Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    พรหมวิหาร 4

    ขอฝากอวยพรปีใหม่ที่กะลังจะมาถึงนี้ให้ทุกคนในห้องนี้ค่ะ
    ด้วย....พรหมวิหาร 4....

    หากมีเวลาก็อ่านกันสักนิด..เพราะอุตส่าห์  ...นั่งย่อและพิมพ์เองทีละตัวเลยนะ..จากหนังสือ..ความจริงเกี่ยวกับ ความรัก ความโกรธ และความเมตตา...
    บทนี้..เขียนโดยพระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก จากหนังสือ สาระแห่งชีวิต คือ รักและเมตตา

    เมตตา...

    เริ่มจากฝึกเมตตาแก่ตนเองก่อน...คือพยายามฝึกหัดขัดเกลาจิตใจให้มีความรู้สึกที่ดีออกมาให้เป็นตามธรรมชาติ ฝึกคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี  

    ....เมื่อรู้สึกดี..ก็สบายใจ สุขใจ คิดดี พูดดี ทำดี และส่งความรู้สึก กระแสจิตของใจดี สุขใจนี้ออกไป  ความเมตตาจะทำให้เราไม่คิดร้าย ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้ายใคร ที่สุดของความเมตตา คือจะไม่มีความพยาบาทเกิดขึ้นในใจ

    กรุณา...

    คือความสงสาร ...เริ่มจาก..กรุณาต่อตนเอง...ด้วยการสำรวจตัวเอง..ว่ามีอะไรควรแก้ไข ให้ตนเองพ้นทุกข์ เริ่มต้นตรวจดูศีล ด้วยกฎหมาย ระเบียบ  วินัย กติกาของสังคม หรือจากที่คนรอบข้างกล่าวตักเตือนเรา แล้ว ตั้งใจแก้ไขปรับปรุง..พิจารณาบ่อยๆเป็นประจำ...ใช้อิทธิบาท 4 เข้าช่วยด้วย..

    ความกรุณาที่แท้จริงต้องมีพื้นฐานของความเมตตาอยู่ด้วยเสมอ ดังนั้น การที่เราจะว่ากล่าวตักเตือนใคร โดยเข้าใจว่าเป็นความกรุณาที่ต้องการให้เขาพ้นจากทุกข์ เราต้องสำรวจความรู้สึกของตนเองให้ดีด้วยว่าไม่ได้เจือด้วยความโกรธ หากเรามีเมตตา เราย่อมปรารถนาให้เขาเป็นสุข

    การว่ากล่าวตักเตือน เราจะต้องคำนึงถึงความรู้สึกของเขาด้วย ต้องทำไปเพื่อประโยชน์ และความสุขของเขาจริงๆ

    กรุณานี้ ต้องอาศัยกำลังสติปัญญา และจิตใจที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้นกว่า...เมตตา....

    มุทิตา...

    คือความยินดีเมื่อเขาได้ดี ไม่คิดอิจฉาริษยา สำหรับคนทั่วไป แม้มีเมตตากรุณามากพอสมควรแล้วก็ตามแต่จะมีมุทิตาจากใจจริงนั้น ยังหายาก

    ปกติ เมตตากรุณา คือการเผื่อแผ่ให้คนที่ด้อยกว่าตน..มุทิตา ทำจิตพลอยยินดีกับบุคคลที่มีความสุข อาจมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มากกว่าตน ปกติ จิตใจที่เห็นแก่ตัว มักจะเกิดความรู้สึกอิจฉา ริษยา น้อยอก น้อยใจ เป็นธรรมดา

    เราจึงต้องพัฒนาจิตใจให้มีมุทิตาต่อตนเองก่อน คือหัดมองนิสัยมองดูตนเองให้มากๆ อย่าเปรียบเทียบแต่กับคนที่ดีกว่าเรา คนในโลกนี้เป็นคนยากจนที่ไม่เคยมีข้าวกินอิ่มถึง หนึ่งในห้าส่วน

    สุดท้าย..อุเบกขา...

    คือการวางใจเป็นกลาง เป็นปกติ ไม่ยินดี ยินร้าย เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นไปตามสมควร แก่เหตุปัจจัย ตามกฏแห่งกรรม

    หลายคนเข้าใจผิดว่า อุเบกขาคือเฉยๆ ไม่สนใจว่าใครจะทำอะไร ช่างมันฉันไม่เกี่ยว อุเบกขามาจากความหมายเดิมว่าเข้าไปดู จนเข้าใจ ชัดเจน แล้วจิตปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยินดียินร้าย วางใจเฉย

    อุเบกขา ต้องอาศัย สติ ปัญญา ขันติ

    เรามักคิดว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรมเลย ไม่สมควรเลย แต่หากเราพิจารณาชีวิตด้วยปัญญาชอบแล้ว จะเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีประสบการณ์อยู่นั้น มันเป็นไปตามกฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

    ทุกสิ่งที่เราประสบล้วนเป็นมรดกแห่งกรรมของเราเอง ชีวิตที่เราประสบอยู่นี้สมบูรณ์ด้วยเหตุปัจจัยของมันเอง การกระทำของตนเอง ใช้สติปัญญา เข้าใจความเป็นไปของชีวิต ปล่อยวางได้ ทำใจได้ ไม่ทุกข์ใจ เอาใจใส่ และรับผิดชอบในชีวิตปัจจุบัน ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ด้วยความพอใจสงบใจ

    อุเบกขา จึงถือเป็นคุณธรรมขั้นสูง อันเปี่ยมไปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อย่างสมบูรณ์ในขณะเดียวกัน

    .....สาธุ.......



    สรุป...อันดับแรก หากเราไม่มีแม้แต่กระทั่ง ความเมตตา...อย่าหวังเลยว่าเรา..จะมี .....อุเบกขา........ได้


    ขอบคุณมากที่อุส่าอ่านนะคะ

    จากคุณ : MyHeartAnd_i - [ 26 ธ.ค. 50 13:09:38 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom