CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; "The Chronicles of Narnia : Prince Caspian" ... กลับมายืนที่เดิม ที่ๆดูไม่คุ้นตา

      เกรด A -> 9-10 คะแนน (19 คน)
      เกรด B -> 6-8 คะแนน (12 คน)
      เกรด C -> 3-5 คะแนน (3 คน)
      เกรด D -> 1-2 คะแนน (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 34 คน

     55.88%
     35.29%
     8.82%
     0.00%


    จาก "The Lion, the Witch, and the Wardrobe" ...ปฐมบทตำนานแห่ง "Narnia" ที่ยังเหมือนเด็กทารกกำลังตั้งไข่เตาะแตะ เดินทรงตัวไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก ในความคิดของคนดูหนังที่(ค่อนข้าง)มีวัยวุฒิ(สูง) ...มาสู่ "Prince Caspian" ที่ในเวลาอีก 3 ปีให้หลัง ก็เติบโตขึ้น มีพัฒนาการมากขึ้น เรียนรู้ที่จะมีความเป็น(หนัง)ผู้ใหญ่มากขึ้น ..แต่ที่พูดว่ามากขึ้นทั้งหมดนั้น มันก็แค่ส่วนสำคัญที่ทำให้หนังภาคสอง ดีกว่าภาคแรก ...หากถ้าลงลึกมากไปกว่านั้น ก็เห็นทีจะพูดตรงนี้ไปเลยว่า Narnia ภาคนี้ ก็ยังเป็นเพียงหนังแฟนตาซีเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้ดีเด่อะไรมากนัก

    "Prince Caspian" ... เล่าเรื่องราวต่อมาจากภาคแรกที่จบลงด้วยการเดินทางทะลุประตูตู้เสื้อผ้า กลับคืนสู่โลกความจริงของ สี่พี่น้อง'พีเวนซี่' ..ผู้เคยมีบรรดาศักดิ์เป็น 2 ราชาและ 2 ราชินีแห่ง ดินแดนนาร์เนีย ที่ยอมทิ้งบัลลังก์จากไป เพื่อจะต้องพบว่า ...อีกหนึ่งปีต่อมาของโลกความจริง มีระยะเวลาของโลกนาร์เนียที่ล่วงเลยไปเท่ากับ 1,300 ปีแล้ว และนั่นก็คือช่วงเวลาที่มืดมนหมองหม่นอย่างไม่อาจเห็นแสงสว่าง เมื่อ นาร์เนีย กลายเป็นเพียงอดีตที่ถูกเล่าเป็นตำนาน อีกยังกลายร่างเป็นแค่นิทานปรัมปรา ในยุคปัจจุบัน

    ในอดีตดินแดนที่เคยเป็นของนาร์เนีย ได้มีเมืองแห่งหนึ่งถูกก่อตั้งขึ้นมาทดแทน นามว่า 'เทลมารีน' ..และในเมืองแห่งนี้ ก็มีองค์รัชทายาท(รูปงามโฉมเลิศ) "แคสเปี้ยน" ที่กำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ...หากถ้าไม่มีเสด็จอาจอมโฉดอย่าง "มิราซ" คอยจะจองล้างจองผลาญหลานชาย เพื่อหวังสืบราชสมบัติในตำแหน่งที่เคยเป็นของพ่อ ...และถ้าย้อนความไปถึงอดีต ก็เป็น มิราซ นี่เองที่ลอบปลงพระชนม์อย่างเงียบๆไว้ หากกลับยอมเสียเวลาเล่นละครตบตา เพื่อหวังจะตลบหลังในช่วงวันเวลาที่เขาเอง ได้มีองค์รัชทายาท คอยสืบตำแหน่งนี้ต่อไปเสียที ..และวันนั้นก็มาถึง...

    เมื่อ แคสเปี้ยน ได้เกือบพลาดพลั้งเสียทีให้อริราชศัตรูของเขา ...ช่วงเวลาอันกะทันหันนั้น ก็นำพาให้ เหล่าสี่พี่น้องพีเวนซี่ ถูกต้อนรับกลับสู่ โลกแห่งนาร์เนีย อีกครั้งอย่างไม่ทันเตรียมใจ

    ผมสามารถพูดได้เลยว่า ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้เตรียมใจจะต้อนรับการกลับมาของ นาร์เนีย ภาคนี้ สักเท่าไหร่ ...ที่เป็นอย่างนั้น ก็ย่อมไม่ใช่เพราะหนังภาคแรก เป็นหนังที่หาความสนุกไม่มี แต่เอาเหตุผลชัดๆ ก็คงเนื่องมาจาก ภาคแรกที่ใครๆเขาว่าน่าตื่นตา สนุกสนาน แต่ส่วนตัวกลับเฉยๆ ไม่ถึงกับไม่ชอบ แต่ก็ไม่มีอะไรที่น่าประทับใจเป็นพิเศษ ...ซึ่งที่คิดไปเช่นนั้น ก็ย่อมจะเกี่ยวดองกับ ความสุดยอดแห่งตำนาน "The Lord of the Rings" เป็นหลักใหญ่สำคัญด้วยกระมั้ง

    ไม่ว่าจะ..เพราะความที่ผมผ่านตากับตำนานจริงจัง ของเรื่องราวแห่งแหวนมาก่อนหน้า หรือ ..อาจเพราะผมคาดหวังอยากได้ความสนุกจาก นาร์เนีย มากเกินไป หรืออย่างไรก็ตามแต่ ...ที่แน่ๆ ซึ่งผมรู้สึก(ยังพอจำได้)กับเวลาที่อยู่ในโรง มันก็คล้ายเป็น ช่วงเวลาหนึ่งที่จะเอาเพลินก็ดี ดูแล้วน่าติดตาม แต่พอได้ออกโรงหลังจากนั้น ความทีเล่นทีจริงของหนัง มันก็เหมือนจะลบเลือนความเพลินเหล่านั้นไปจนหมด

    ฉะนั้นแล้ว ความคาดหวังที่ผมมีต่อภาคสอง แต่เริ่มต้น ก็คงมีเพียงแค่...ขอให้มันมีความจริงจังมากกว่านี้ และพร้อมที่จะทำให้คนที่ไม่ใช่เด็ก ยังดูเอาเพลินไปกับเด็กๆได้อย่างสูสี ...สำหรับผม ถ้า Prince Caspian สามารถทำตรงนี้ได้ก็ต้องถือว่า สอบผ่าน

    ผู้กำกับ "แอนดรูว์ อดัมสัน" ที่เคยมีเครดิตสำคัญ เป็นผู้ก่อร่างสร้าง "Sherk" ให้กลายเป็นอนิเมชั่นต้นตระกูลดรีมเวิร์คสที่เกรียงไกรที่สุด (จนเร็วๆนี้..กำลังจะมีภาค 4 อีกแล้ว) และคือผู้กำกับภาคแรกของ นาร์เนีย เช่นกัน... ยินดีที่จะกลับมาสู่โลกอันคุ้นเคยพร้อมกับความขึงขังที่มีมากขึ้น ทั้งยังลดความทีเล่นทีจริงให้มีน้อยลงไป(ในระดับที่มองผ่านๆก็อาจไม่เห็น) ซึ่งก็แน่นอนที่นั่นถือเป็นเรื่องหนึ่งที่น่ายินดีสำหรับผม ..และกับบางคนที่คาดหวังว่ามันจะเติบโตขึ้น กว่าภาคแรกที่เคยดูงั้นๆ ได้ประทับใจแค่นิดๆ

    การคุมหนังคนเล่นของ อดัมสัน ค่อนข้างอยู่มือมากขึ้นกว่าหนก่อน ..เห็นจะรู้แล้วซึ่ง อะไรที่คนดูต้องการ มากไปกว่าความเยิ่นเย้อ และเนิบนาบแม้กระทั่งในฉากแอ๊คชั่นที่สู้กันแบบชิลชิล... ก็ไม่รู้จะเป็นเพราะตัวนิยายของภาคสองที่เปิดทางให้มีความจริงจังได้มากกว่า หรือว่าเป็นที่ตัวหนังรู้จุดด้อยที่ภาคแรกเป็นอยู่ก็ตามที แต่เห็นเป็นอย่างนี้ ก็ย่อมน่าพอใจ และยินดีจะให้ สอบผ่าน

    แต่ถ้าวัดกันที่ตัวคะแนนกันจริงๆไปเลยด้วยละก็ การสอบผ่านของ Narnia 2 ก็ยังผ่านด้วยเกณฑ์การให้คะแนนที่หวุดหวิด... เพราะถ้ามองในแง่ของความเป็นหนังแฟนตาซีสักเรื่องหนึ่งแล้ว องค์ประกอบที่ Prince Caspian มีแข็งแรง ก็ยังแฝงซึ่งจุดอ่อนเอาไว้มากมายในขณะเดียวกัน

    จุดแรกที่เห็นได้ชัด(สำหรับผม) ก็คือ เรื่องของบท ...ที่ถึงตัวหนังจะมีโครงที่แข็ง และการเล่าที่เล็งซึ่งความแรง แต่ในมุมของความสมเหตุสมผล ก็ยังจะเปราะบางซึ่งความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง ..ดูเหมือนว่ามูลเหตุบางอย่าง จะมาเร็วไป และบางเรื่อง ก็พาให้มันง่ายไปที่จะก่อให้เหตุการณ์เป็นอย่างนั้น ...โดยเฉพาะในช่วงแรกๆไปถึงกลางๆ ที่หนังพยายามจะไปให้รีบ เพื่อเร่งเข้าฉากต่อสู้ให้ไวที่สุด..จนกลายเป็นความกระตือที่ไม่รือร้น ..มันจึงทำให้ผมรู้สึกว่า การมาสู่นาร์เนียของพี่น้องพีเวนซี่ในครั้งนี้ เรียบง่ายถึงขั้นธรรมดา ชวนไม่น่าตื่นตาตื่นใจ ได้อย่างตอนที่สี่พี่น้อง ข้ามมิติตู้เสื้อผ้า แล้วเบิกเห็นโลกนาร์เนียโพล่งขึ้นมา ด้วยความอัศจรรย์เต็มที่ในภาคแรก

    มันก็อาจจะพอยอมรับได้อยู่หรอกว่า Narnia ภาคนี้ เดินเรื่องได้ฉับไว ไม่เยิ่นเย้อ และรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็วโดยไม่นึกจะมองนาฬิกา ...แต่ถ้ายึดเอาเรื่องของความสมเหตุสมผลมันต้องสำคัญกว่า ก็เห็นทีจะนึกเสียดายว่าหนังน่าจะเพิ่มเวลาเล่าอะไรที่มันมาแบบพอดีๆ มากกว่านี้อีกสักหน่อย

    ในขณะจุดที่สองที่รู้สึกได้ โดยไม่ถึงขั้นจำเป็นต้องใช้สายตา หากมันคือหัวใจของตัวหนัง คือ เรื่องของเสน่ห์ที่หดหายไปจากที่ภาคแรกก็เคยมีซะอย่างงั้น ...เมื่อความสนุกเป็นอีกเรื่องที่แตกออกไปเป็นความบันเทิงที่อาจเต็มที่กว่าแล้ว แต่เสน่ห์ที่ควรจะเป็นความประทับใจได้กลับอ่อนลง

    การกลับมาของสี่พี่น้องตัวละครนำ ที่เติบโตขึ้นกว่าก่อนเก่าค่อนข้างมาก อาจจะเกี่ยวเนื่องที่ทำให้เสน่ห์จืดจางไป เพราะความเป็นเด็กถูกทดแทนด้วยการแตกเนื้อหนุ่มสาวก็จริง ...แต่ถ้าเรานึกไปถึงสามตัวละครนำจาก "Harry Potter" ที่ยังรักษาความน่ารักได้อยู่ แล้วละก็ มันจะเห็นข้อด้อยของ Prince Caspian ที่ไม่สามารถดึงเอาความเติบโตของพวกเขามาเป็นจุดเด่นของการเล่นเรื่องเล่นประเด็นได้อย่างชัดเจน ...แม้หนังจะใส่สภาวะการณ์ให้ทั้ง 4 ตัวละครต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบากขึ้น พร้อมๆกับต้องควบคุมอารมณ์ที่โตตามตัวในสถานการณ์ที่พาไป แต่ในมุมที่เล่นมายังค่อนข้างจะอ่อนซึ่งความเด่น ที่ถูกกลบเกลื่อนไปด้วย ความพยายามที่เข้มขึ้นของความบันเทิงแทน

    ยิ่งถ้าใครยังคงรัก หนู "ลูซี่" ปุ๊กลุ๊ก จากภาคแรกอยู่ด้วยละก็ ...คงจะแอบงอนเล็กน้อย ที่ความแก่นแก้วของเธอ ไม่ค่อยจะมีบทบาทกับความสนุกในครั้งนี้สักเท่าไหร่ (ถึงบทจะเอื้อให้เธอเด่น และความต้องกล้า บวกเชื่อมั่นของเธอก็เป็นคาแรกเตอร์ช่วยที่พลิกผันสถานการณ์ในตอนท้ายก็ตามที)

    หรือแม้กระทั่งกับคนที่ต้องเรียกว่าสำคัญที่สุดของหนังภาคนี้ อย่าง "เจ้าชายแคสเปี้ยน" อีกคน... การแสดงของหน้าใหม่(ที่ยังคุ้นตาอยู่บ้างจาก Stardust) "เบน บาร์นส์" ก็ช่วยได้เพียงให้มิติของเขาไม่แบนราบเสียทีเดียว หากแง่ความเด่นที่ควรจะมีในหลายฉาก กลับโดนตัวละครอื่นๆร่วมจอกลบไปได้เสียซะงั้น ...ยิ่งถ้าเพื่อนร่วมจอนั้น เป็นเพียง CG แล้ว ก็ชวนให้สงสารที่เทคโนโลยีอันล้ำหน้ายังบังอาจขโมยซีนหน้าตาอันหล่อเหลา(ในสายตาสาวแท้-เทียม)ไปได้เสียชิบ

    ตัวละครมนุษย์ที่ผมชอบที่สุดในหนังภาคสอง แทนที่จะเป็นตัวเด่นๆทั้งหลายแล้ว ..สุดท้ายหวยกลับถูกไปที่ "ปีเตอร์ ดิงค์เลจ" ในบท "ทรัมพ์กิ้น" คนแคระตัวเล็กที่สีหน้าอารมณ์เดียว บูดบึ้งมันทั้งเรื่อง แต่กลับมีเสน่ห์น่าดึงดูดใจให้มองในแววตาคู่นั้นชะมัด ...ส่วนบรรดา CG ก็ยังต้องยกความทรงพลังของ "อัสลาน" ("เลียม นีสัน" พากย์เสียง)...ที่แม้จะออกมาสั้นๆ แต่ก็เติมความอลังการให้ช่วงท้ายได้ไม่น้อย

    ถีงกระนั้นก็เสียดายที่ ราชินีหิมะขาว (ตัวละครของ "ทิลด้า สวินตัน" ..ออสการ์สมทบหญิงคนปัจจุบัน) ไม่กลับมาเติมเต็มความร้ายให้สุดๆไปเลย (ที่ภาคนี้ค่อนข้างจะแหว่งๆไป เพราะตัวร้ายจริงๆก็ไม่ค่อยจะมีอะไรในกอไผ่ซะงั้น) และเจ้าหนูนักดาบ ก็ยังไม่อาจเทียบต้นแบบจอมขโมยซีนสุดฮาอย่าง พุซ อิน บู๊ทส์ (ซึ่งน่าแปลกใจที่ อดัมสัน ก็เป็นคนปั้นมันมาจาก Shrek 2 แท้ๆด้วยเชียว)

    ส่วนสิ่งที่ผมกลับมองว่ามันมีเสน่ห์ที่สุดแล้ว กลับเป็นตัวละครประกอบฉากอย่าง... บรรยากาศของ นาร์เนีย ที่เศร้าสลด และชวนสะท้อนใจในความนิ่งเฉย แห้งเฉา ที่ภาพทั้งจะจริงหรือไม่จริง(ด้วย CG)ของมัน ก็รวมๆทำออกมาได้จับจิตจับใจยิ่งนัก ...จนแทบจะทำให้ ทีมนักแสดง ที่ไม่แทคทีมเด่นกัน ก็ยังไม่ถึงกับต้องดรอป เพราะอย่างน้อย ก็มีฉากหลังเป็นคาแรกเตอร์ที่ช่วยพยุงความรู้สึกที่หนังภาคนี้ต้องการเสนอกับคนดูได้เป็นอย่างดี

    และเสน่ห์ที่รองลงมาจาก บรรยากาศ ..ก็คงต้องยกยอดให้ฉากสงครามในช่วงท้าย เป็นความเด็ดขาดที่เพิ่มคะแนนความสนุกให้กับภาคนี้ได้มากกว่าที่ช่วงแรกๆไปถึงกลางๆ ซึ่งยังไม่เด็ดถึงขั้นน่าจำ แม้ในนั้นจะมีฉากบู๊ให้ลุ้นมากกว่าภาคก่อน ค่อนข้างมากก็ตามที ...แต่กระนั้นถ้าเอามาเทียบกับ ภาคสองของตำนานแห่งแหวน ก็ยังเป็นน้องๆของเรื่องนั้นอยู่ดี (โดยอย่าไปพูดถึง ภาคสามเลยทีเดียวเชียวล่ะ)

    และเสน่ห์สุดท้ายที่ทำให้หนังจบได้อย่างสวย... ก็คือ แนวคิดถึงการต่อสู้ทำสงครามของ อัสลาน ..ที่บทจะต้องออกมาสู้ ก็มีจังหวะที่เท่ห์ไม่หยอก แต่ก่อนหน้าเมื่อบทจงใจให้ออกมาช้า ก็แสดงเหตุและผลแห่งความศรัทธาที่เฉียบคม (ถึงจะรู้ว่ามันโปรศาสนาคริสต์ก็ตามที) อันทำให้เราลึมนึกถึงความคิดแบบเห็นแก่ตัวที่เราติต่างไปเองในตอนต้น

    เมื่อเทียบกับอีกหนึ่ง หนังแฟนตาซีที่แอบเล่นประเด็นศาสนาแบบแถกสีข้างเสียดๆ อย่าง "The Golden Compass" แล้ว... ยังไงกับ Narnia ทั้งสองภาค ที่ตั้งใจตรงๆกว่า ก็ต้องเหนือชั้นกว่าเยอะ

    "The Chronicles of Narnia : Prince Caspian" ... เมื่อพี่น้องพีเวนซี่ ต้องกลับมายืนที่เดิม ที่ๆดูไม่คุ้นตา พร้อมกับคนดูอย่างผม ที่ต้องการพบเจอความรู้สึกใหม่ๆ ...สิ่งที่ได้คืนมา ก็คือ ความสนุกที่มากกว่า ความเป็นผู้ใหญ่ที่ค่อยเข้มขึ้นมาหน่อย หากก็ยังถ้อยทีถ้อยอาศัยกับคนดูวัยเด็กอยู่... แต่จนสุดท้ายก็ยังออกจากโรง ด้วยความคิดว่าตัวเองคงแก่เกินไปสักนิด ที่จะติดตาตรึงใจใน ตำนานแห่งนาร์เนีย ได้เต็มที่ ...อาจจะไม่ใช่ความเสียดายเต็มๆ จนพาลเฉยๆ เช่นภาคที่แล้ว แต่มันก็ขึ้นชื่อว่าเสียดายที่น่าจะดีกว่านี้ได้อีก

    เกรด B

    "สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนังได้ที่ http://vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน"

    สำหรับทุกคนที่ได้เผลอเข้ามาในกระทู้รีวิวนี้ ...อย่าเพิ่งรีบออกไปนะครับ อยากขอให้ช่วยลงความเห็นของคุณกับความรู้สึกต่อหนังเรื่องนี้ ได้ประทับเก็บไว้ในกระทู้นี้ด้วย... "1 Comment ของคุณ มีค่าเท่ากับ 1 Happy ของ จขกท."

    ขอบคุณครับ รักคนอ่าน

     
     

    จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN - [ 4 มิ.ย. 51 11:02:58 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom