CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; "The Mist" ... ความกลัวที่จองจำ กับการกระทำที่จองเวร [อภิมหึมามหา SPOILER...ผมเตือนคุณแล้ว]

      เกรด A -> 9-10 คะแนน (45 คน)
      เกรด B -> 6-8 คะแนน (11 คน)
      เกรด C -> 3-5 คะแนน (2 คน)
      เกรด D -> 1-2 คะแนน (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 58 คน

     77.59%
     18.97%
     3.45%
     0.00%


    คำเตือน : จากหัวกระทู้ ผมได้จั่วเอาไว้แล้ว ว่านี่เป็นบทความที่หาญกล้าจะกระทำชำแหละเรื่องราวหลักๆที่ถูกเล่าแต่ต้นจนจบของหนังเรื่องนี้... ฉะนั้นแล้ว ใครยังไม่ได้ดู ก็ต้องขอชวนให้ไปดูกันก่อน จะได้อ่านรีวิวนี้ได้อย่างสะดวกใจ และไม่ขัดเคืองอารมณ์ครับ ...ผมเตือนคุณแล้วนะ

    การที่หนังแนวระทึกสักเรื่องได้ขึ้นชื่อว่าเคยเป็นนิยายของ "สตีเฟ่น คิง" มาก่อนหน้านั้น ย่อมจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นได้หมด สำหรับคนที่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของนักเขียนผู้นี้... แต่สำหรับคนที่รู้เพียงแต่ว่ามันเป็นหนังระทึกอีกเรื่องหนึ่งนั้น อาจจะเห็นว่าเนื้อเรื่องแทบจะไม่แหวกจากขนบเดิมๆสักเท่าไหร่หรอก ...เพราะอะไรๆที่มันจะระทึกได้นั้น ก็ย่อมมีปัจจัยมาจากเรื่องราวของสองฝักสองฝ่าย อะไรก็ตามซึ่งแบ่งออกสองขั้ว ต้องมาเผชิญหน้ากัน แล้วต่างกระทำการสู้กับอีกฝ่าย เพื่อให้เหลือฝ่ายเดียวที่จะเป็นผู้ชนะอย่างสมบูรณ์

    ซึ่งหากลองย้อนกลับไปมองผลงานเก่าๆของนักเขียนนิยายนาม สตีเฟ่น คิง แล้ว ก็จะล้วนเห็นว่านิยามความระทึกของเขาผู้นี้ ไม่ได้ต่างไปจากสารบบทั่วไปที่พึงเป็นกันของเรื่องราวในแนวนี้เลย แถมออกจะเป็นเรื่องง่ายดายด้วยซ้ำ ที่จะพิจารณาความเป็นไปของมันในมุมมองของความบันเทิง ที่เน้นความมันส์เข้าว่า ความสยองเข้าขั้น...

    แต่นั่นก็เพียงการมองในมุมเดียวที่คาดหวังความสนุก ...หากยังมีอีกมุมหนึ่งที่ คิง พยายามจะทำไม่เหมือนใคร (อาจเรียกได้ว่า บุกเบิก) และถึงต่อจะมีใครอีกหลายคนที่พยายามทำให้เหมือนแล้ว ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นสุดยอดเทียบเท่าปรมาจารย์นักเขียนเรื่องสยองคนนี้เคยทำไว้ได้แต่อย่างใด

    สตีเฟ่น คิง ได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนนิยายคนหนึ่งที่เก่งกาจอย่างยอดเยี่ยม ในการพยายามเจาะลึกถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ โดยนำมาตีแผ่สร้างความผ่านเรื่องราวชวนระทึกทั้งหลายที่เขาคิดและเขียนขึ้นเพื่อจะก่อความบันเทิงให้คนอ่าน แต่ลึกๆก็ยังหวังจะให้แก่นๆนั้น ได้เจาะทะลุไปยังใจคนอ่าน เผื่ออาจจะสร้างแรงบันดาลใจอะไรๆได้มากไปกว่าความสนุกของหนังสือสักเล่มที่ได้หยิบขึ้นมา อ่านจนจบแล้วก็วางลงไปเหมือนๆเคย

    ถ้าหน้าที่ของคนเขียนนิยาย สักคนหนึ่ง จะหมายถึง การสร้างความสนุกหฤหรรษ์ไปกับเรื่องตรงหน้าได้อย่างสนิทใจแล้ว สตีเฟ่น คิง ย่อมไม่พลาดจากการได้รับการยกย่องในเรื่องนี้ ...แต่ถ้า เสน่ห์ของตัวหนังสือจากสมองและปากกาของใครสักคน จะมีคุณค่ามากพอที่ทำให้เราควรต้องจดจำมันมากไปกว่าความบันเทิงแล้ว ...สตีเฟ่น คิง ก็ย่อมเป็น คนหนึ่งคนนั้น ที่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงความเป็นคนเขียนนิยายที่มีคุณค่ามากไปกว่าการแต่งหนังสือเพื่อหาประโยชน์(เงิน)เข้าตัวเพียงอย่างเดียว

    ข้อพิสูจน์ที่ว่าไปนั้น ถ้าลองไม่ยกตัวอย่างอาจจะเห็นภาพแบบไม่แจ่มแจ้ง ...แต่ถ้าพูดเพียงว่านิยายของ คิง เคยผ่านมือผู้กำกับยอดอัจฉริยะที่เก่งพอจะถ่ายทอดจนเป็นหนังคลาสสิคอย่าง สแตนลีย์ คูบริค (The Shining) , ร็อบ ไรเนอร์ (Misery) , ไบรอัน เดอ พัลมา (Carrie) มาแล้ว ก็เกินพอจะยืนยันได้เป็นมั่นว่า ของ(คิง)เขาแรงจริงๆ

    แล้ว(จากบรรทัดบน)ในที่นี้ ก็ยังไม่ทันได้รวมอีกหนึ่งคนที่มา(กับนิยายของคิง)พร้อมความแตกต่าง ...และชื่อของ "แฟรงค์ ดาราบอนต์" ก็คือหนึ่งคนนั้นที่หาญกล้าจะหยิบเอาเรื่องราวเชิงดรามาลึกซึ้ง ซึ่งก็อาจมีข้อแม้ดูจะไม่ใช่แนวถนัดของคิง... หากถึงกระนั้น มันก็ถูกดัดให้เข้าขั้นเยี่ยมยอด กลายมาเป็นหนังคลาสสิคอีกหนึ่งเรื่องที่แตกต่าง และได้ชื่อว่า คนรักคิงต้องดูอย่าง "The Shawshank Redemption"  ...แล้วก็อาจจะด้วยความถูกโฉลกของคนทั้งสองอีกนั่น ก็เลยนำมาซึ่งอีกหนึ่งครั้งของงานคิงที่แปลงกายเป็นหนังดี
    (ที่ดันเกิดเรื่องอยู่ในคุก เหมือนๆกัน) กับ "The Green Mile"
     
    สองเรื่องที่ว่าไป อาจจะเหมือนว่าเพียงพอแล้ว สำหรับผู้กำกับหนึ่งคน ที่เคยได้มีโอกาสสร้างชื่อน่ายกย่องจากการทำหนังที่กำเนิดมาจากนิยายสุดเยี่ยมของ สตีเฟ่น คิง ...แต่กับ แฟรงค์ ดาราบอนต์ คนนี้ ก็อาจจะยังน้อยไปสักนิด ถ้าขาดซึ่งการทำหนังของเขาสักเรื่อง ที่ได้แตะกับความระทึกในสไตล์ของคิงที่เป็นของตายสักที ...และโอกาสนั้น มันก็ได้มาพร้อมกับ เรื่องราวทริลเลอร์เขย่าประสาท สัตว์ประหลาด และมหันตภัยสีขาว ที่เรียกชื่อแทนว่า 'หมอก'

    "The Mist" ...  เล่าเรื่องง่ายๆ ในรูปแบบทฤษฎีทริลเลอร์ทั่วไป กับเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นมาอย่างน่าฉงนในชุมชนเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง ...เมื่อ หมอกขาวอันหนาจัด ได้เข้าปกคลุมเมืองทั้งเมืองจนแทบจะมองอะไรด้วยตาเปล่าไม่เห็น ...และด้วยความคิดในเชิงมหันตภัยโดยถ้วนหน้า จึงก่อให้เกิดการรวมตัวของผู้คน มุ่งหน้าไปสู่ ซูเปอร์มาร์เก็ต แห่งเดียวในเมือง ที่มีของอุปโภคบริโภคครบครันให้ชาวบ้านมาจับจ่าย เตรียมเสบียง เพื่อจะรักษาตัวรอดรอคอยให้หมอกเลือนลางจากไป

    แต่แล้วอะไรๆที่เหมือนจะไม่ร้ายแรง มันก็ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปในเชิงที่แย่กว่า เมื่อมีใครบางคนวิ่งหนีตายอย่างอลหม่านเพื่อบอกว่า นี่มันไม่ใช่แค่หมอกธรรมดา หากภายในของมันมีสิ่งมีชีวิตอันเหี้ยมโหดอาศัยหลบบังซ่อนเร้น หวังจะปลิดชีพทุกๆคนที่หลงเข้าไปอยู่ในหมอกให้ดาวดิ้น กลายเป็นเหยื่ออันโอชะของมันโดยถ้วนหน้า
     
    ก็อย่างที่พูดไปข้างต้น ...ถ้าคนที่รู้เรื่องเพียงแต่ว่ามันคือหนังระทึกขวัญ ก็จะไม่เห็นอะไรในเรื่องราวมากไปกว่า การทำอะไรก็ได้ของกลุ่มตัวละครเพื่อรอดพ้นไปจากความตายที่รอเบื้องหน้า ...แต่สำหรับคนที่รู้ว่านี่เป็นหนังจากนิยายของ สตีเฟ่น คิง ก็จะคิดถึงในแง่ที่ลึกกว่าการเป็นหนังทริลเลอร์อีกเรื่องหนึ่ง และเกิดความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปกับเหตุการณ์ที่เกิดอยู่บนหน้าจอ

    เงื่อนไขของ The Mist ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ สัตว์ประหลาด ที่รอเหยื่อของมันอยู่ข้างนอก ...แต่หนังกลับวางกับดักให้เรื่องราวทั้งหมดเกิดมาจากความสิ้นหวังที่เป็นเหมือนหมอกเข้าปกคลุมทุกอาณาพื้นที่ภายในของซูเปอร์ฯ และความหวังที่มีค่าเป็นศูนย์นี้ก็ได้ไปปลุกสัญชาตญาณความกลัวในใจมนุษย์ให้ตื่น พร้อมผลักดันให้ก่อเกิดซึ่งความขัดแย้งในความคิดและการกระทำ อันกลายเป็นความรุนแรงของการทำร้ายทำลายมนุษย์ด้วยกันเอง ทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว

    ความอัจฉริยะทางความคิดของคิง ได้วางให้สถานการณ์ภายในซูเปอร์ฯแห่งนี้ เกิดการรวมตัวของผู้คนร้อยพ่อพันแม่ ที่ต่างลักษณะ ต่างความคิด ต่างความรู้สึก... คาแรกเตอร์ตัวละครที่มีอยู่มากมายเป็นสิบๆในที่นี้ คือ เงื่อนไขสำคัญ ที่จะเป็นตัวแปรอันนำพาไปถึงทั้งความสวยงาม หรือ ความหายนะในจุดจบ ได้เหมือนๆกัน ...โดยขึ้นอยู่กับความคิดและการกระทำของพวกเขาล้วนๆ

    The Mist เปิดฉากก่อนเหตุการณ์หมอกมรณะ ด้วยการเกริ่นนำถึงเรื่องราวของพระเอก "เดวิด เดรย์ตัน" ผู้ที่มีหน้าที่การงานเป็นนักเขียนภาพโปสเตอร์หนัง และต้องเคร่งเครียดเมื่อจู่ๆ พายุก็เข้าโจมตีบ้านของเขา และทำลายงานศิลปะที่ตั้งใจจะทำให้เสร็จ เพื่อเร่งส่งไปยังลูกค้าอย่างไม่เหลือชิ้นดี ซึ่งด้วยเหตุฉะนี้แล้ว เดวิด จึงต้องรุดหน้าไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตในเมือง เพื่อซื้ออุปกรณ์ในการทำงานชิ้นนั้นใหม่ให้จบๆไปซะ ...พร้อมกันนั้น เขาก็พาลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เข้าเมืองไปด้วยกัน ทิ้งภรรยาและแม่ของลูกไว้ให้อยู่เฝ้าบ้านอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง

    ความเจ๋งอย่างแรกในการเล่าเรื่องของผกก.ดาราบอนต์ เกิดขึ้นมาพร้อมกับการเกริ่นนำเรื่องราวของตัวละครอื่นๆที่อยู่แวดล้อมพระเอกในซูเปอร์ฯแห่งนี้ ...ด้วยเวลาแค่ไม่กี่นาที กับการแสดงถึงลักษณะต่างๆของแต่ละตัวละครซึ่งอาจจะเพียงผิวเผินนั้น แต่ผมกลับมองว่า นั่นเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้วที่จะแนะนำให้เราได้รู้จักกับบุคคลเหล่านี้เอาไว้ก่อน เพราะภายหลังจากฉากนั้น อันจะมาพร้อมกับหมอกที่คืบคลานปกคลุม เราก็ยังมีเวลาอีกมากที่จะรู้ว่าใครเป็นใครมากไปกว่านี้ได้อีก

    สถานการณ์ที่หมอกเข้าปกคลุมในที่นี้ กลายมาเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของคาแรกเตอร์ผู้คนแต่ละคน ซึ่งปรากฏกายออกมาเป็นการแสดงสันดานทางความคิดและการกระทำที่ ต่างคนต่างก็มีรูปแบบที่อยากจะต่อสู้กับความกลัวในจิตใจทั้งที่เหมือนคนอื่นและเป็นตัวของตัวเอง ...และด้วยสันดานที่ทั้งเหมือนและไม่เหมือนกันนั่นเอง ก็ก่อให้เกิดการแบ่งแยกของผู้คนในที่นี้ เป็นสองฝักสองฝ่าย ที่ต่างตั้งหน้าจะประหัดประหารฝ่ายตรงข้าม ให้กระทำการเป็นไปตามใจต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง

    "มิสซิส คาร์โมดี้" คือ ตัวละครสำคัญที่ทำให้เรื่องราวของผู้คนในหนังต้องแตกแยกออกมาเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจนในที่นี้ ...จากการที่เธอบอกกับทุกคนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นโทษทัณฑ์ที่พระเจ้าเบื้องบนต้องการสอนสั่งมนุษย์ที่ใจต่ำในวันนี้ และสิ่งนี้จะผ่านพ้นไปได้ต่อเมื่อ มีคนอย่างเธอเป็นผู้นำ ที่จะพาทุกๆคนไปพบกับสิ่งที่ถูกที่ควร

    ในช่วงเวลาที่ชะตากรรมตกอยู่ในอันตรายอย่างถึงที่สุด ...สิ่งแรกที่มนุษย์ทุกๆคนจะนึกถึง ก็คือ การยอมทำอะไรก็ได้ เพื่อให้อยู่รอดจนถึงที่สุด ...และนั่นก็คือ ชะตากรรมของผู้คนใน The Mist ที่ไม่เหลืออะไรจะให้สนใจอีกต่อไป ขอเพียงแต่ข้าต้องไม่ตายในที่แห่งนี้ ก็พอใจแล้ว

    เรื่องราวสัตว์ประหลาดภายนอกที่มีตัวตน อาจว่าเลวร้ายน่ากลัวแล้ว แต่ก็ยังมิอาจเทียบได้กับสัตว์ประหลาดในใจคน ที่พยายามเข่นฆ่าตัวตนของบุคคลนั้นๆให้ตายช้าๆอย่างทรมาน ...นั่นเป็นเรื่องราวที่เราได้เห็นจากตัวละครทุกตัวในหนัง ที่ถูกเฉลี่ยบทบาทให้แสดงออกซึ่งความกลัวในทุกรูปแบบกลวิธี ไม่ว่าจะคิดจะพูดหรือจะชักนำคนอื่นให้คิดหรือพูดตาม... แต่ถึงจะงัดมันออกมาใช้กำลังมากสักแค่ไหน ลึกๆแล้วความกลัวก็ยังไม่ได้ลดปริมาณลงไป มิหนำซ้ำ ยังจองจำให้ผู้คนติดอยู่ในสถานการณ์อันมืดแปดด้าน ไม่อาจหลุดพ้นได้จาก ม่านหมอกเบื้องหน้าที่จองจำผู้คนให้ต้องจำใจมาอยู่รวมกันในที่แห่งนี้

    แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 51 17:04:06

    จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN - [ 17 มี.ค. 51 16:55:53 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com