| ชอบมาก ห้ามพลาด (17 คน) |
| ชอบ (16 คน) |
| เฉยๆ (3 คน) |
| ไม่ชอบ (0 คน) |
| ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (0 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 36 คน |
...เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูปประกอบเพลง อ่านความเห็นท่านอื่นๆ และเชิญชวนมาแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=20-02-2008&group=14&gblog=71
หมายเหตุ : บทความนี้ Rewrite บทความเดิมของตัวเองที่เคยเขียนไว้เมื่อสองปีก่อน และเขียนเพิ่มเติมจากส่วนที่เป็นภาพยนตร์
... ฮอลลี่ กับ เจอร์รี่ รู้จักกันมาตั้งแต่ช่วงมหาวิทยาลัย ทั้งคู่กลายมาเป็นสามีภรรยาใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุขอยู่นาน จนกระทั่ง ก่อนที่จะเข้าสู่วัย 30 ปี ฮอลลี่ต้องสูญเสียเจอร์รี่ให้กับมะเร็งร้าย
ในปีเดียวกับที่เจอร์รี่จากไป ในวันเกิดของฮอลลี่ เธอได้รับโน้ตที่เป็นลายมือของเจอร์รี่ ผู้เป็นทั้งสามี ,เพื่อนและคนที่เธอรักมากที่สุด พร้อมกับเนื้อความที่เป็นภารกิจบางอย่างสำหรับเธอ
จากนั้นในแต่ละเดือนก็จะมีโน้ตข้อความนั้นพร้อมลงท้ายข้อความว่า ปล.ผมรักคุณ
... จดหมายฉบับแล้วฉบับเล่า ที่ฮอลลี่ เฝ้ารอคอยการเปิดออกในแต่ละเดือน ทำให้เธอและคนอ่านเฝ้ารอด้วยความลุ้นและรวดร้าว
ลุ้นว่าฉบับหน้าจะมีเนื้อหาอย่างไร และ รวดร้าวใจเพราะรู้ว่าวันหนึ่งจะต้องถึงฉบับสุดท้าย
ในบทบาทของคนอ่าน เราอยากจะให้ถึงฉบับสุดท้ายไวไวเพราะอยากรู้เนื้อหา แต่ความรู้สึกก็ปนเปไปกับ การไม่อยากจะให้โน้ตฉบับสุดท้ายมาถึง เพราะคาดเดาไม่ถูกว่า ชีวิตที่ยังเหลืออยู่ของฮอลลี่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
....ไม่น่าเชื่อว่าผู้เขียน Cecelia Ahern จะเขียนนิยายเรื่องนี้ด้วยวัยเพียง 22 ปี เพราะเธอถ่ายทอดความรู้สึกของหญิงสาวผู้ที่สูญเสียคนรัก อย่างเข้าถึงทุกแง่มุมทั้งด้านชีวิตที่ต้องดำเนินต่อ การปรับตัวกับสังคมและคนรอบข้าง รวมไปถึงสื่ออารมณ์ผ่านตัวอักษรออกมาประหนึ่งว่าเธอเคยผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว
ประโยคในหนังสือประโยคหนึ่งที่บรรยายความรู้สึกตัวละครไว้ได้ดีในตอนต้น คือ การใช้ชีวิตที่ไม่มี ชีวิต เหลืออยู่มันจะเป็นไปได้อย่างไร คำว่า ชีวิตที่ไม่เหลืออยู่แล้ว ไม่ใช่แค่แปลความถึง ชีวิตของคนรักที่จากไป แต่อีกนัยยะหนึ่งคือ ชีวิตจิตใจของคนที่เหลืออยู่ก็สูญสลายไปแล้วเช่นกัน
...มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะนึกภาพว่า ชีวิตตัวเองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เมื่อคนรักของเราได้จากเราไปแล้วจริงๆ
เราจะเก็บข้าวของที่เป็นของเขาและของเราสองคนไว้ที่ไหน เช่น กรอบรูปบนโต๊ะ เสื้อผ้าที่เคยแขวนอยู่ในตู้ ฯลฯ จะเก็บไว้เหมือนเดิมหรือไม่ จะถอดแหวนแต่งงานเมื่อไหร่แล้วถ้าถอดจะทำอย่างไรกับมันต่อไป?
เพื่อนของเรากำลังมีความสุขกับคนรัก เพื่อนของเรากำลังจะแต่งงาน แต่เรากลับไม่สามารถรู้สึกยินดีไปกับพวกเขา ที่แย่กว่านั้น เราเองก็รู้สึกผิดที่ตัวเองรู้สึกแบบนี้ และลึกๆไปกว่านั้น เราเองกลับรู้สึกโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้น เมื่อเพื่อนๆกำลังจะไปมีชีวิตใหม่ เหมือนกับตอนหนึ่งที่ฮอลลี่พรั่งพรูความรู้สึกออกมาว่า ชีวิตของฉันดำเนินต่อไปอย่างที่ทุกคนทำไม่ได้ แล้วฉันก็แกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ด้วย
บทเพลงที่เคยร้องร่วมกัน เพลงที่เคยเป็นของเราสองคน เมื่อไม่มีเขาอีกแล้ว เราจะร้องเพลงนั้นได้อย่างไร ยิ่งร้องก็ยิ่งเจ็บปวด ยิ่งตอกย้ำความเป็นเราทั้งสองคนที่เหลือแค่ฉันเพียงคนเดียว หรือเราจะต้องหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ไปตลอดชีวิต
สถานที่ๆเราและเขาเคยไปร่วมกัน เราพร้อมที่จะเดินซ้ำรอยในเส้นทางเดิมอยู่อีกหรือไม่ ถ้าเส้นทางนั้นไม่มีเขาเดินเคียงข้างเราอีกต่อไปแล้ว และ ถ้าเราต้องเดินกับคนอื่น ความรู้สึกผิดที่มันถาโถมกระหน่ำเข้ามา เราจะจัดการกับมันอย่างไร
....ทั้งหลายทั้งปวงนี้คือสิ่งที่ Cecelia Ahern นำเสนอออกมาได้เห็นภาพและรู้สึกได้อย่างเหมือนจริงจนน้ำตาซึมตั้งแต่ต้นจนจบ
คำถามที่ตั้งไว้ข้างต้นว่าชีวิตที่เหลืออยู่จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรนั้น ล้วนได้รับการเฉลยอย่างแยบยลผ่านพล็อตอีกส่วนที่เป็นความฉลาดของผู้เขียน ที่นอกจากจะใช้โน้ตของเจอร์รี่ ในการชวนติดตามของคนอ่านไปจนถึงฉบับสุดท้ายแล้ว
โน้ตของเจอร์รี่ยังถูกใช้ในการเยียวยาใจ ใช้เป็นตัวคลี่คลายสิ่งที่ค้างคาใจในตัวละครให้กระจ่างชัด และทำให้เกิดพัฒนาการของจิตใจของฮอลลี่ โดยไม่ต้องอธิบายอื่นใดให้มากความให้เธอเข้าใจว่า
การที่ใครบางคนตายจากไป ไม่ได้หมายความว่าคนที่เหลือต้องหยุดใช้ชีวิตด้วย
......นอกจากนี้ผู้เขียนยังใส่ใจในรายละเอียดของคาแรกเตอร์ต่างๆ ให้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างมีความหมาย ไม่มีตัวละครใดที่ใส่มาเพื่อถูกทอดทิ้ง แต่ทุกตัวละครจะค่อยๆคลี่คลายปมที่ขัดแย้งในตัวนางเอกและในตัวของกันและกัน
โดยเฉพาะความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ผู้เขียนใส่ความขัดแย้ง แล้วค่อยๆเลาะปมนั้นออก พร้อมๆกับการคลายปมของฮอลลี่ ทำให้ PS, I Love You มีหลายมุมมองให้จับต้อง และทุกมุมมองนั้นต่างก็เชื่อมโยงให้กับกันและกัน
...แม้ว่าจะเคยมี The letter ที่เป็นภาพยนตร์เล่าเรื่องเนื้อหาใกล้เคียงกัน แต่ผมอินและชอบ P.S. มากกว่ากับการเล่าเรื่องที่ไม่เร้าอารมณ์ให้พรั่งพรูมากเกิน และจะว่าไปแล้ว ประเด็นหลักๆตอนท้ายก็ต่างกัน ใน The Letter ตัวละครที่จากไปพยายามจะบอกให้อีกฝ่ายรู้และไม่พร้อมที่จะปล่อยคนที่มีชีวิตอยู่ให้เดินหน้า แต่ ใน P.S. จดหมายถูกฉบับที่ส่งมามีเจตนาเพื่อที่ว่า ให้อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ต่อไป
นั่นจึงทำให้ ความรู้สึกขณะอ่านชนิดน้ำตาท้นพร้อมกับรอยยิ้มอยู่เป็นห้วงๆนั้น เกิดขึ้นตลอดทั้ง 479 หน้าที่อ่านจบภายใน 2วัน เช่นเดียวกับตอนที่ดูหนัง แม้จะรู้ล่วงหน้าแต่ก็ยังมีหลายฉากน้ำตาซึม
...ในหนังสือมี หลายตอนที่เรียกได้ว่าจี๊ดทะลุหัวใจ และบางตอนก็อบอุ่นเหลือเกิน (ผมชอบตอนเฉลยเรื่องทัวร์สเปนผ่านการเล่าสองเหตุการณ์) ส่วนในหนังสิ่งที่ชอบคือ ความสัมพันธ์ของแม่-ลูกที่ใส่เข้ามาดูน่าเชื่อถือและหนักแน่นเพียงพอต่อการพยุงเนื้อหาไปสู่บั้นปลาย
เนื่องจาก ต้นฉบับมีพล็อตที่แข็งแรงอยู่แล้ว หนังทำออกมาได้ไม่ดีกว่าและไม่ได้ด้อยกว่านิยายมากมายอะไร เพียงแต่ ในฐานะคนรักนิยายเรื่องนี้ ถึง ฮิลารี่ แสวงค์จะเล่นดีอย่างไร ใจตัวเองก็บอกว่า มันไม่ใช่คนนี้อะกิ๊บ มันไม่ใช่คนนี้
เพราะ ดูแสวงค์ที่ไรก็มีแต่ภาพสาวแกร่งติดตา ไม่เป็นสาวน้อยผู้อ่อนแอหลังสูญเสียดั่งเช่นตอนที่อ่าน ยิ่งในหนังแฟลชแบ็คไปตอนพบกันครั้งแรกของเจอรี่ กับ ฮอลลี่ ดูยังไงๆก็ไม่อินอย่างแรง ไม่รู้สึกเลยว่าเธออายุน้อยลงตามบทที่เขียนมา
นักแสดงในหนังที่ผมชอบคือเคธี่ เบทส์ ในบทแม่ และ ลิซ่า คูโดรว์ ที่ถอดแบบมาจาก Friends แต่ด้วยที่ชอบบุคลิกเธอจากเรื่องนั้นอยู่แล้ว ได้เจออีกทีเหมือนเจอเพื่อนเก่าที่ขำๆฮาๆสบายใจ ในขณะที่ชายคนใหม่อย่าง แฮรี่ คอนนิค จูเนียร์ ดูป่วยจิตไปนิดยิ่งเพิ่งเพี้ยนหลุดโลกใน Bug ภาพในหนังเรื่องนั้นยิ่งซ้อนทับหลอกหลอนตลอดเวลาที่เห็นหน้าในหนัง
... ไดอะล็อคดีๆในหนังที่ผมชอบ คือ คำสอนของแม่ที่มีให้ฮอลลี่ว่า สำหรับคนเป็นพ่อแม่ สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นเป็นอันดับสอง รองจาก การเห็นลูกตัวเองตายไปก่อนคือ การต้องเห็นลูกตัวเองเดินทางผิดเหมือนที่ตัวเองเคยเดินผิดมาก่อนแล้ว แม้จะพยายามห้ามเพียงใดแล้วก็ตาม
และ การอยู่เคียงข้างพร้อมประโยคสำคัญตอนท้ายที่อาจจะเคยได้ยินมาบ่อยครั้ง แต่ เมื่อได้ยินจากแม่ยามใช้ปลอบหัวใจโดดเดี่ยวของลูกที่ใกล้แตกสลาย กลับให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้ในทันทีว่า
แม้เราจะโดดเดี่ยว แต่จงรู้เถิดว่า เราไม่ได้โดดเดี่ยวเพียงคนเดียวในโลก ไม่ว่าพรุ่งนี้จะมีเราเพียงคนเดียวหรือมีคนอยู่ข้างๆ จะอย่างไรชีวิตก็ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป
...เหมือนเช่นตอนอ่านหนังสือที่ตัวอักษรในนั้น มีหลายอย่างที่ทำให้ได้เก็บไปคิด และ ทำให้ผมพบว่า
การที่ใครคนหนึ่งไม่ได้อยู่ตรงที่เดิม ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีเขาอีกต่อไป ความทรงจำที่เราเคยมีกันและกัน จะทำให้มีเธออยู่เคียงข้างฉันตลอดไป
ดั่งประโยคที่ฮอลลี่และเจอร์รี่บอกต่อกันและกันว่า
เก็บความทรงจำที่แสนวิเศษของเราไว้ แต่อย่ากลัวที่จะสร้างความทรงจำดีๆใหม่ให้มากขึ้น
ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
...เมื่อตอนที่ผมอ่านหนังสือจบ บทเพลงนี้คือเพลงที่ดังก้องอยู่ในหัวไปพร้อมๆกับการเขียนบทความนี้ บทเพลงที่บอกให้คนฟังได้รู้ว่าชีวิตต้องเดินต่อไป และ การคิดถึงต่อคนที่จากไปนั้นก็ยังคงอยู่ เพียงแต่ เราจะเดินไปพร้อมๆกับความทรงจำที่เคยมีอันงดงาม และ เราจะต้องไม่ทุกข์ทนกับวันวานอีกต่อไป
ได้ยินเสียงบทเพลงที่เธอชอบฟังและทุกครั้งก็ยังแอบมีน้ำตา ยิ่งเวลารู้สึกไม่มีไม่เหลือใครอยู่ตรงนี้
ขอบฟ้าที่เรานั่งมองคราวนั้นยังมีความหมาย ต้นไม้ลำธารยิ่งมองยิ่งคิดถึงเธอมากมาย
ชีวิตที่มันขาดเธอวันนี้ยังเดินต่อไป
แค่ได้คิดถึงก็เป็นสุขใจ
และจะคิดถึงเธอตลอดไป
แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 51 11:09:32
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
20 ก.พ. 51 11:03:03
]