse4006 - [ 3 ธ.ค. 50 09:24:54 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เข้ามาดูค่ะ Hannibal Rising เราก็ชอบนะคะ ถือว่าอย่างน้อยก็ช่วยให้รู้ถึงกำเนิดจริงๆเลยอย่างที่ว่า แต่อึดอัดเพราะ Hannibal หนุ่มดันหล่อโฮกไป แอบเชียร์เอาซะงั้นอ่ะเรา จากคุณ : Lucy in the sky with diamonds - [ 3 ธ.ค. 50 14:27:57 ]

ความคิดเห็นที่ 12 Dr.Hannibal Lecter ที่เราคุ้นเคยจะเป็นจอมอำมหิตแสนอัจฉริยะ แต่ใน rising นี่ ทำไมรู้สึกขัดใจไงไม่รู้ เลคเตอร์ดูเป็นแค่วัยรุ่นจิตตก ที่หันมาใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา จริงอยู่ว่า มีประเด็นเรื่องความหลังที่เขากินน้องตัวเอง กับที่ได้เรียนแพทย์มาช่วยทำให้เราเชื่อว่า เขาคือ ฮันนิบาลที่เรารู้จัก แต่มันเหมือนยังขาดอะไรไป บอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะเราคาดหวังที่จะได้เห็น กลไกบางอย่างในวิธีคิด วิธีวางแผน ความล้ำลึกของฮันนิบาลวัยหนุ่มคนนี้ มากไปมั้ง แต่ยังไงก็ตามเราดูทุกภาค และถ้ามีอีกก็จะดูอีก บางทีก็เซ็งตัวเองที่มักคาดหวังกับหนังไปซะทุกเรื่อง จนบางที กลายเป็นดูหนังไม่สนุกไปซะงั้น-_-" จากคุณ : QWERTY - [ 3 ธ.ค. 50 17:50:37 A:124.121.112.7 X: ]