หนังเรื่องนี้ทำท่าจะเป็นหนังรักอบอุ่นของเด็ก 2 คน และในใจผมก็หวังให้เป็นเช่นนั้น
ผมเริ่มที่จะเชียร์ให้เจซ เผยความรู้สึกในใจให้กับเลสลี่ในช่วงกลางเรื่อง หลังจากที่เลสลี่ขอไปโบสถ์กับเจซ เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกแปลกๆที่เด็กผู้หญิงท่าทางทะมัดทะแมงใส่ชุดกระโปรงน่ารักๆให้เห็น
และในฉากที่เจซยืนมองเลสลี่โบกมือลาท่ามกลางสายฝนนั้น ก็สื่ออารมณ์ความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่มีต่อเธอได้เป็นอย่างดี
แต่ในเช้าวันต่อมา อาจารย์ที่เจซแอบปลื้มได้มีเหตุบังเอิญชวนเจซไปพิพิธภัณฑ์ เพราะอาจารย์สาวเล็งเห็นถึงพรสวรรค์ที่มีในตัวของเจซ
ขณะที่รถเคลื่อนตัว เด็กหนุ่มหันไปมองบ้านเลสลี่ ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ว่า " เฮ้ย ชวนเลสลี่สิว่ะ " เพราะอยากจะเห็นเด็กทั้งสองคนมีความสุขด้วยกันอีก ..... เพียงแต่ว่า เจซเลือกที่จะไม่ชวนเลสลี่ เพราะอยากอยู่กับอาจารย์ที่ตนปลื้มกันแค่ 2 คนมากกว่า
นี่คือการทำร้ายจิตใจผมขั้นที่ 1
แล้วเหมือนผู้สร้างจะไม่สะใจที่ทำร้ายความรู้สึกของผม เมื่อเจซกลับมาบ้าน แล้วทุกคนในบ้านดูแปลกๆ และมีการพูดถึงความตาย .... ผมกับเจซเริ่มมีความรู้สึกร่วมกัน เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี ในที่สุดคำพูดที่ทำลายจิตใจของหนุ่มน้อยก็ถูกเปิดเผยออกมาจากพ่อของตน
" เลสลี่เพื่อนลูกตายแล้ว "
ฉากนี้เล่นเอาผมช็อคไปพอๆกับเจซเลยทีเดียว เจซ(รวมทั้งผม) ไม่อยากจะเชื่อคำพูดเล่านั้น ถึงจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงก็ตามแต่ใจไม่อยากจะยอมรับ เพราะเลสลี่ถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เจซไม่เคยมี เธอช่วยมาเติมเรื่องดีๆในชีวิตให้หนุ่มน้อยคนนึง และเธอมาด่วนจากไปง่ายๆ พร้อมกับความรู้สึกรักที่แอบเก็บอยู่ในใจของทั้งสองคน
ยิ่งฉากที่เจซหยิบสมุดภาพที่ตัวเองวาดขึ้นมาดู แล้วในหน้าสุดท้ายมีรูปของเลสลี่อยู่ ทำเอาผมน้ำตาแทบร่วง
เด็กหนุ่มยังไม่หมดความหวังซะทีเดียว หลังจากที่ครอบครัวของเจซไปแสดงความเสียใจกับพ่อแม่ของเลสลี่แล้ว เจซยังคงไปตามหาเลสลี่ในทีราบิเตียด้วยความตั้งใจ
ถึงแม้ดวงตาของตนเองจะได้เห็นเชือกขาดๆที่เคยเปรียบดั่งสะพานมหัศจรรย์ ที่เอาชีวิตของเลสลี่ไปด้วย
เจซยังคงไม่ถอดใจ ได้แต่วิ่งตามหาปาฏิหารย์ว่า "ที่จริงแล้วเธอไม่ได้หายไปไหน เด็กสาวผมทองยังคงเป็นราชินีอยู่ในอาณาจักรแห่งจินตนาการแห่งนี้"
โลกความจริงมันช่างโหดร้าย.... เลสลี่ไม่มีวันกลับมา เด็กหนุ่มล้มลงพร้อมกับความสิ้นหวังที่ตามมาในรูปของปิศาจแห่งความมืด ถึงอย่างนั้นก็มีสองมือช่วยประคองเด็กหนุ่มขึ้นมา ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพ่อที่ไม่เคยแสดงความรักกับเค้าให้เห็นเลย เจซร้องไห้ให้เห็นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เลสลี่จากไป ในอ้อมกอดของพ่อตน และโทษตัวเองที่วันนั้นไม่ได้ชวนเลสลี่ไปพิพิธภัณฑ์ด้วย
เลสลี่ไม่เชื่อในคำของพระเจ้า เจซเลยถามพ่อว่า เลสลี่จะตกนรกหรือเปล่า ... พ่อเค้าเลยบอกว่า "พระเจ้าไม่ใจร้ายกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆหรอกนะ"
หนังยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับให้เห็นเจซที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่เจซยังมีอีกหลายๆคนที่เปลี่ยนไป เพราะการมาและการจากไปของเลสลี่
รุ่นพี่ผู้หญิงจอมเกเรที่เป็นฝ่ายมาทักทายเจซก่อน พ่อของเจซที่ดูจะห่วงใยในตัวเจซมากขึ้น และที่สำคัญตัวเจซเอง เลสลี่เคยบอกเจซว่า ไม่สำคัญว่าพ่อแม่จะเป็นอย่างไร เราไม่จำเป็นต้องเหมือนพ่อแม่
เจซที่พ่อเป็นช่างแต่ตัวเองชอบที่จะวาดรูป ในที่สุด ตอนท้ายเรื่องเจซแสดงให้เห็นถึงสายเลือดของพ่อที่มีอยู่ในตัวเองออกมา ด้วยการลงมือ "สร้างสะพานมหัศจรรย์" ขึ้นมาใหม่
และเด็กหนุ่มยังเปิดใจพาองค์หญิงตัวน้อยๆ ที่เค้าไม่เคยใส่ใจ เข้ามาแทนตำแหน่งราชินีที่ว่างลง "เมย์เบล" น้องสาวคนโตของเจซเธอตกลงที่จะเป็นราชินีคนใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพื่อมารักษาและเพิ่มดอกไม้ในหัวใจของเจซและอาณาจักรทีราบิเตียต่อไป.....
เฉกเช่นองค์ราชินีรุ่นแรก เลสลี่ เบิร์ก ...... เด็กสาวผมทองที่เปรียบเสมือนสะพานมหัศจรรย์เชื่อมหัวใจให้ทุกคนนั่นเอง ...
..........
ตอนแรกจะเขียนแค่สั้นๆ แต่มันกลายเป็นรีวิวหนังไปซะงั้น ฮ่าๆ ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ได้รีวิวหนัง ที่ทำไปเพราะชอบเรื่องนี้จริงๆ ขออภัยถ้ามีข้อบกพร่องครับ
ถึงตัวหนังจะดูเพี้ยนๆไปบ้างกับการจินตนาการเวอร์ๆของตัวละคร แต่โดยรวมแล้วผมประทับใจมาก ที่จริงอยากให้จบอย่างแฮปปี้มากกว่านะ แต่ที่สุดแล้วคนจากไปก็ไม่มีวันกลับมา .....
ใครที่ยังไม่เคยดู ผมขอให้ลองดูนะ อาจจะไม่สนุกสำหรับใครหลายๆคนก็ได้ แต่อยากให้ทุกคน "เปิดใจให้กว้าง แล้วจะมองเห็นจินตนาการมากกว่าที่เราคิด" ตามคอนเซปของหนังนะครับ ^^
Bridge To Terabithia .... ทีราบิเตีย สะพานมหัศจรรย์
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 51 04:11:07
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 51 04:05:58
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 51 04:00:41
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 51 03:38:09