Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    My Blueberry Nights อาจจะไม่ใช่หนังหว่อง กา ไว ที่ดีมาก แต่หนังอบอุ่นหัวใจมากครับ (ไม่มีสปอยล์ครับ)

    แล้วก็ได้ไปดูหนังเรื่องใหม่ของลุงหว่องมาเมื่อคืนทีสกาล่า แหม มันช่างเป็นโรงที่เหมาะกับหนังลุงหว่องเสียนี่กระไร หนังเรื่องใหม่ลุงหว่องมาพร้อมมาดใหม่ด้วยการเป็นหนังภาษาอังกฤษเรื่องแรก และไหนๆจะเล่นภาษาอังกฤษแล้ว ลุงเลยขอเที่ยวทั่วสหรัฐด้วยการสร้างหนัง road movie มันซะเลย ทั้งๆที่ความคิดเริ่มต้นมาจากฉากที่ถูกตัดไปจาก in the mood for love เท่านั้น เอากะลุงดิ

    เล่าเอาแบบสั้นๆดีกว่า ไม่ใช่บลอกตัวเอง เขินถ้าจะเขียนยาวๆ บทวิจารณ์ดีดีเดี๋ยวรอผู้เยี่ยมยุทธท่านอื่นๆนะครับ

    หนังก็เหมือนหนังที่คุ้นเคยของลุงด้วยการเต็มไปด้วยตัวละครที่บาดเจ็บหัวใจ  
    ผู้หญิงอกหักจากการถูกคนรักทรยศ, เจ้าของร้านอาหารผู้เปลี่ยวเหงา, ตำรวจแสนดีที่ยังทำใจไม่ได้จากการเลิกรา, ผู้หญิงรักอิสระที่ความรักเหมือนเป็นโซ่ล่ามเธอไว้, และสาวน้อยโหยหาความอบอุ่นที่โกหกทุกคนรวมทั้งตัวเธอเองเพื่อสร้างเกราะป้องกันหัวใจ

    และนอกจากตัวละครจี๊ดๆแล้ว เอกลักษณ์อื่นๆก็มาเกือบครบ ทั้งบทพูดที่เหมือนหมัดฮุกหนักๆเข้าไปโดนที่ลิ้นปี่ บทที่เต็มไปด้วยการอุปมาอุปมัย พูดออกมาแล้วเท่เหลือหลาย หรือการใช้ภาพเล่าเรื่องราว แต่น่าแปลกที่เหมือนกลับว่าเราเคยเห็นสิ่งที่ดีกว่ามาแล้วจากหนังเรื่องเก่าๆของลุงหว่องอ่ะครับ อย่างบทที่เท่มั่กๆ แต่บางครั้ง (จริงๆก็หลายครั้ง) ที่รู้สึกแบบว่าประดักประเดิด หรืออย่างงานกำกับภาพที่สวย โดยเฉพาะตอนที่ปรับเร่ง contrast ขึ้นไปอ่ะครับ แต่ผมว่ามันยังเทียบไม่ได้กับแนวภาพเท่ๆ แล้วยังสื่ออารมณ์ลึกๆแบบคริสโตเฟอร์ ดอยด์อ่ะครับ

    แต่ส่วนที่ผมชอบมากๆในเรื่องนี้คือดนตรีประกอบ ทั้งเรื่องอบอวลไปด้วย standard jazz (ก็แน่ล่ะซิ มีนอร์ร่า โจนส์นิ) ที่รู้สึกได้ถึงความเหงาของตัวละคร นอกจากเพราะ สื่ออารมณ์ความรู้สึก ขับดันเรื่องราวไปข้างหน้าแล้ว ยังเปลี่ยนแปลงไปตามสถานที่ในเรื่องอีกด้วย จาก jazz ในนิวยอร์ค เพิ่มความเป็นโฟล์กแบบลูกท่งในเมมฟิส แล้วพอไปถึงเวกัสก็ใส่ลูกเล่นในดนตรีถึงความยั่วยวนและไม่น่าไว้วางใจ (แบบที่ว่าถ้าหลับตาแล้วได้ยินดนตรีแบบนี้ ถ้าไม่นึกถึงเวกัส ก็นึกถึงฟลอริด้าทันที)

    อีกส่วนที่ผมชอบมากๆ ก็เหล่านักแสดงในเรื่อง ก็ไม่ให้ชอบได้ไง ก็ลุงเล่นขนพวกถ้าไม่มีออสการ์ในมือ ก็เป็นพวกเดินเฉียดเวทีมาแล้วทั้งนั้น

    จูด ลอว์ มาตรฐานมากๆกับการเป็นผู้ชายขี้เหงาแสนดี แต่ที่พิเศษก็ตอนที่ไม่มีจูด ลอว์อยู่บนจอ แต่เรากลับรู้สึกถึงเค้าได้ตลอด

    เดวิท เสตรทเทรน กับบทนายตำรวจหัวใจสลาย เป็นบทที่ถ้าไม่นับนอร์ร่า โจนส์ ก็เป็นบทที่มีเนื้อมีหนังที่สุด และเค้าก็ทำได้ดีมากๆ แสนดี ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมใครๆก็รักเค้าในเวลากลางวัน และน่าสงสารสุดๆเวลาที่เมาเพื่อจะผ่านเวลากลางคืนไปได้ การแสดงที่เวลาที่ค่อยๆผ่านไป ก็ค่อยๆทำให้คนดูใจสลายตาม

    ราเชล ไวส์ แม้จะเหมือนโทรม แต่สวยสุดยอด และทรงพลังสุดๆ แค่ตอนเธอเดินเข้ามาในฉาก ก็สามารถดึงความสนใจจากคนดูได้ทันที กับบทที่เหมือนเมายาและเกรี้ยวกราดอยู่ตลอดเวลา แต่เธอยังทำให้เรารับรู้ได้ว่า ภายใต้ความรุนแรงมันซ่อนความเหงาเอาไว้ในใจ ทุกวินาทีที่ราเชล ไวส์อยู่บนจอเธอให้การแสดงในระดับที่ ทุกคนที่อยู่ด้วยกลายเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากไปเลย โดยเฉพาะเมื่อมาถึงฉากขายของเธอ ตอนที่เธอนั่งพรรณาถึงอดีตของตัวเองที่เป็น long take ม้วนเดียวจบ เจ๋งมากๆ และนอร์ร่า โจนส์ที่ประกบเธอในฉากนั้น แทบจะกลายเป็นความว่างเปล่าไปเลย

    นาตาลี พอร์ตแมน เรื่องนี้ความสวยลดลงอย่างแรง แต่ศักยภาพนักแสดงเด่นชัดมากๆ ตั้งแต่การต้องเล่นสำเนียงแบบคนใต้ รวมถึงการเป็นผู้หญิงที่พยายามกร้านโลก ไม่เชื่อใจใคร แต่ภายในกลับโหยหาอะไรบางอย่าง เยี่ยมครับ

    น่าเสียดายที่หนังแบ่งเรื่องราวออกเป็นเรื่องย่อยๆ ทำให้ไม่ได้ลงลึงในเนื้อหนังของแต่ละตัวละครเท่าที่ควร มีเพียงนอร์ร่า โจนส์เท่านั้นที่เป็นตัวนำและขับเคลื่อนเรื่องราว

    ครั้งหนึ่งหว่องกาไว เคยทำให้เฟย์ หว่องให้การแสดงที่สุดยอดมาแล้ว แต่นอร่า โจนส์ไม่ใช่เฟย์ หว่อง นอร์ร่า โจนส์สวยมากครับ แต่ไม่สามารถทำให้เราเชื่อในตัวละครของเธอได้เลย ตั้งแต่การอกหักตอนต้นเรื่อง ตลอดจนการเดินทางของเธอที่ถ้าไม่ได้ Voice Over ประกอบ เราแทบจะไม่รู้เลยว่าเธอได้เรียนรู้ เปลี่ยนแปลง และมีพัฒนาการไปอย่างไรบ้าง ยิ่งเมื่อไหร่ที่เธอต้องประกบนักแสดงคนอื่นๆ (จริงๆก็คือทั้งเรื่อง) เธอเหมือนกลับหายไปจากจอซะอย่างงั้น ทำให้พอมาถึงตอนสุดท้าย ผมแทบไม่เชื่อรอยยิ้มอันมีความสุขเหมือนกับว่าเธอรู้ทางออกของชีวิตแล้ว

    แม้ว่าเราจะเคยผ่านตา และรักหนังเรื่องเยี่ยมๆกว่านี้ของหว่องกาไวมามากแล้ว ด้วยมาตรฐานที่สูงแม้ในวันที่ไม่ได้ให้ผลงานที่ดีมากเท่าแต่ก่อน แต่ My Blueberry Nights ก็ไม่ใช่หนังที่แย่ (เพียงแต่ลุงหว่องเคยทำหนังดีกว่านี้ก็แค่นั้น) อีกทั้งยังมองโลกในแง่ดี ให้ความหวัง แล้วก็อบอุ่นมากๆครับ อบอุ่นขนาดที่ว่า พอมาถึงฉากสุดท้ายของหนัง คู่ฝรั่งข้างหน้าผมก็จูบกันอย่างดูดดื่ม พอไฟสว่างก็เห็นเค้าหนังกุมมือกันดื่มด่ำกับเพลง jazz ไปตลอดจนจบเครดิต

    ดูจบออกมาผมยิ้มได้ตลอดเลยอ่ะครับ แบบว่ามันอิ่มเอม แล้วก็อบอุ่นยังไงก็ไม่รู้ครับ บอกไม่ถูก ก็คงเหมือนหนังหว่องกาไวอ่ะครับ ที่มันอธิบายไม่ได้ด้วยคำพูด แต่มันรู้สึกเองที่หัวใจ

    There's nothing wrong with the Blueberry Pie, just people make other choices. You can't blame the Blueberry Pie, it's just... no one wants it.

    enjoy your day

    แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 51 11:59:36

     
     

    จากคุณ : Holden Caulfield - [ 20 มี.ค. 51 11:52:42 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom