CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    <<<<<<< ดูแล้วมาคุยกัน ... Enchanted , ในวันที่ไม่รู้จะยิ้มให้กับใคร ในวันที่ไม่มีใครยิ้มให้กับเรา >>>>>>>

      ชอบมาก ห้ามพลาด (79 คน)
      ชอบ (23 คน)
      เฉยๆ (4 คน)
      ไม่ชอบ (0 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (2 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 108 คน

     73.15%
     21.30%
     3.70%
     0.00%
     1.85%


    ...เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป อ่านความเห็นท่านอื่นๆ และเชิญชวนมาแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=31-01-2008&group=14&gblog=66



    ...มีหนังอยู่ชุดหนึ่ง ที่ผมจัดอยู่ในกลุ่มหนัง วิตามินใจ เอาไว้หยิบมาดูในวันที่กังวล เครียด หงุดหงิด หดหู่ มีเรื่องไม่สบายใจ ฯลฯ

    ปีก่อนผมเพิ่มหนังเรื่อง Music and lyrics กับ Stardust ไว้ในลิสต์ มาวันนี้ผมได้โอกาสเพิ่มรายชื่อ Enchanted เข้าไปในลิสต์อีกหนึ่งเรื่อง


    ...ในวันที่มีความทุกข์ หากหวนคิดถึงโลกของเทพนิยาย สิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุดไม่ใช่ปราสาทหลังโต หรือ เจ้าหญิงแสนงาม เพราะ สิ่งเหล่านั้นเมื่อพามาสู่โลกความเป็นจริงก็ไม่ได้ช่วยให้พบทางออก

    สิ่งที่ผมเคยคิดอยากจะมีคือ กระจกวิเศษ เพื่อที่จะบอกเราในวันที่เลวร้าย ว่า ควรจะเดินไปทางซ้าย หรือ ไปทางขวา เดินต่อไปข้างหน้า หรือ ล่าถอยหลัง

    แต่เมื่อพบว่า เรื่องราวในเทพนิยาย ล้วนเป็นจริงได้แค่ใน หน้ากระดาษ

    ...นั่นทำให้

    เทพนิยาย เริ่มค่อยๆตายจากใจของใครหลายคน เมื่อเขาเหล่านั้นเติบโตขึ้นมาแล้วพบว่า ชีวิตไม่ได้สดใสเหมือนในนิทาน ไม่ได้จบลงที่เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ได้ครองรักกัน ไม่ได้จบลงที่เจ้าชายเอาชนะสัตว์ร้ายกลายเป็นพระราชา

    ในโลกความเป็นจริง เราอาจถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนที่ขี้โกงกว่า ที่ร้ายกว่า และ ปีศาจร้ายกลายเป็น ผู้ชนะ นางแม่มดตัวร้าย กลายเป็น คนที่ได้อยู่กับ เจ้าชายผู้แสนดี

    ในโลกความเป็นจริง ถึงจะเพียรพยายามแสนสาหัส แต่ ความรักก็จบตรงการถูกทอดทิ้งหรือต้องแยกทาง จบลงด้วยความไม่เข้าใจ โกรธเกลียดชิงชัง ไมได้ครองคู่กันในปราสาทหลังโต




    ... โรเบิร์ต พระเอกของเรื่อง จึงไม่นิยมให้ลูกสาวหมกมุ่นสนใจในโลกของเทพนิยาย เขาคิดว่า การสนใจเรื่องเหล่านี้ เป็นเหมือนความเพ้อฝัน เขาปฏิเสธที่จะมอบหนังสือนิทานเป็นของขวัญลูกสาวแต่กลับเลือกซื้อหนังสือชีวประวัติบุคคลสำคัญของโลกให้กับเธอแทน

    แต่แล้ว ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปเมื่อได้พบกับ จีเซล

    จีเซล คือ ตัวแทนจากโลกที่โรเบิร์ตหลีกหนี เธอมาพร้อมกับความบริสุทธิ์สดใส และ เชื่อมั่นในรักแห่งอุดมคติ

    จีเซล อาจจะเป็น หญิงสาวแอ๊บแบ๊วในโลกของโรเบิร์ต ความคิดหลายอย่างของเธอดูซื่อเกินไปที่จะอยู่รอดได้ในโลกความเป็นจริง โดยเฉพาะรูปแบบชีวิตแบบเทพนิยาย เช่น พบกับเจ้าชายวันเดียวก็จะแต่งงาน ตรงกันข้ามกับ โรเบิร์ตที่คบกับคนรักมาห้าปีก็ยังมีคำถามมากมายที่หาคำตอบไม่ได้ ไม่กล้าตัดสินใจ

    ...ยังมีอีกหลายๆเหตุการณ์ โดยเฉพาะกรณีคู่สามีภรรยาที่กำลังจะหย่าขาดจากกัน ทำให้เราได้เห็นว่า

    โลกที่มองผ่านสายตา จีเซล ล้วนมีความงดงามและความหวังตามสไตล์เจ้าหญิง

    โลกที่มองผ่านสายตา โรเบิร์ต ล้วนจริงจังและไม่สดใสตามสไตล์ทนายหย่าร้าง



    ...เมื่อคนสองคน ที่อยู่ต่างกันคนละโลก ทั้ง โลกที่อาศัย และ โลกทัศน์ในการใช้ชีวิต (แค่อาชีพของทั้งคู่ก็เห็นความแตกต่างกันได้อย่างสุดขั้ว) มาปรากฏบนจอ ก็เหมือนกับ จอหนังได้กลายเป็นกระจกวิเศษชั่วคราว ที่ทำให้ ผู้ชมได้มองเห็นชีวิตตัวเอง



    ...บางคนมีรูปแบบชีวิตอุดมคติเหมือนในเทพนิยาย เจอกันวันเดียว สัปดาห์เดียว ก็คิดว่าคนตรงหน้าคือเจ้าชายหรือเจ้าหญิงในฝันที่จะอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุขตลอดไป หรือ มองอะไรมีแต่ความสุขสดใสเกินจริง ในขณะที่ บางคนสลัดโลกจินตนาการ โลกความฝันทิ้ง แล้ว มองโลกความจริงในแง่ร้าย ไร้ความหวังใดๆ

    ไม่ว่าชีวิตแบบไหน ถ้าสุดขั้วไป ก็ยากที่จะพบความสุข

    แล้วเราจะพบว่า ถ้าสามารถปรับโลกสองใบให้อยู่คู่กันอย่างเหมาะสม เราจะสามารถมีความสุขในชีวิตมากยิ่งขึ้น เหมือน ที่ จีเซล และ โรเบิร์ต ค่อยๆเรียนรู้แลกเปลี่ยนกัน

    จีเซล เริ่มเรียนรู้ที่จะหยุดคิด ออกเดตเพื่อเรียนรู้คู่รัก ส่วน โรเบิร์ตก็เรียนรู้ที่จะปล่อยตัวเองให้ไม่จริงจังจนเกินไป เต้นรำในที่สาธารณะ มองโลกอย่างมีความหวัง และ ประการสำคัญ เชื่อในความฝันกับจินตนาการ เขาจึงเลือกที่จะมอบ True love kiss ในฉากสำคัญ ซึ่งหากคิดด้วยตรรกะเดิมๆของเขา มันคงไม่มีทางเป็นจริง



    ... โลกของเทพนิยาย อาจไม่ได้ทำให้ ชีวิตจริงแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ก็ทำให้เรา เกิดกำลังใจ มีความหวังใหม่ๆในแต่ละเช้าที่จะตื่นขึ้นมา

    แค่ได้นั่งอ่านนิทานเรื่องหนึ่งเพียงช่วงสั้นๆ บางครั้งก็ทำให้ เราสามารถยิ้มให้กับตัวเอง

    ในเวลาที่ฝันร้าย การได้ฟังนิทานดีๆก็ขับกล่อมให้หลับฝันดีได้ตลอดคืน

    ในเวลาที่พบปัญหาใหญ่ๆ การได้คิดถึงโลกในนิทานที่สุดท้ายผู้กล้าหาญเอาชนะความชั่ว ก็ทำให้เรามีกำลังใจที่จะไม่ท้อถอย

    ในเวลาที่มีความทุกข์ใจและรู้สึกเหมือนกับว่าไม่รู้จะยิ้มให้กับใคร และ หันไปทางไหนก็ไม่มีใครยิ้มให้กับเรา การได้เข้าไปนั่งดูหนังดีๆสักเรื่อง ถึงจะเป็นเพียงโลกมายา แต่หลายครั้งก็ทำให้ เราเกิดกำลังใจจะสู้ชีวิตต่อไป




    ... บ่อยครั้งที่ การ์ตูนของดีสนี่ย์ ถูกค่ายอื่นๆนำไปล้อเลียน แถม ทำออกมาได้คมคายมีระดับ เช่น Shrek แต่ เราจะไม่ค่อยได้เห็น ดิสนี่ย์ หยิบเรื่องราวหรือตัวละครของตัวเองมาล้อเลียนแบบจริงๆจังๆ ได้แต่ เลียบๆเคียงๆอ้อมๆราวกับไม่กล้าแตะ อาณาจักรเจ้าหญิงเจ้าชาย ของตัวเอง

    นี่เป็นเรื่องแรกของ ดีสนี่ย์ ที่ผมสังเกตว่า ช่างกัดช่างล้อเลียน ความเป็น Disney ของตัวเองได้อย่างเต็มๆ ไม่กระมิดกระเมี้ยน และ กัดได้ดีมีชั้นเชิงไม่แพ้ Shrek

    สิบนาทีแรกของหนังเรื่องนี้ หยิบความเป็น ‘ดีสนี๊ ดีสนีย์’ มาครบครัน ตั้งแต่ตัวละคร หญิงสาวแสนหวาน ,เจ้าชายผู้ห้าวหาญ , แม่เลี้ยงใจยักษ์ , ผู้ช่วยแม่มดทึ่มๆ และ ผู้ช่วยนางเอกมีอารมณ์ขัน ผ่านพล็อตสำเร็จรูปที่ หญิงสาวถูกล่อลวงด้วยแม่เลี้ยงแล้วเจ้าชายเข้ามาช่วยเหลือ ผ่านการดำเนินเรื่องด้วย เพลงป๊อบลั๊ลลา ที่ขับขานผ่านเหล่าตัวละคร ซึ่งออกมาร้องมาเต้นไปพร้อมๆกัน

    หนังใช้เวลาแนะนำและทบทวนความเป็น แอนิเมชั่นเทพนิยายดีสนี่ย์ เพื่อเตรียมคนดูให้รู้ล่วงหน้าว่าหลังจากนี้ จะมีอะไรที่ถูกอ้างอิงถึงได้บ้าง ก่อนที่ความสนุกจะเริ่มต้นจริงจังเมื่อ จีเซล ถูกล่อลวงให้ตกเข้ามาสู่โลกอีกใบที่ แม่เลี้ยงแม่มด เรียกว่าเป็นโลกแห่ง never happily evr after โลกที่ไม่มีวันจะมีความสุขตลอดกาล (น่าขัน ที่โลกไร้ความสุขตลอดกาล คือ นิวยอร์ค หรือ โลกแห่งความเป็นจริงของเราคนดู)

    ถัดจากนี้ก็เป็นความสุดคุ้มของคนดู เพราะเหมือนได้ดูหนังแบบ 3 in 1 มีทั้งเริ่มต้นเป็น แอนิเมชั่น ช่วงถัดมากลายเป็น หนังโรแมนติกคอมิดี้ โดยสอดแทรกฉากมิวสิคัลราวกับเป็น หนังเพลง อยู่เป็นระยะๆ



    ... หากไม่นับส่วนแอนิเมชั่นที่หนังประโคมโหมโรงเพื่ออุ่นเครื่อง ในส่วนของความเป็นโรแมนติก คอมิดี้ และ ส่วนที่เป็นหนังเพลง หนังประสบความสำเร็จในการสร้างอารมณ์ร่วมเป็นอย่างสูง

    บทจะซึ้งก็ซึ้ง ... ผมลุ้นเป็นอย่างมากว่า หนังจะหาทางออกที่สวยงามให้กับทางเลือกของตัวละครได้อย่างไร เพราะ หากให้ พระเอกคู่เจ้าหญิงก็ดูจะไวไฟกับใจร้ายต่อว่าที่คู่หมั้นซึ่งไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ หนังก็หาทางออกได้อย่างนุ่มนวลไม่เจ็บจนเกินไป โดยเฉพาะ ฉากเต้นรำในปราสาทที่ชวนฝันด้วยเพลง So close ทั้งเนื้อเพลงทั้งการแสดงของเอมี่ อดัมส์ ทำเอาน้ำตาซึมได้ง่ายๆเลย

    บทจะขำก็ขำ ... ผมขำล่วงหน้ามาตั้งแต่หนังตัวอย่างแล้ว ที่ล้อเลียนนางเอกว่าไม่ต้องร้องไปเดินไปเหมือนในพวกการ์ตูน หรือ ล้อเลียนเจ้าชายที่กระโดดมาเพื่อจะร้องเพลงเรียกนางเอก พอมาดูหนังจริง ก็ยังมีอีกหลายๆฉากที่ทำให้ขำได้เป็นระยะๆ นอกจาก เจ้าหญิงเจ้าชายแล้ว ตัวชิพมังค์ที่ฝึกมาดีโดยเฉพาะฉากใบ้คำ ขำมั่กๆ

    บทจะให้ยิ้มก็ยิ้มได้ยิ้มดี ... ยิ้มทุกๆห้านาที เช่น ยิ้มไปกับ ที่มาของชุดนางเอก หรือ ปริศนาว่าอะไรที่เจ๋งกว่านางฟ้าทูนหัวในโลกความเป็นจริง หรือ ยิ้มไปกับ การร้องเพลงในสวนด้วยท่วงท่าเสมือน The Sound of music กับเพลง That’s how you know เช่นเดียวกับ ฉากมิวสิคัลทุกๆฉากในหนังเรื่องนี้ล้วนสดใสอลังการงานเต้น ทำให้สนุกคึกคักก็ขยับเท้าตามจังหวะเพลง และ อยากปรบมือในโรงจริงๆ

    บทจะร้องเพลง แต่ละเพลงก็แสนไพเราะ ... สมราคาคุยกับการเข้าชิงสามออสการ์ในสาขาเพลง เพลงในหนังก็เพราะมากๆเช่นกัน เสียดายที่หลังจากไปถามป้าโดฯ แกบอกว่า แผ่นนี้มีเฉพาะแผ่นอิมพอร์ตต้องรออีกสองสัปดาห์ราคาก็แพงกว่าแผ่นธรรมดา


    ....เอมี่ อดัมส์ แอ๊บแบ๊วได้ทุกท่วงท่าหน้าผมสมเป็น เจ้าหญิงของดีสนี่ย์โดยแท้ ส่วนตัวแล้วมองว่าเป็นบทบาทการแสดงที่ไม่ง่ายเลยที่จะชนะใจคนดู ดูเผินๆอาจจะเหมือนเล่นง่ายๆแค่แอ๊บแบ๊ว แต่ บทของเธอหากเล่นมากไปก็มีสิทธิที่คนดูจะหมั่นไส้มากกว่าชื่นชม หรือ เล่นน้อยไปก็จะลดทอนความต้องการล้อเลียนให้สมกับที่บทเขียนไว้ ต้องชมคนออกแบบการแสดงให้ ก็ช่างกัดบุคลิกเจ้าหญิงได้อย่างน่ารักน่าหยิกมากๆ

    เช่นเดียวกับ เจมส์ มาร์ดเดน ก็เก๊กเป็นเจ้าชายได้น่ารักน่าชัง ส่วน แพทริค เดมป์ซีย์ ก็เหมาะกับบทพระเอกดี เพียงแต่ถ้าเขายังซ้ำซากกับการทำตาซึ้งหวานใส่คนดูกับบทผู้ชายแสนดีพร้อมทรงผมเดียวกันทุกเรื่องแบบนี้ น่าห่วงเล็กน้อยว่า ถนนนักแสดงต่อไปอาจไม่สดใสนัก

    บทหนังหยิบเล็กผสมน้อยจาก ความเป็นเทพนิยาย และ ความเป็นดีสนี่ย์ ได้อย่างเต็มอิ่ม ทั้งหยิบสไตล์มาล้อเลียนได้อย่างแหลมคม และ หยิบตัวพล็อตจากเรื่องนั้นเรื่องนี้มาดัดแปลงให้เข้ากับยุคสมัยได้อย่างชาญฉลาด

    ต้องชม ผู้กำกับ เควิน ลีมา ที่ ถึงจะเติบโตมาในสายของหนัง เด๊กเด็ก อย่าง Tarzan กับ 102 dalmatians ผลงานชิ้นนี้คือ พัฒนาการก้าวกระโดดที่เข้าสามารถทำหนังเด็ก ให้ออกมาไม่ เด๊กเด็ก จนเกินไป และ สามารถครองใจคนดูได้ทุกเพศทุกวัย เหมาะเหลือเกินที่คนดูจะขนไปดูพร้อมกันทั้งครอบครัว


    สรุป ... สำหรับผม ฟันธง ล่วงหน้า ว่าสิ้นปี ต้องมีหนังเรื่องนี้ติด 1 ใน 10 หนังที่ชอบของปีอย่างไม่มีข้อสงสัย

    นี่คือหนังที่ดูไปยิ้มไปอย่างมีความสุข เป็นหนังเหมาะเหลือเกิน ในวันที่ไม่รู้จะยิ้มให้กับใคร หรือ ในวันที่รู้สึกว่าไม่มีใครยิ้มให้กับเรา เพราะเมื่อหนังจบเราก็จะรู้สึกว่า โลกใบนี้ยังหันมายิ้มให้ และ ทำให้เรา พร้อมจะมองข้ามความบกพร่องใดๆถ้าหนังจะมี

    ผมเดินเข้าโรงหนังพร้อมความรู้สึกหนักใจกับปัญหาส่วนตัว แต่เดินออกมาได้พร้อมรอยยิ้มและเปี่ยมสุขจากที่ไม่เคยมีในรอบสัปดาห์

    หน้าที่ของหนังเรื่องหนึ่ง หากสามารถทำได้มากขนาดนี้ จะไม่หลงรักได้อย่างไร





    บทความที่อ้างอิงถึงในกระทู้
    (บทความเหล่านี้เคยนำมาลงในกระทู้แล้ว)

    Music and Lyrics , หนังที่น่ารักที่สุดในรอบ(หลาย)ปี
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=02-2007&date=27&blog=1

    Stardust , เพราะเหตุใดดวงดาวจึงเปล่งประกายบนท้องฟ้า เพราะเหตุใดมนุษย์จึงควรค่าแก่การเฝ้ามอง
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=09-10-2007&group=14&gblog=37

    แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 51 08:52:05

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 1 ก.พ. 51 08:50:19 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com