ความคิดเห็นที่ 2
Indiana Jones and the Last Crusade (1989) ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 3 ตอน ศึกอภินิหารครูเสด แนวหนัง แอ๊คชั่น - ผจญภัย
แล้วก็มาถึงตอนล่าสุดปิดท้ายไตรภาคของหนังชุดนี้ครับ ซึ่งเป็นตอนที่ผมชอบที่สุดด้วย
คราวนี้อินเดียน่า โจนส์ (Harrison Ford) ต้องเดินทางตามหาขุมทรัพย์อีกครั้ง นั่นคือ จอกกาลิซ หรือจอกศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูใช้ในพระกระยาหารมื้อสุดท้าย แล้วจอกที่ว่านี้ยังเคยรองรับพระโลหิตของพระองค์ตอนถูกตรึงกางเขนมาแล้วด้วย จากนั้นจอกดังกล่าวตกอยู่ในมือของโจเซฟแห่งอารามาเทียอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหายสาบสูญไปนับพันปี เงื่อนงำล่าสุดก็คือ อัศวินสามพี่น้องแห่งสงครามครูเสดเป็นผู้พิทักษ์เอาไว้ คนพี่คนแรกได้เสียชีวิตไปก่อน ส่วนอัศวินคนที่สองก่อนตายก็ได้เปิดเผยความลับนี่แก่หลวงพ่อรูปหนึ่ง ส่วนคนน้องสุดท้องก็ไม่มีใครได้พบ ว่ากันว่าเขายังคงปกป้องจอกนี้อยู่ ในตำนานได้กล่าวไว้ว่า ใครได้ครอบครองและดื่มน้ำจากจอก คนผู้นั้นจะเป็นอมตะ
และปัจจุบัน (ของในหนัง) คือปี 1938 อินดี้ก็ได้รับการชักชวนจาก วอลเตอร์ โดโนแวน (Julian Glover) มหาเศรษฐีผู้หนึ่งให้การตามหาจอกกาลิซ หลังจากที่ ศจ.เฮนรี โจนส์ (Sean Connery) พ่อของอินดี้ก็ได้ออกตามหาจอกแล้วก็หายไปก่อนหน้านี้ อินดี้จึงรีบดำเนินการสืบหาร่องรอยของพ่อทันที แล้วการผจญภัยครั้งใหม่ก็เริ่มขึ้นครับ มันนำพาเขาไปพบกับศัตรูดั้งเดิมอย่างพวกนาซีที่ต้องการจอกเช่นกัน
นี่คือภาคที่ผมชอบสุดๆ ครับ แล้วไม่รู้บังเอิญหรือไม่ที่ Steven Spielberg ผู้กำกับเรื่องนี้ก็ชอบที่สุดในบรรดาสามตอนเหมือนกัน ซึ่งเหตุที่พี่แกชอบก็น่าจะมาจากการที่ความฝันสารพัดแบบของเขาเป็นจริงก็เรื่องนี้นี่แหละ
ประการแรกคือการได้ร่วมงานกับ Connery อย่างที่เคยบอกครับว่า Spielberg มีความฝันว่าอยากกำกับหนังเจมส์ บอนด์ 007 ซักตอนหนึ่ง แต่ George Lucas ก็เสนอว่าทำเป็นหนัง 007 แนวใหม่ไปเลยดีกว่า อันนำมาสู่ภาคแรกของหนังชุดนี้ แต่ถึงกระนั้น Spielberg ก็ยังคงค้างคาใจมาตลอด เพราะแม้นี่จะเป็นหนัง 007 แนวใหม่ แต่ก็มันก็ไม่ใช่ 007 อยู่ดีน่ะแหละ
ต่อมาเมื่อหนังภาค 2 ฉายไปและยังทำเงินอยู่ Lucas ก็เริ่มมาคุยกับ Spielberg ถึงหนังภาค 3 ซึ่ง Lucas เสนอว่าอยากให้ภาค 3 มันเกี่ยวกับเรื่องของบ้านผีสิงอะไรทำนองนั้น แต่เผอิญช่วงนั้น Spielberg เพิ่งสร้าง Poltergeist ไปเมื่อปี 1982 และเขาก็ไม่อยากทำอะไรที่มันซ้ำซาก Lucas เลยคิดบทเกี่ยวกับเรื่องของจอกกาลิซขึ้นมาแทน แล้ว Spielberg ก็เสนอพล็อตรองให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อลูกตระกูลโจนส์
แน่นอนว่าในที่สุดความฝันของเขาก็เป็นจริง และคนที่จะมารับบทพ่อของอินดี้ในหัวเขามีแค่คนเดียวเท่านั้น นั่นคือ Connery ต้นตำรับแห่งเจมส์ บอนด์ 007 นั่นเอง (จนมีการพูดขำๆ กันว่า พ่อของอินดี้ก็คือเจมส์ บอนด์นั่นเอง มิน่าถึงได้บ้าผจญภัยขนาดนี้)
และนอกจากที่เขาจะได้กำกับ "เจมส์ บอนด์ 007 ตัวจริง" แล้ว โปรดสังเกตครับดาราแต่ละคนส่วนมากมาจากหนัง 007 ทั้งสิ้น ตั้งแต่ Connery, John Rhys-Davies ที่มาเล่นเป็น ซัลล่าห์ บทเดิมจากภาคแรกก็เคยเล่นหนัง 007 ตอน The Living Daylights, Alison Doody ที่รับบท ดร.เอลซ่า ชไนเดอร์ สาวอินดี้ในภาคนี้ก็เคยเป็นสาวตัวร้ายในหนังบอนด์ตอน A View to A Kill มาแล้ว, Billy J. Mitchell กับ Pat Roach ดาราสมทบในเรื่องก็เคยผ่านหนัง Never Say Never Again มาก่อน, Vernon Dobtcheff ก็อีกคนที่เคยเล่นเป็นแม๊กซ์ คัลบา ตัวละครจาก The Spy Who Loved Me, Stefan Kalipha ที่มาเล่นเป็นคนยิงปืนรถถังก็เคยรับบท เฮคเตอร์ กอนซาเลส ผู้ร้ายอีกคนจาก For Your Eyes Only ซึ่งใน 007 ตอนดังกล่าว คนที่รับบทเป็นตัวร้ายรายใหญ่ของเรื่องก็รับบทโดย Julian Glover ผู้ที่เล่นเป็นวอลเตอร์ โดโนแวนในหนังอินดี้ตอนนี้นี่เอง
ลองอย่างนี้แล้ว จะไม่ให้ Spielberg สนุกได้ยังไงกันล่ะครับ
ประการต่อมาคือหนังจับเอาเรื่องพ่อๆ ลูกๆ ซึ่งแฟนหนัง Spielberg น่าจะรู้ใจพี่แกดีอยู่แล้วว่าเรื่องพ่อลูกนี่เป็นปมในหนังของแกมาไม่รู้กี่เรื่อง (ซึ่งที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในชีวิตจริงของ Spielberg เขามีปมเกี่ยวกับพ่อครับ นั่นคือพ่อแม่ของเขามักทะเลาะกันตั้งแต่เขายังเล็ก และในที่สุดเมื่อเขาอายุได้ 15 ปี พ่อแม่ก็หย่ากัน ซึ่งเขาเองก็เคยยอมรับว่าปมเรื่องพ่อนั้นเป็นสิ่งที่ค้างคาใจเขาเสมอมา) และในเรื่องนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกก็ถูกนำไปเล่นอย่างสนุกสนานสุดๆ ในบรรดาหนังของเขาทั้งหมด (อีกรอบที่เล่นได้มันส์มากๆ คือ Hook)
ดาราทุกคนแสดงได้อย่างเฉียบขาดครับ Ford น่ะหายห่วงเลย ส่วน Connery ก็โคตรจะเยี่ยมในบทนี้ ลุงแกขยันหาเรื่องฮาๆ ใส่เข้ามาตลอดจริงๆ ครับ คอยรับส่งมุขกับ Ford ได้อย่างดี โดยเฉพาะเวลาตีกันนี่ผมว่าฮาอ้ะ, John Rhys-Davies กับ Denholm Elliott ก็มารับบทเดิมจากภาคแรก เป็นซัลล่าห์และมาร์คัส โบรดี้ตามลำดับ ซึ่งคราวนี้ทั้งสองคนก็ลงมาร่วมผจญภัยกับอินดี้สองพ่อลูกด้วย มันเลยสนุกไปกันใหญ่ล่ะครับ Rhys-Davies แกถนัดเรื่องฮาอยู่แล้ว Elliott ก็เสริมเข้าไปอีก แบบไม่เลอะเทอะด้วยนะ หนังเลยเพลินไปกันใหญ่ แต่น่าเสียครับที่ Elliott ได้เสียชีวิตไปเมื่อปี 1992 ด้วยโรคเอดส์ ดังนั้นเราคงจะไม่ได้เห็นเขากลับมาโผล่ในอินดี้ภาค 4 (ถ้ามี) อีกแล้ว ก็ขอไว้อาลัยด้วยนะครับ
Alison Doody สาวอินดี้ของภาคนี้เป็นอีกหนึ่งดาราที่แสดงอารมณ์ทางดวงตาได้ดีมากคนหนึ่งครับ ยิ่งตอนแสดงอารมณ์โลภนี่เด็ดมาก เหมือนเธอตกอยู่ในภวังค์ของสมบัติชิ้นนั้นจริงๆ น่ะครับ, Glover ก็ไปได้ดีกับบท วอลเตอร์ บทแบบนี้เขาถนัดอยู่แล้วครับ อีกคนที่น่าจดจำไว้ก็คือ River Phoenix ที่มาแสดงเป็นอินดี้ตอนหนุ่มในช่วงแรกของหนัง ซึ่งเขาก็เล่นได้น่าเชื่อมากครับว่าเป็นอินดี้จริงๆ แต่ก็น่าเสียดายอีกนั่นแหละที่ต้องมาตายก่อนวัยอันควรเมื่อปี 1993 เพราะเสพยาเกินขนาดครับ
เนื้อหาในภาคนี้ ก็อย่างที่เคยเกริ่นไว้ในรีวิวภาคที่แล้วครับว่าเรื่องของจอกกาลิซนั้นมันใกล้ตัวชาวคริสต์มากแค่ไหน ส่วนมากก็เคยได้ยินเหมือนเป็นนิทานก่อนนอนมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นเวลาทำหนังมันเลยเข้าถึงได้ง่าย การเล่าตำนานจึงเป็นไปอย่างเร้าใจมากๆ ครับ การตามปมก็ชวนลุ้นและน่าติดตามมาก ซึ่งทีนี้หนังเลยสมบูรณ์สุดๆ ครับ เพราะเนื้อเรื่องหลักอันเป็นตำนานของจอกก็น่าติดตามและทิ้งปมอย่างดีชวนให้อยากรู้ต่อ ส่วนพล็อตรองก็เป็นเรื่องพ่อลูกตระกูลโจนส์และการตามล่าของนาซี ผลก็คือหนังทั้งเรื่องแน่นตลอดครับ ไม่มีช่วงโล่งโถงเลยแม้แต่น้อยเดียว ทุกฉากล้วนมีความหมายหมด
และรายละเอียดที่เราไม่ทราบจากภาคก่อนๆ ก็มาโผล่มาภาคนี้เกือบหมดตั้งแต่เรื่องพ่อ, ปมกลัวงู, รอยแผลที่คางของอินดี้, ที่ผมว่าเข้าท่าสุดก็คือตอนที่อินดี้เดินกลับมายังห้องพักครูที่มหาลัยแล้วก็มีลูกศิษย์ลูกหามายืนรอหน้าห้องกันเต็มไปหมด เพื่อให้อินดี้ออกเกรดและจัดการเรื่องงานให้ ก็สมควรล่ะครับ วันๆ พี่แกเอาแต่ออกตะลุยล่าสมบัติ มันจะมีเวลามาออกเกรดมั้ยล่ะนั่น
หรือฉากข้าวของในบ้านของพ่ออินดี้ ก็จะเห็นมีภาพเกี่ยวกับตำนานจอกเต็มไปหมด แค่นี้เราก็รู้แล้วล่ะครับว่าพ่ออินดี้ศรัทธาในจอกขนาดไหน แม้แต่ฉากแอ๊คชั่นตีกันทั่วๆ ไปก็เถอะ ยังไม่วายหยอดมุขและประเด็นเรื่องพ่อๆ ลูกๆ ลงไประหว่างรบอีก... อย่างที่บอกครับ ทุกฉากในเรื่องนี้มีความหมายจริงๆ
นอกจากนี้ดนตรีของ John Williams ก็ยังจัดว่าโดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ ของเขาเลยทีเดียวครับ โดยเฉพาะเพลงแห่งจอก และเพลงในฉากสุดท้ายที่วิหารจันทร์เสี้ยวนั่น ต้องบอกว่าทรงพลังสุดๆ จนผมขอยกให้เป็นดนตรีที่ดีที่สุดของเขาไปเลยครับ (ติดอันดับต้นๆ ในใจผมมาตราบถึงทุกวันนี้ครับ)
ตำนานจอกนั้น มันส์ครับ ดูแล้วสนุกและน่าคิดตามมาก ตรงที่เขาว่ากันว่าใครก็ตามได้ถือจอกและดื่มน้ำจากมันก็จะเป็นอมตะ มันน่าสนจนน่าค้นหาจอกมาในครอบครอง แต่ผมว่าเราทุกคนต่างก็มีจอกกาลิซอยู่ในมือกันแล้วทั้งนั้น
จอกกาลิซเป็นตัวแทนแห่งความบริสุทธิ๋ประการหนึ่งครับ เป็นเหมือนทางเลือก จริงๆ แล้วในชีวิตเราทุกวันเราก็ได้เจอแท่นวางจอกทั้งสิ้น บนแท่นนั้นก็มีทั้งจอกเก๊ที่หากแตะต้องมันก็จะค่อยๆ ทำลายชีวิตเราไปเรื่อยๆ ในขณะที่จอกกาลิซก็วางอยู่หากเราหยิบมันขึ้นมาดื่ม อานุภาพของมันก็จะทำให้เราแข็งแรงและมีพลังต่อไป
ว่าง่ายๆ การเลือกจอกเก๊มันก็คือการเลือกทำสิ่งเลวๆ นั่นเองครับ เพราะเรารู้อ้ะ ว่าการทำอย่างนั้นมันไม่ดี แต่เราก็ยังทำอยู่ได้ สุดท้ายมันก็จะคอยเกาะกินตัวเราไปจนตายทีละน้อย ขณะที่จอกกาลิซก็คือตัวแทนทางที่เราเลือกจะทำความดี ยิ่งทำเท่าไหร่ ความเป็นอมตะของเราก็จะมากเท่านั้น
บางคนอาจบอกว่าทำดีแล้วไม่เห็นได้ดีเลย ส่วนพวกชั่วทำไมมันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ ... ก็เพราะคิดแบบนี้แหละครับ คนชั่วมันถึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อ้ะ ถ้าทุกคนคิดทำดีจริงๆ มันจะเป็นอย่างที่เป็นนี่อย่างงั้นเหรอครับ
มันก็แปลกดีนะ คนเราพอเห็นคนอื่นทำไม่ดีได้เลยคิดจะทำมั่ง แต่ทำไมไม่มีใครพอเห็นคนอื่นทำดีแล้วคิดจะทำตามบ้าง?
สรปุว่าหนังดี องค์ประกอบครบทั้งสาระ บันเทิง เทคนิคและแง่คิด
สี่ดาวถ้วนๆ ไม่มีด้วนซักเสี้ยวครับ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=10000tip&month=26-06-2005&group=11&blog=2
จากคุณ :
หมื่นทิพ (เทพบุตรตบะแตก!!)
- [
22 พ.ค. 51 09:34:59
]
|
|
|