| Juno (5 คน) |
| Michael Clayton (1 คน) |
| Atonement (14 คน) |
| There will be blood (4 คน) |
| No Country for Old Men (14 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 38 คน |
... เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป อ่านความเห็นอื่นๆ และ ชวนไปแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=24-02-2008&group=5&gblog=102
กระทู้นี้ไม่ใช่กระทู้ทายผลออสการ์ ดังนั้นจาก 5 เรื่องที่เข้าชิง คณะกรรมการตัวจริงจะว่าอย่างไร เราไม่รู้
แต่
...ถ้าคุณถือออสการ์ไว้ในอ้อมกอด และจำต้องยกให้หนังเพียงเรื่องเดียวในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีนี้
คุณจะเลือกใคร พร้อมขอเหตุผลที่คุณตัดสินใจเลือกด้วยครับ
สำหรับผมฯ
ตัวเองจำต้องตัด Juno ทิ้งเป็นเรื่องแรก เพราะหนังดันไม่เข้าโรง แถมแผ่นปี๋ที่หามาก็ดันเจ๊งเสียก่อน ก็เลยต้องตกรอบไปก่อนโดยไม่เกี่ยวกับคุณภาพใดๆ
จากสี่เรื่องที่ได้ดู พบว่า Atonement , Michael Clayton , There will be blood และ No Country for Old Men ต่างมีความน่าสนใจตรงที่ ทั้งสี่เรื่องเล่นกันตรงประเด็น ความชั่วร้ายในก้นบึ้งหัวใจมนุษย์ ที่ถูกขุดออกมาประจาน ผ่านลูกเล่นลีลาที่แตกต่างกัน
Michael Clayton เป็นหนังที่ตัวเองมองว่า ด้อยที่สุด ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดี แต่ยังไม่ดีพอที่จะขึ้นเวทีต่อกรกับคู่แข่งของปีนี้ ที่แต่ละเรื่องล้วนเขี้ยวลากดิน
ถึงหนังทนายความของผู้กำกับ โทนี่ กิลรอย อดีตมือเขียนบทระดับพระกาฬจากbourne ทั้งสามภาคที่ขยับมากำกับหนังเองเรื่องแรก ยังคงเจ๋งตรงการลำดับเรื่องราวสลับไปมาน่าทึ่ง และ ตรึงคนดูไว้ด้วยการแสดงสุดเจ๋งของ ทอม วิลกินสัน , ทิลดา สวินตัน และ จอร์จ คลูนี่ย์ แต่ สารที่หนังนำเสนอมันไม่มีอะไรแปลกใหม่เท่าไหร่ และ ถ้าวัดในด้านคุณภาพมาชนกัน เรื่องที่เหลือก็หาได้ด้อยกว่า แต่ มีลูกเล่นในการนำเสนอที่ละลานตากว่า
...สามเรื่องถัดมานี้ ผมคิดว่า ทั้งสามเรื่องคู่ควรเป็นเจ้าของรางวัลได้ทั้งสิ้น หากไปโผล่ประกวดในปีอื่นๆ อาจจะคว้าลุงออสการ์ไปคนละตัวเรียบร้อย
Atonement หนังพีเรียดราม่าเนื้อหา รักในรอยบาป ก็ใช่ว่าจะมีอะไรแปลกใหม่ไปกว่า ทนายภารโรง แต่เป็นที่ลูกเล่นในการนำเสนอซึ่งช่างแพรวพราวเหลือเกิน
ลูกโชว์ของผู้กำกับโจ ไรท์ ทั้งการเล่นกับเสียงพิมพ์ดีดที่แฝงความหมาย , การเล่าเรื่องซ้ำซ้อนต่างมุมมอง , การกระโจนเนื้อหาข้ามเวลไปมา , การเล่นสี , ฉากลองเทคริมหาด , การแสดงของไบรโอนี่สามช่วงวัย , การรีดฝีมือนักแสดงนำ , ดนตรีประกอบ ฯลฯ เรียกได้ว่าองค์ประกอบทั้งหลายแหล่ล้วน ทำให้หนังเรื่องนี้ งดงามจับจิต
และเมื่อดูหนังจบก็ใช่จะจบแล้วจบกัน พอคิดทบทวนย้อนหลังก็ยิ่งสนุกคิดและสะเทือนใจ
There will be blood อาจจะมีลีลาน้อยกว่าเรื่องอื่นๆ แต่การที่เดินหน้าอย่างใจเย็นค่อยๆเปิดเปลือกความชั่วร้ายของมนุษย์ที่คนหนึ่งใช้ความโลภกับอีกคนที่ใช้ศรัทธาเป็นอาวุธเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายที่ตัวเองต้องการโดยไม่คำนึงถึงใคร ราวกับฝนตกขี้หมูไหลที่ทำให้คนสองคนได้มาพบกัน และ เมื่อถึงที่สุดนั้น ความชั่วร้ายก็สำแดงฤทธิ์เต็มตัวจะไม่มีการหลบๆซ่อนๆอีกต่อไป หนังมีผลงานการแสดงที่เข้มข้นเหลือกำลังของ แดเนี่ยล เดย์ลิวอิส และ พอล ดาโน่ (เล่น Little miss sunshineดีแล้ว เรื่องนี้ยังดียิ่งกว่า)
สามสิบนาทีแรกของความเฮี้ยนที่ไร้เสียงบรรยายหรือบทสนทนา คือการโชว์ทักษะการเล่าเรื่องขั้นอ๋องของผู้กำกับที่ใช้การถ่ายภาพ และ ดนตรีประกอบควบคู่ไปกับความเงียบตามด้วยเสียงเด็กร้อง ค่อยๆ ขับเคลื่อนตัวละครไปข้างหน้าอย่างทรงพลัง บอกได้คำเดียวว่าหนังเรื่องนี้ ไร้ที่ติ
ไม่น่าเชื่อว่านี่คือผลงานของผู้กำกับอายุน้อยและทำหนังมาไม่กี่เรื่อง แต่มันยืนยันถึงอัจฉริยภาพของ พอล โธมัส แอนเดอร์สัน ที่น่าติดตามต่อๆไปว่า เมื่อแก่พรรษาขึ้น หนังของเขาจะยิ่งดีไปได้ถึงขนาดไหนอีก และที่ผมชื่นชมแบบสุดๆจากหนังเรื่องนี้ คือดนตรีประกอบที่บรรยายความรู้สึกของตัวละครและเหตุการณ์ในเวลานั้นได้อย่าง สุดยอด สุดยอด และ สุดยอดดดดดด
No Country for Old Men เก๋าในการนำเสนอ เรื่องราวที่เหมือนจะธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา จะดูเอาแอคชั่นไล่ล่าก็ลุ้นแทบหยุดหายใจ แต่หากจะคิดวิเคราะห์ต่อยอดไปก็จะพบ สิ่งที่หนัง ลับ ลวง พราง ไว้ตลอดเวลา หนังมีลูกเล่นมากมายไม่แพ้ Atonement เพียงแต่ลูกเล่นของหนังเรื่องนี้ไม่ได้โชว์พลิ้วแพรวพราว แต่แฝงความเก๋า หนักแน่น และ ปล่อยเข้าเป้าจังๆเหมือนมีดบินของลี้คิมฮวง
ทุกองค์ประกอบของหนังเรื่องนี้ล้วนสมบูรณ์แบบ และ ติดตรึงในความทรงจำ ไม่ว่าจะเป็น ฉากไล่ล่าซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้กำกับคุมอารมณ์คนดูได้อยู่หมัดจนแทบจะหยุดหายใจ , การกำกับภาพที่ถ่ายทอดความรุนแรงได้ดิบแต่งดงาม , วิธีการเล่าเรื่องแบบ ไม่เล่า ทิ้งให้จินตนาการคนดูทำงานทดแทนก็ได้ผล และ การแสดงของ Javier Bardem ก็ส่งให้บทบาท วายร้ายที่น่าสะพรึง คนนี้ขึ้นหิ้งไปอีกนานแสนนาน
สรุป : There will be blood ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อเทียบกับ No Country for Old Men แล้ว ผมยังแอบส่ง No Country for Old Men เข้าเส้นชัยมากกว่าแบบฉิวเฉียด เพราะมีอะไรให้ตีความท้าทายคนดูมากกว่านิดนึง ถึงที่ผ่านมาผมจะไม่เคยชอบหนังของพี่น้องโคเอน แต่เรื่องนี้คือข้อยกเว้น
ทั้งสองเรื่องนี้คือหนังที่ perfect แบบไร้ที่ติ และ สามารถคว้าออสการ์ได้อย่างคู่ควร แถมยังดีกว่าหนังออสการ์อีกหลายๆปีทีได้รางวัลเสียด้วยซ้ำ
ถ้าวัดกันโดยไม่ใช่หัวใจ แต่ใช้สายตากับสมอง ผมเรียงลำดับความประทับใจดังนี้ No Country for Old Men > There will be blood > Atonement ซึ่งเฉือนกันเรียกว่าไม่เกิน 0.5 คะแนน แต่ถ้าต้องเลือกเพียงหนึ่งเดียวเพื่อยกออสการ์ให้
ผมขอเลือกด้วยหัวใจ กับหนังที่เกิดความรู้สึกที่กัดกินใจได้ยาวนานกว่า ผมชอบมากกว่า ดังนั้นแน่นอนว่า ผมยกออสการ์ในมือให้
Atonement
บทความที่อ้างอิงถึงในกระทู้
(บทความเหล่านี้เคยนำมาลงในกระทู้แล้ว)
Michael Clayton , ชีวิตของทนายภารโรง
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=21-11-2007&group=14&gblog=47
ขอสวมหน้าม้ามาอาสาเชียร์ >> Atonement << หนังดีๆที่แพรวพราวและงดงาม
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=10-02-2008&group=14&gblog=68
ออสการ์ กับ หนังที่ 'หนัก แมน แรง ชั่ว' (1) , No Country for Old Men
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=23-02-2008&group=14&gblog=73
There will be blood
(coming soon)
แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 51 11:56:25
แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 51 11:14:31
แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 51 10:55:03
แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 51 10:52:58
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
24 ก.พ. 51 10:39:25
]