CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    <<<<<<< ดูแล้วมาคุยกัน ... Wanted , โอ้ว่าด้วยแอคชั่นปรัชญา และ ความตื่นตาในระดับ 'แม่เจ้าประคุณรุนช่องเอ๊ย' >>>>>>>

      ชอบมาก ห้ามพลาด (48 คน)
      ชอบ (28 คน)
      เฉยๆ (8 คน)
      ไม่ชอบ (0 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (4 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 88 คน

     54.55%
     31.82%
     9.09%
     0.00%
     4.55%


    เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป + อ่านความเห็นอื่นๆ และ ชวนมาแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=01-07-2008&group=14&gblog=100



    ...ถ้าผมเป็นนายทุนมีเงินถุงเงินถัง อยากทำหนังไฮคอนเซ็ปท์โชว์เหนือบ้าพลัง โชว์วิชวลให้ตระการตา ผกก.ที่ผมเล็งไว้หากพลาดสองพี่น้อง วาโชวสกี้ จาก The Matrix คือ Timur Bekmambetov หรือผมขอเรียกย่อๆว่า เบอบาตอฟ

    เบอบาตอฟ คนนี้ไม่ใช่กองหน้าจากฝั่งอังกฤษ ไม่ได้เป็นพ่อค้าเพชรจากรัสเซียที่จู่ๆมาทำหนังครั้งแรก แต่เขาโด่งดังมาก่อนแล้วกับหนังแอคชั่นไซไฟสุดอลังสองภาคที่ชื่อ nightwatch กับ daywatch และกำลังวางแผนจะปิดท้ายไตรภาคการต่อสู้ของมนุษย์สองโลก ในชื่อ Duskwatch แต่มาทำหนังกับฮอลลีวูดเสียก่อน

    สองเรื่องที่ว่ามา ทำเอาผมมึนๆไปเหมือนกัน เพราะ ตัวหนังนั้นล้นไปด้วยไอเดียที่น่าชื่นชมในการพยายามสร้าง จักรวาลใหม่ที่ประกอบไปด้วย อมมนุษย์สองกลุ่มที่ถูกแบ่งแยกไว้ตั้งแต่สมัยโบราณกาล แต่เพราะ ไอเดียที่มีมากแต่ขาดการตกผลึก จึงทำให้หนังเต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยชวนปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก หากนั่งดูแบบไม่ตั้งใจ

    สิ่งที่ชดเชยความงงของผมอยู่ตรงงานเทคนิคด้านภาพที่ดูแล้วต้องอุทาน "โวว โว โว้ว เย้ แม่เจ้าประคุณรุนช่องเอ๊ย มันสุดยอดมากกกก"smile ยิ่งรู้ว่างบน้อยกว่า The Matrix หลายเท่ายิ่งอยากปรบมือให้ ยกตัวอย่างความเท่ติดตาเช่น ฉากรถสปอร์ตที่ขับมาแต่ไกล จู่ๆแล้วก็ไต่ขึ้นไปตามด้านข้างของตึกสิบชั้นเหมือนมอเตอร์ไซไต่ถัง ก่อนจะทะลุหน้าต่างพุ่งทะยานเข้าไปในห้องประชุม ก่อนที่สาวสุดเปรี้ยวเซอร์จะเดินออกมาด้วยมาดกิ๊บเก๋



    ... Wanted งานโกอินเตอร์ของผกก.รัสเซียคนนี้ ถึงแม้จะเป็นการหยิบต้นฉบับจากการ์ตูนมาสร้างเป็นหนัง แต่ดูๆไปแล้วก็แทบจะเป็นเหมือนกับ การนำหนังอมนุษย์ไซไฟสองภาคก่อน มาปรับให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยคงโครงเรื่องหลักไว้คล้ายๆกันคือให้ พระเอกเป็น คนธรรมดาที่ก้าวเข้ามาในโลกที่ไม่ธรรมดา (อมนุษย์สองโลก / มือสังหารพลังงานสูง) แล้วค่อยๆมีวิชาไปต่อกรกับเหล่าร้าย และ ขาดไม่ได้ที่จะหยอด ปมความสัมพันธ์พ่อลูก เข้ามาเป็นซับพล็อตสำคัญในหนัง

    ....ข้อสำคัญ คือ ลายเซ็น ของผกก. ยังคงเด่นชัดในหนังเรื่องล่าสุด โดยเฉพาะงานเทคนิกด้านภาพ

    ถึงแม้คนที่เคยดู nightwatch กับ daywatch มาก่อน หรือเป็นแฟนพันธุ์แท้ The Matrix จะรู้สึกว่า เทคนิคทั้งหลาย ในเรื่องล่าสุดนี้ เช่น ฉากกระโดดจากตึกข้ามฝั่งเห็นกระจกกระจาย จะไม่สดใหม่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อเทียบกับหนังแอคชั่นตามท้องตลาดในช่วงห้าปีสิบปีหลัง ฉากแอคชั่นในหนังเรื่องนี้ มันช่างน่าทึ่งมาก มีการขบคิดมาอย่างดี สำหรับผมแล้วให้คะแนน ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบฉากแอคชั่นเต็มสิบ

    แม้ภาพหนังโดยรวมจะไม่ได้ยอดเยี่ยมตลอดสองชั่วโมง แต่ ตัวผกก.ก็เก่งในการรู้จักดึงจังหวะคนดูเมื่อรู้ว่าหนังเริ่มจะอืดเกินไป และ เมื่อถึงจังหวะต้องปล่อยของ ก็ปล่อยออกมาได้ชนิดที่เราพร้อมจะลืมจุดอ่อนทั้งหลายที่มีในหนัง ทั้งๆที่ หากจะชำแหละหาจุดอ่อนมีให้ตำหนิ ก็คงจะไม่พ้น ตัวบทภาพยนตร์ ที่ยังไม่แน่น และ ขาดความน่าเชื่อถืออยู่หลายช่วง

    จุดอ่อนของหนังไม่ใช่ความเว่อร์จาก กระสุนวิถีโค้ง เพราะหนังเรื่องนี้เจตนาเปิดเผยตัวเองแต่แรกแล้วว่า 'ข้าเว่อร์แน่' เพราะ กระสุนวิถีโค้ง ยังอ่อนๆเมื่อเทียบกับความเหนือจริงทั้งหลายแหล่ตั้งแต่ ปืนมีกระจกส่องข้าง , รถหมุนรอบตัวหิ้วคนขึ้นรถ , โยคะขั้นเทพลอดอุโมงค์ , กระสุนกำหนดเป้าหมายโดยใช้พลังจิต ฯลฯ

    แต่จุดอ่อนของบทหนังอยู่ตรงที่ ตอนแรกเหมือนจะสร้าง จักรวาลใบใหม่ของคนมีความสามารถพิเศษ เหมือนที่เคยสร้าง จักรวาลของอมนุษย์ใน Day watch กับ Night watch แต่หลังๆตัวหนังกลับกลายเป็นว่า ทั้งหมดคือ คนธรรมดา แต่เน้นไปที่ว่า เป็นความสามารถของคนที่ฝึกฝนได้ ทำให้ ความน่าเชื่อถือเริ่มลดน้อยลงไป รวมถึง การคลี่คลายในตอนท้าย ที่ตัวละครเหมือนจะเชื่อกันง่ายๆไปหน่อย

    อีกทั้งพอเข้ากลางๆเรื่อง ตัวหนังเหมือนหนังจีนกำลังภายในไปหน่อยที่จับพระเอกมาฝึกวิทยายุทธซ้ำๆ ทำให้เริ่มรู้สึกอืดๆเบื่อๆบ้าง จนถึงช่วงท้าย เหมือนผกก.เริ่มรู้ตัว แล้วดึงหนังกลับมาสู่การโชว์ฉากแอคชั่นถล่มทลายสมสไตล์ฮอลลีวูดก็ทำให้คนดูตาสว่างกับฉากตรงหน้าอีกครั้ง โดยเฉพาะฉาก รถไฟตกผา กับ ถล่มโรงทอผ้า ที่ต้องชม เพราะเป็น งานโชว์ของผกก.โดยแท้ สำหรับการใช้เงินไม่หนามากนักแต่สร้างผลงานที่ตระการตายิ่ง



    ... เจมส์ แม็คอะวอย พลิกบทมาเล่นแอคชั่นเป็นครั้งแรก ถ้าจะว่ากันตามตรงเขาก็เหมือน แม็ตต์ เดม่อน ที่หุ่นไม่ค่อยให้ แต่สามารถปรับตัวเองเข้ากับหนังได้ดี โดยเฉพาะช่วงที่ยังเป็น พนักงานออฟฟิสขี้แพ้ เป็นช่วงที่ทักษะการแสดงของเขาช่วยขับเน้นคาแรคเตอร์ให้น่าติดตามยิ่งขึ้น เมื่อมาประกบ แองเจลิน่า โจลี่ ตัวเขาก็หาได้หมองลงแต่อย่างใด ซึ่ง แองจี้ มีบทให้เล่นไม่มากนักแต่ทุกครั้งที่เธอโผล่มา ก็เด่นดูดีเสียเหลือเกิน


    ...ตอนดูหนังเรื่องนี้คิดถึง ความมันส์ที่ให้อารมณ์กวนอวัยวะประมาณ Shoot 'Em Up แต่ Wanted โดดเด่นกว่าทั้งในด้านงานเทคนิก ความคิดสร้างสรรค์ และ ในแง่เนื้อหาที่ตัวหนังพยายามแตะประเด็นสังคม รูปแบบสังคมทุนนิยมที่กดชีวิตคนให้เดินตามกรอบสังคมที่ควรจะเป็น หรือปรัชญาโดยเฉพาะมุมมองเกี่ยวกับ free will อันว่าด้วยว่า ชีวิตของเราจะเลือกลิขิตเอง หรือ จะให้ฟ้ากำหนด

    man เวสลี่ เป็น พนักงานออฟฟิสที่ใช้ชีวิตซ้ำซากจำเจ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองถูกเพื่อนซี้สวมเขา ถูกเอาเปรียบ ถูกกดขี่ข่มเหงจากนายจ้าง แม้เขาจะเป็นทุกข์ แต่ เขาก็ดูปล่อยชีวิตให้เป็นไป โดยไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น เหมือนคนส่วนใหญ่ที่ชอบคิดว่า ชีวิตถูกกำหนดมาให้เป็นแบบนี้ เราไม่มีสิทธิหวังอะไรได้มาก


    สิ่งที่ถูกกำหนด (ชีวิตของเวสลี่) --> ลูกจ้าง ยอมโดนด่า ยอมถูกสวมเขา


    ...ซึ่งถ้าหากปล่อยเรื่อยไปทั้งๆที่เจ้าตัวก็มีความทุกข์ ก็เท่ากับ มนุษย์กำลังจำกัดอิสรภาพการใช้ชีวิตด้วยตัวเอง

    การมาของกลุ่มนักฆ่าจึงเสมือนมามอบ ทางเลือกใหม่ให้ตัวเวสลี่ เป็น การมอบความเชื่อว่า ตัวเขามีความสามารถ ตรงตามหลักสูตรที่ฮิตบ้านเราประมาณ อัจฉริยะสร้างได้

    เวสลี่ กำลังจะฉีกสิ่งที่เชื่อว่าถูกกำหนด และ เลือกเดินตามเส้นทางใหม่ที่กำหนดเอง

    ...ซึ่งปรัชญาเดียวกันนี้ ก็ยังอยู่ในซับพล็อตของหนังส่วนอื่นๆอีก เช่น


    สิ่งที่ถูกกำหนด (คำสั่งจากคนทอผ้า) --> คนรกโลก ทำตามฟ้า ฆ่ามันทิ้ง


    ...หากเราเชื่อว่าทุกสิ่งฟ้ากำหนด หาใช่คนกำหนด เราก็จะเลือกเดินโดยไร้ซึ่งความคิดเสรี เลือกเดินตามอย่างที่ไม่นึกไตร่ตรอง แต่แน่ใจแล้วหรือว่า สิ่งที่ฟ้ากำหนดจะถูกต้องเสมอไป แน่ใจแล้วหรือว่า เป็นฟ้ากำหนดไม่ใช่ใครที่กำหนดแล้วอ้างฟ้า

    เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ รู้ทั้งรู้ว่า ตัวเองสามารถลิขิตชีวิตตัวเองได้ แต่ ไม่กล้าฉีกตัวเองออกมาจากระบบ นั่นเป็นเพราะ ความกล้ว เหมือนใน The Matrix ที่เรารู้ทั้งรู้ว่า เราถูกกำหนดจากระบบที่ตั้งไว้ แต่ หากยอมอยู่ใน Matrix ต่อเราจะปลอดภัย ในขณะที่หากเสี่ยงออกมาเป็นอิสระ ชีวิตจะไม่มั่นคงเหมือนเดิม

    และเมื่อ มนุษย์เลือกที่จะหันมากำหนดชะตากรรมตัวเอง มากกว่า จะยอมทำตามฟ้ากำหนด ก็เหมือนกับตอน นีโอ เลือกเม็ดยาแล้วก้าวออกมาจาก Matrix โดยไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร หรือ เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ The One ตามที่ถูกกำหนดก็ยังเลือกว่าจะสู้ต่อไป ซึ่งก็คือ การเลือกกำชะตาชีวิตไว้กับตัวเอง


    ... ปรัชญาของ'กระสุนวิถีโค้ง' ก็น่าสนใจเช่นกัน เพราะ หากคิดตามตรรกะเบื้องต้นมันเป็นความเว่อร์ แต่ลองนึกถึงคำพูดของตัวร้ายในหนังที่เอ่ยขึ้นมาว่า หากเราไม่รู้มาก่อนละ ว่าปกติกระสุนจะเป็นวิถีตรง แล้วมีคนมาเริ่มต้นสอนเราว่า กระสุนวิถีโค้งได้

    เมื่อถึงตอนนั้น เราก็อาจพยายามฝึกและทำให้มันโค้งได้จริง แต่เพราะ เรามี สิ่งที่ถูกกำหนด (กระสุนต้องวิ่งเป็นวิถีตรง) มายัดกรอบความคิดไว้ มนุษย์จึงไม่สามารถหลุดพ้นจากคุกความคิดที่ขังเราให้ไร้ซึ่งอิสระเสรี


    ... สิ่งที่ถูกกำหนด  มีที่มาหลายหลาก เช่นจาก ฟ้าลิขิต เชื่อว่า ทำบุญมาเท่านี้ก็สมควรมีความสุขเท่านี้ ก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรเพิ่มเติมให้ชีวิต ฯลฯ , สังคมทุนนิยมกำหนด ที่เชื่อว่า ใครมีเงินมากก็ควรยกย่องแต่ละคนก็ก้มหน้าทำงานหาเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งคำชื่นชม ฯลฯ , ค่านิยมเฉพาะกลุ่มกำหนด เช่น ต้องขาวถึงจะสวยแต่ละคนก็เร่งหาทางที่จะขาวให้ได้ตามค่านิยมที่สร้างมา

    ซึ่งท้ายที่สุด คนที่จะเลือกเดิน คือ ตัวเราเอง ไม่ใช่ ฟ้า ไม่ใช่ สังคม ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ตัวเราที่ต้องเลือกว่า ทุกก้าวย่างจะเป็นไปตามทางที่ถูกกำหนดไว้ หรือ กล้าที่จะเลือกเดินเส้นทางใหม่ๆให้กับตัวเอง กล้าที่จะหาความสุขให้มากกว่าเดิม กล้าที่จะไม่ใช้ของมียี่ห้อเพื่อเข้าสังคม กล้าที่จะผิวดำและมั่นใจในความสวยของตัวเองได้ ฯลฯ

    กล้าที่จะไม่เป็นทาส แต่ กลับมาเป็นเจ้านายชีวิตของตัวเองอย่างสมบูรณ์



    ... ปรัชญาบวกเทคนิกหวือหวา ทำให้หนังมีความแปลกใหม่ มีความทันสมัยในระดับใกล้เคียงกับที่ผมเคยรู้สึกกับหนังกลุ่มหนึ่งซึ่งเหมือนเป็นตัวแทนของหนังที่มาเปิดศักราชยุคศตวรรษใหม่ หรือ หนังในตระกูลโพสต์โมเดิร์นทั้งหลายแหล่ อันได้แก่ Fight Club ตัวแทน หนังทริลเลอร์จิตวิทยา Moulin rouge ตัวแทนหนังเพลง The Matrix ตัวแทนหนังแอคชั่น

    Wanted อาจจะยังไม่เนี้ยบเท่าสามเรื่องที่ว่ามา แต่ก็จัดได้ว่า เป็น โฉมหน้าใหม่ที่น่ายกย่อง มากกว่าพยายามจะทำตัวเป็น หนังนอมินี่ ที่ผู้สร้างส่วนใหญ่ชอบทำกันเวลาเห็นหนังเรื่องไหนดังแล้วพยายามลอกแบบตาม



    สรุป   ... หนังสนุกมาก จนสามารถมองข้ามความอ่อนของบทลงไปได้ น่าเสียดายถ้าหนังลดความอืดช่วงฝึกแล้วไปเน้นๆตรงแนวคิดปรัชญาที่วางไว้ หนังน่าจะเข้าเป้ากระแทกใจคนดูได้มากขึ้น แต่ถึงจะเฉียดๆแตะๆ ก็ยังจัดได้ว่าดี ตรงที่ตัวหนังมีสาระอะไรมอบให้ มิใช่ ยิงกันลูกเดียวตลอดเวลา แถมฉากจบที่ตัวละครหันกลับมาถามคนดูว่า

    "แล้วทุกวันนี้พวกคุณมัวแต่นั่งทำ...อะไรกันอยู่"

    เหมือนตั้งใจจะตบหน้า รูปแบบชีวิตที่เรากำลังเดินตาม ฟ้ากำหนด สังคมกำหนด ทุนนิยมกำหนด เสียเหลือเกิน



    บทความที่อ้างอิงถึงในกระทู้
    (บทความเหล่านี้เคยนำมาลงในกระทู้แล้ว)

    Shoot 'Em Up , น้องๆ ยิง:-)เลย สอง
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=25-09-2007&group=14&gblog=31

    Fight Club (ใน Filmax ฉบับเดือนกรกฎาคม)

    แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 51 17:25:55

    แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 51 16:26:12

    แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 51 16:25:19

    แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 51 16:20:10

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 1 ก.ค. 51 16:05:50 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom