CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    << ดูแล้วมาคุยกัน ... Cloverfield , 36 ข้อของ Cloverfield กับผมฯ ( โอ้ มายก๊อด โอ้ มายก๊อด โอ้ มายก๊อด โอ้ มายยยย ) >>

      ชอบมาก ห้ามพลาด (62 คน)
      ชอบ (30 คน)
      เฉยๆ (9 คน)
      ไม่ชอบ (4 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (6 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 111 คน

     55.86%
     27.03%
     8.11%
     3.60%
     5.41%


    idea ด่วน รับสมัครสมาชิกชมรม'โตแล้วฟ.' ทีนี่ --> http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A6245970/A6245970.html



    ...เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป อ่านความเห็นท่านอื่นๆ และเชิญชวนมาแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=01-2008&date=20&group=14&gblog=63


    exclaim Spoilers alert: สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู ควรหลีกเลี่ยง ข้อ 16-20 เล่าเกี่ยวกับ สัตว์ประหลาด / ข้อ 27,28,31,32 เฉลยบั้นปลายของตัวละคร



    1.หากใครเป็นคอหนังที่ติดตามข่าวคราวหนังเรื่อยมา จะพบว่า นี่คือหนังที่วางแผนการตลาดได้อย่างโคตรชาญฉลาด กับ การเล่นที่พื้นฐานจุดอ่อนของมนุษย์ นั่นคือ ‘ความอยากรู้อยากเห็น’ เหมือน เวลาเราเห็นคลิปแอบถ่ายเราจะตื่นเต้นมากกว่าคลิปยืนแก้ผ้าโทงๆ

    กับการโฆษณาที่ไม่ให้เห็น รูปร่างหน้าตาของสัตว์ประหลาด แม้แต่นิดเดียว เริ่มต้นสร้างแบบปิดๆไม่เผยพล็อตเรื่อง ไม่บอกชื่อหนังแท้จริงตั้งแต่เริ่มต้น ปล่อยชื่อหลอกๆมาแต่ละชื่อแบบว่า เอ่อ Slusho , Cheese ฯลฯyuck   ปล่อยโฆษณาทีละขยักสั้นๆให้คนดูอยากรู้อยากเห็น ปล่อยข่าวลือต่างๆนานา ยั่วต่อมอยากรู้คอหนังล่วงหน้ามาเป็นปี



    2. เป็นหนังที่ผมพกความคาดหวังไว้สูงมาก จาก ความกล้าหาญในการโปรโมท และ ฝีมือของ เจเจ อับรามส์ในฐานะโปรดิวเซอร์ซีรี่ส์ Lost ซีรี่ส์ที่พูดถึง คนกลุ่มหนึ่งที่รอดจากเครื่องบินตกไปติดเกาะ แล้วต้องพบกับ 'อะไร' บางอย่างบนเกาะที่นำมาซึ่งความสยองขวัญ ปาฏิหาริย์ และ ความลึกลับที่พ้องไปกับปูมหลังของแต่ละคนที่เหลือรอด

    ดูไปตั้ง 3 ปี หนังมันก็ยังไม่ยอมเฉลยซักทีว่า มี’อะไร’อยู่บนเกาะ แต่ขนาดที่หนังไม่มีคำเฉลยและก็ไม่เคยให้คนดูได้เห็น ‘อะไร’ ที่ว่านั่น ก็ยังทำให้ติดหนึบจนลงแดงเวลาพักตอนของแต่ละปี



    3. Cloverfield เหมือน Lost ก็ตรงที่ หนังเล่นสนุกกับ ‘ความอยากรู้อยากเห็น’ ของคนดู (อะไรอยู่บนเกาะ VS.อะไรบุกโลกมนุษย์) (พวกบนเกาะมาจากไหน VS. สัตว์ประหลาดมาจากไหน) ฯลฯ ควบคู่ไปกับ บทหนังที่เล่นกับ’ความเป็นคน’ ของแต่ละตัวละคร (ที่มาที่ไปอันแสนซับซ้อนและมีปมในใจที่ฝังลึกของคนบนเกาะ VS. ความสัมพันธ์และความรักของคนกลุ่มหนึ่งที่กำลัวหนีตาย)



    4.และนั่นก็ทำให้ ชวนเห็นใจผู้กำกับอย่าง แมตต์ รีฟฟ์ เป็นยิ่งนัก ที่กำกับหนังเรื่องนี้เรื่องแรกเป็นที่กล่าวขานดังสนั่นทั้งด้านบวกและด้านลบ แต่ ชื่อที่ใครๆพูดถึงเวลาคุยเกี่ยวกับหนังกลับเป็นชื่อของ เจเจ อับรามส์



    5.ตัวอย่างของหนัง ทำเอากล่าวขานกันมากมาย และ ทำให้ผมอดลุ้นไม่ได้ว่า หนังเรื่องนี้ จะใจถึง ถ่ายทำแบบหนังตัวอย่างตลอดทั้งเรื่องหรือไม่ เพราะการใช้ทุนสร้างไป 30 ล้านเหรียญ แล้วทำหนังออกมาในสไตล์ Blair witch project ที่แบกกล้องตะลอนไปมาในสไตล์ handheld แทนที่จะเห็นเป็นแบบ Godzilla ต้องอาศัยความบ้าบิ่นพอสมควร



    6.หนังเรื่องนี้ 'ใจถึง'haha



    7.ถ้าผมได้ดูหนังเรื่องนี้ก่อน Blair witch project ผมจะชอบมันแบบสุดๆ เพราะ Blair witch project คือ หนึ่งในประสบการณ์แปลกใหม่ในโรงหนังที่ทำเอาผมขนลุกและกลับบ้านด้วยอาการหลอนๆตอนอยู่คนเดียว ภาพในหนังติดตาเหลือเกิน หนังเล่นกับความรู้สึกคนดูได้ดี ตั้งแต่ปูเนื้อหาของคำสาป แล้วเดินเรื่องไปข้างหน้าแบบไม่มีอะไร ก่อนที่ขมวดความตึงเครียดในตอนท้าย ก่อนจะตบเอาคำสาปที่ปูไว้ใส่ในฉากจบที่กล้องตกลงพื้น บรื๋อออ



    8. Cloverfield จึงสูญเสียความใหม่ความสดไปบ้าง สำหรับคนที่เคยชอบและเคยดู Blair witch project มาก่อนแล้ว แต่เชื่อได้ว่า เทคนิกการถ่ายทำแบบนี้ จะนำไปสู่กลุ่มคนดูที่แตกต่างกันสุดขั้ว คือ ชอบสุดๆเพราะมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร กับ เกลียดสุดๆเพราะเวียนหัวไม่สามารถดูจนหนังจบหรือทรมานจนไม่อินไม่เอินอะไรทั้งนั้น



    9.ผมเคยชอบ ฉากเปิดเรื่องที่มนุษย์ต่างดาวบุกโลกใน War of the worlds มาก เพราะรู้สึกว่ามันสมจริงราวกับ สารคดี แต่ตอนนี้ สารคดีสิ่งมีชีวิตนอกโลกบุกบ้านเราที่สมจริงที่สุด ขอยกให้ Cloverfield



    10.หนังมีประโยค โอ้ มายก๊อด บ่อยดี หลับตาอยู่นึกว่าดู Transformer ได้ยินแต่ โอ้ มายก๊อด โอ้ มายก๊อด โก โก โก โก ผมดูไปผมก็ร้องในใจเหมือนกัน โอ้ มายก๊อดๆๆ โอ้ มายแอวะ มึน อยากจะอ้วกพ่นน้ำหมาก  



    11.ตอนดู Blair witch ในโรงยังไม่รู้สึกวิงเวียนอยากอ้วกมากขนาดนี้ ต้องอาศัยหมากฝรั่งเคี้ยวแก้มึนไปสองเม็ด ไม่อยากจะคิดว่า เพราะ อายุมากขึ้น ขอแก้ตัวว่า คงเป็นเพราะตัวเองนั่งหน้าจอคอมอยู่นานก่อนจะเข้าโรงหนังดีกว่า ดังนั้น แนะนำว่า

    หากคิดจะดูหนังเรื่องนี้ พักผ่อนให้เพียงพอ พักสายตาให้เต็มที่ แน่ใจให้ดีๆว่าแว่นตาตัดมาเหมาะกับสายตาดีแล้ว อย่านั่งใกล้จอเกินไป และ ควรหลีกเลี่ยงการดูหนังเรื่องนี้บนรถทัวร์หรือเครื่องบิน



    12.ที่อเมริกามอบเรต PG-13 ให้กับหนังเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่า น่าจะจัดเรตใหม่ให้กับหนังแนวนี้คือ PG-45 (ผู้ชมอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป ควรมาดูกับผู้ใต้ปกครอง เผื่อจะประคองออกจากโรงหลังหนังจบ) กับ NC-60 (ห้ามผู้ชมอายุเกิน 60 ปีเข้ามาดูในโรง) ฮ่าฮ่าฮ่า



    13.น่าจะมีคำเตือนจริงจังสำหรับคนที่ป่วยเป็นโรควิงเวียนบ้านหมุน หรือ ไมเกรน หรือ โรคลมชัก ฯลฯ ให้หลีกเลี่ยงในการรับชมหนังเรื่องนี้ เพราะอาจทำให้โรคเดิมกำเริบหรือเป็นมากขึ้น



    14. ข้อ 12 ผมพูดเล่น แต่ข้อ 13 ผมพูดจริง



    15.ความอยากเห็นสัตว์ประหลาด ทำให้ผมลุ้นและสะใจมากๆแค่ได้เห็นมันวิ่งผ่านตอนกลางเรื่อง เป็นความรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนได้เห็นการปรากฎตัวของ ไดโนเสาร์ในจูราสสิคปาร์ค เสียอีก



    16. ผมต้องกลับไปแก้หลักสูตรสัตว์ประหลาดบุกโลกให้ทันสมัย เพราะ สัตว์ประหลาดยุคหลังๆมักได้พันธุกรรมมาจาก ปลากะโห้ และ มักเติบโตหรือมีที่มาจากในน้ำ อย่างเดียวกับ The host และมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์พอๆกัน

    (เห็นแวบๆเหมือนหลายคน ที่ฉากจบของหนังตอนถ่ายความสวีทวี๊ดวิ้วของคู่พระนาง ที่มุมขวาบนเหมือนมีอะไรจากท้องฟ้าตกลงมาในน้ำ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้หนังน่าสะพรึงมากๆว่า มันแฝงมาอยู่กับเราพักใหญ่แต่ดันไม่มีใครสังเกตเห็น)



    17.ที่น่าสะพรึงยิ่งกว่า คือ การเห็น ตัวจิ๋ว มากมายวิ่งไปวิ่งมา อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าอย่างนั้น ตัวใหญ่อย่างพี่เบิ้ม อาจไม่ได้มีคุณพี่ที่เราเห็นเพียงตัวเดียว



    18.ผมคิดว่าหนัง ใจดีพอสมควร และ ก็ไม่ค่อยแน่จริง ซักเท่าไหร่haha  เพราะสุดท้ายก็ใจอ่อนให้เห็นหน้าสัตว์ประหลาดกันแบบเต็มๆตา อ้าปากโฮกๆใส่กล้อง เพราะฉากนี้สะใจก็จริง แต่ เป็นช็อตหนึ่งในหนังที่ผมรู้สึกว่าลดทอน ความสมจริง ที่พยายามสร้างมาตลอดในครึ่งแรก ด้วยการใส่ ความบังเอิญ มากเกินไป (เดาว่า คงเห็นใจคนดูกลัวจะไม่เห็น หน้าพี่เบิ้ม สมกับที่คาดหวัง)

    ซึ่งความจริงถ้าไม่จงใจใส่เข้ามา ถึงเสี่ยงกับการโดนด่า แต่ก็จะได้ความสมจริง และ ทิ้งให้คนดูได้จินตนาการต่อ เหมือนที่ Blair witch ทำสำเร็จมาแล้ว



    19.ถึงหนังจะมีเจตนาให้อารมณ์ออกมา สมจริง เหมือนเราได้วิ่งหนี ได้รู้สึก เช่นเดียวกับ ตัวละคร แต่ หลายส่วนของหนังที่ผมก็ยังรู้สึกไม่สมจริง เช่น ฉากจากข้อ 18 ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง หรือ อีกหลายๆฉาก ที่รู้สึกว่าสนุก แต่ในความสนุกหนังก็หลุดออกจาก อารมณ์สมจริงเสมือนอยู่ในเหตุการณ์ ไปเป็น อารมณ์คนดูหนัง จากบทที่มีกลิ่นอายของการจงใจ และ นี่คือ เหตุผลที่ผมยังชอบเรื่องนี้ไม่สุดๆเหมือนดู Blair witch project



    20. ฉากตัวจิ๋วโจมตี เป็น ฉากที่น่ากลัวยิ่งกว่าตัวพี่เบิ้มโจมตี



    (มีต่อ)

    แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 51 15:55:11

    แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 51 14:38:29

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 21 ม.ค. 51 14:32:56 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com