PANTIP.COM : A6806761 Batman : The Dark Night การกลับมาท๊อปฟอร์มของผู้กำกับ Christopher nolan ที่คุณไม่ควรพลาด [ภาพยนตร์]

Batman : The Dark Night การกลับมาท๊อปฟอร์มของผู้กำกับ Christopher nolan ที่คุณไม่ควรพลาด

ในบรรดาหนังที่ผู้คนรอคอยมากที่สุดของปีนี้ Batman : The Darknight คือชื่อที่ติดโผมาโดยตลอด และยิ่งทวีความน่าสนใจขึ้นไปอีกเมื่อหนึ่งในดารานำได้เสียชีวิตในขณะที่หนังยังไม่ออกฉาย การรอคอยครั้งนี้ จึงเป็นมากกว่าการรอหนังฮีโร่ที่สร้างจากการ์ตูนเรื่อหนึ่ง แต่มันหมายถึงการที่จะได้ชมฝีไม้ลายมือของนักแสดงหนุ่มคนนั้นเป็นครั้งสุดท้ายด้วย

ภาคนี้ได้ผู้กำกับฝีมือฉกาจ ที่สำหรับผมแล้ว เมื่อใดที่เค้าปล่อยของเราก็มีเฮกันเมื่อนั้น เพราะดูเหมือนว่านาย Christopher nolan ผู้กำกับชาวอังกฤษคนนี้จะไม่ยอมให้หนังของตัวเองตกต่ำลงจากมาตรฐานอันสูงลิ่วที่เค้าได้สร้างไว้เลย และแม้หนังของโนแลนจะไม่ใช่หนังที่กวาดรางวี่รางวัลหรือทำเงินถล่มทลายอะไรมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อมั่นเมื่อเข้าโรงไปดูหนังของเค้าก็คือ การได้พบกับหนังที่มีสาระแน่นๆ และลีลาการเล่าเรื่องที่เปี่ยมชั้นเชิง ที่ในขณะเดียวกันก็ดูสนุกมาก ๆ ด้วย

สำหรับผม Batman : The Dark Night คือสุดยอดหนังของครึ่งปีนี้เลยทีเดียว ค่าที่มันกล้าที่จะเล่นแรงๆ โดยสลัดภาพความเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ฉบับ "ครอบครัว" ทิ้งไปจนหมดสิ้น ประเด็นหนัก ๆ แรง ๆ เกี่ยวกับศีลธรรมจรรยาของมนุษย์ถูกใส่เข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า และวนเวียนกับการตั้งคำถามที่แม้แต่คนดูเอง ก็อาจกระอักกระอ่วนที่จะตอบ ถึงตรงนี้ ผมก็ชักเป็นห่วงน้องๆที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่าจะสนุกไปกับหนังรึเปล่า แต่เมื่อพิจารณาจากการนั่งนิ่งตัวตรงของพวกเค้าแล้ว เด็ก ๆ สมัยนี้อาจสนุกกับเรื่องซีเรียสจริงจังมากกว่าที่เราคิด (เพราะการ์ตูนญี่ปุ่นทุกวันนี้ก็เครียดมากเหมือนกัน)

คริสเตียน เบล นั้นรับบทของแบทแมนได้อย่างไม่มีที่ติ เขาสามารถทำให้คนดูเชื่อได้ว่านี่คือมหาเศรษฐีที่จะยอมอุทิศชีวิตต่อกรกับเหล่าร้าย เช่นเดียวกับที่ โทบี้ แมคไกวร์ ทำสำเร็จมาแล้วในสไปเดอร์แมนทั้ง 3 ภาค แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ผมรู้สึกว่าเข้าอกเข้าใจคนอย่างบรูซ เวย์น มากกว่าปีเตอร์ พาร์กเกอร์ ทั้ง ๆที่เมื่อเทียบเวลาที่เห็นหน้าชัด ๆ บนจอแล้ว เราจะเห็นเวย์น น้อยกว่าอย่างมาก

ในภาคนี้ เวย์นของเรา ไม่ต้องต่อสู้กับความรู้สึกภายในใจของตัวเองอย่างหนักหน่วงเหมือนภาคที่แล้ว สิ่งที่เขาต้องต่อสู้ด้วย กลับเป็นแรงกดดันภายนอกที่ถาโถมเข้ามา ทั้งจากตัวร้ายโจ๊กเกอร์ (ที่จะกลายเป็นตำนานจากหนังภาคนี้) เพื่อนร่วมงาน และอดีตคนรัก ซึ่งแม้จะดูเป็นประเด็นที่ซ้ำซาก แต่ด้วยความเก๋าของผู้กำกับ ที่ให้รายละเอียดในการดำเนินเรื่องอย่างเข้มข้น และเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้หายกังวลไปได้เลยว่า คุณจะไม่ได้พบกับฉากเชย ๆ ในหนังฮีโร่ที่เราเห็นในสไปเดอร์แมนภาคหลังๆ ซุปเปอร์แมน หรือแม้กระทั่งเฮลบอยภาคล่าสุดที่เพิ่งฉายไป

ทว่า แม้หนังเรื่องนี้จะสมบูรณ์พร้อม ทั้งแบทแมนที่ดูดีมีชีวิตจิตใจกว่าภาคไหนๆ ฉากแอคชั่นยิ่งใหญ่ตระการตา มุกตลกที่สดใหม่ถูกที่ถูกเวลา และสาระอันหนักอึ้งที่ผู้ที่โตพอจะเข้าใจจะได้หอบกลับมาคิดเป็นการบ้านอีกหลายวันแล้ว แต่สิ่งที่ผมคิดว่าจะกลายเป็นตัวแทนของหนังเรื่องนี้เมื่อมันถูกอ้างถึงในกาลเวลาถัด ๆ ไป นั่นคือ "โจ๊กเกอร์"

ฮีธ เลดเจอร์ วาดลวดลายการแสดงที่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่านี่คือผลผลิตที่มาจากชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม และผมค่อนข้างแน่ใจว่าบทบาทของโจ๊กเกอร์ในครั้งนี้ จะถูกยกไปเทียบเคียงกับฮันนิบาล เลคเตอร์ , อังตวน ชิกูร์ , นอร์แมน เบท และอีกหลาย ๆตำนานที่เมื่อเอ่ยถึงแล้วเราจะรู้จักก่อนจะคิดชื่อหนังออกเสียด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว นี่คือบทโจ๊กเกอร์ที่ดีที่สุด ดีกว่าครั้งที่แจ็ค นิโคลสัน เคยเล่นไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อนเสียด้วยซ้ำ และเมื่อฮีธ ได้ตายลงก่อนหน้าที่หนังเรื่องนี้จะออกฉาย นั่นอาจหมายความว่านี่จะเป็นบทบาทการแสดงที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดของเขาก็เป็นได้

สำหรับผมนี่คือสุดยอดหนังแห่งปีในช่วงเวลาที่ผ่านมา 6 เดือน
ไม่แน่ว่าเมื่อได้ดู Wall E แล้ว เรื่องนี้จะตกจากแท่นไปหรือเปล่า แต่ขอรับประกันว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนหนังซุปเปอร์ฮีโร่หรือไม่ Batman : The Dark Night คือหนังตลาดที่จะทำให้คุณลุ้นระทึกตลอดเวลาที่ชมอย่างแน่นอนครับ

ป.ล. ลางเนื้อชอบลางยา เพราะรสนิยมคนเราไม่เหมือนกัน ก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อผมหรือไม่ ขอให้ข้อมูลไว้ดังนี้นะครับ
ผมไม่ชอบ Wanted เพราะนอกจากฉากจบตบหน้าคนดูแล้ว สิ่งอื่นๆ ในหนังล้วนแล้วแต่น่าเบื่อ ซ้ำซาก และความความตื่นเต้นไม่ได้เลยซักนิด

ผมไม่ชอบ Hell Boy และเห็นว่าคัวรอง ฝีมือตกมาในหนังภาคนี้ นอกจากฉากเปิดแมลงกินฟันที่พอจะสนุกแล้ว หลังจากนั้นมาเหมือนนั่งดูสตาร์วอร์ + เทพอสูรมังกรฟ้า เวอร์ชั่นลดความสนุกลงครึ่งหนึ่ง

สนุกกับการดูหนังนะครับ

จากคุณ : คนไทยในต่างมุม - [ 17 ก.ค. 51 16:29:39 ]